5- ประเด็นการทำซ้ำ (โคลนนิ่ง)
01:51:00
สรุปประเด็นจากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้
การโคลนนิ่งมนุษย์ มีทั้งทัศนะที่ห้ามโดยเด็ดขาดและถือว่าเป็นอาชญากรรม แต่ยินยอมให้โคลนนิ่งพืชและสัตว์ และทัศนะของดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน ที่ให้มีการแยกแยะเป็นกรณีๆไป ดังนี้
กรณีที่หนึ่ง : คือการโคลนนิ่งด้วยวิธีเอานิวเคลียสของเซลล์จากผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ภายหลังจากถอดนิวเคลียสออกไปแล้ว และในขั้นสุดท้ายก็จะนำไปเพาะเลี้ยงในมดลูก กรณีเช่นนี้ในการทำโคลนนิ่งมนุษย์ เขาวินิจฉัยว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางด้านนิติศาสตร์ และรากฐานนิติศาสตร์หลายหลักเกณฑ์
กรณีที่สอง : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์ของผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วนำไปใส่ในไข่ของผู้ หญิงคนนั้นเอง ก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามเช่นเดียว กับรูปแบบที่หนึ่ง
กรณีที่สาม : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์สเปิร์มของเพศชาย ใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิง ข้อชี้ขาดทางศาสนาในรูปแบบนี้ ก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด
กรณีที่สี่ : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์สเปิร์มของเพศชาย แต่ไม่ใช่เป็นสามีของสตรีที่เป็นเจ้าของไข่ ข้อชี้ขาดทางศาสนาในรูปแบบนี้ก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามอีกเช่นเดียวกัน
ทั้งสี่กรณีที่กล่าวมานี้ ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน มีความเห็นว่าเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด สอดคล้องกับมติของนักวิชาการทั้งหลายที่ห้ามทำโคลนนิ่งมนุษย์.
แต่ยังมีอีกสองกรณีที่ ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน เห็นว่าควรชะลอการออกความเห็นไว้ก่อน โดยเขายังไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการส่วนใหญ่ ที่ให้ความเห็นไว้แล้วว่าเป็นสิ่งต้องห้าม.
กรณีที่หนึ่ง ก็คือ : การเอานิวเคลียสที่มีสารพันธุกรรม จากเซลล์ของผู้ชาย (สามี) ใส่ลงไปในไข่ของสตรี (ภรรยา) โดยมีเงื่อนไขว่าสามียังมีชีวิตอยู่ (เป็นการให้กำเนิดโดยไม่มีเพศสัมพันธ์กันระหว่างคู่สามีภรรยา) ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน วินิจฉัยว่าขอชะลอการออกความเห็นในรูปแบบนี้ โดยจะยังไม่ชี้ขาดว่าต้องห้ามหรืออนุมัติ โดยให้คอยผลการค้นคว้าและทดลองในเรื่องการโคลนนิ่งก่อน ถ้าหากผลลัพธ์ของการโคลนนิ่งออกมาปรากฏว่าเป็นทารกที่พิการไม่สมประกอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ หรือทางสังคมก็ตาม ข้อชี้ขาดก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด แต่ถ้าหากทารกที่คลอดออกมาเป็นปกติสมบูรณ์ ไม่พิการใดๆ ข้อชี้ขาดในกรณีนี้ จะต้องนำมาอภิปรายกันในหมู่นักวิชาการหลายสาขา ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ มานุษยวิทยา และนิติศาสตร์อิสลาม โดยมีสามีที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ด้วยวิธีธรรมชาติ (โดยมีเพศสัมพันธ์) เป็นเจ้าของสิทธิ์ที่จะใช้วิธีการโคลนนิ่งมนุษย์ตามรูปแบบนี้.
กรณีที่สอง : เป็นรูปแบบที่เรียกว่า แฝดสยาม หรือแฝดเหมือนเป็นรูปแบบของการโคลนนิ่งมนุษย์ที่จำเป็นต้องใช้เชื้อสเปิร์มจากอสุจิ เช่นเดียวกับในรูปแบบก่อนๆ เป็นวิธีการที่จะให้กำเนิดทารกมากกว่าหนึ่งคน เช่นเดียวกับเด็กแฝด วิธีการนี้จะใช้การผสมไข่กับเชื้อสเปิร์ม นอกมดลูก จะเริ่มการโคลนนิ่ง ด้วยการกระตุ้นไข่ที่ผสมแล้วให้แบ่งเป็นตัวอ่อนเป็น 2, 3 ตัว โดยทั้งหมดจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันทั้งหมด ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน วินิจฉัยว่าขอชะลอการออกความเห็นออกไปก่อนคือจะยังไม่ตอบว่า เป็นสิ่งต้องห้ามหรืออนุมัติ โดยให้รอคอยผลการทดลองการโคลนนิ่ง และผลที่จะเกิดตามมาเสียก่อน.
เอกสารที่ใช้สืบค้นในประเด็นนี้คือ
เอกสารหมายเลข 1
การโคลนนิ่งระหว่างทัศนะที่ปฏิเสธ และทัศนะที่ให้การยอมรับ
โดย ฮุชาม ตัมมาม
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 นักวิทยาศาสตร์พันธุวิศวกรรมชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นกับชาวโลก โดยการนำของ ดร. เอียน วิลมุต จากสถาบันรอสลีน ภาคใต้ของสก็อตแลนด์ ด้วยการประกาศว่าพวกเขาประสบผลสำเร็จในการทดลองทำโคลนนิ่ง ทำให้เกิดแกะดอลลี่ขึ้นมา ด้วยการเอาเซลล์จากเต้านมของแกะตัวหนึ่งที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และนำไปเพาะเลี้ยงในห้องทดลอง เป็นเวลาหกวัน หลังจากนั้น ได้นำเอาไข่ที่ยังไม่ได้ผสมมาจากแกะอีกตัวหนึ่งที่ได้ถอดเอานิวเคลียสและสารพันธุกรรมของมันออกไป และใส่นิวเคลียสของยีนที่เอามาจากเต้านมของแกะตัวแรกใส่ลงไปแทน และกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อให้นิวเคลียสรวมเป็นเนื้อเดียวกันในไข่ของแกะตัวที่สอง ที่ปราศจากนิวเคลียส หลังจากนั้นได้นำตัวอ่อนที่เกิดจากการรวมตัวกันนี้ ไปใส่ในแกะตัวที่สาม และเมื่อครบกำหนดตั้งครรภ์ แกะตัวนั้นก็ได้ให้กำเนิดลูกแกะดอลลี่ ซึ่งกลายเป็นแกะที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์.
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ได้มีการพูดถึงและโต้เถียงกันอย่างไม่รู้จบเกี่ยวกับการทำโคลนนิ่ง
ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย ภายหลังจากยุติความเชื่อที่ว่า สตรีไม่อาจตั้งครรภ์ได้นอกจากด้วยวิธีการผสมไข่ของเพศหญิง กับสเปิร์มของเพศชาย และได้กลายเป็นเรื่องง่ายดายไปแล้ว ที่ไม่ต้องอาศัยสเปิร์มของฝ่ายชาย โดยเปลี่ยนเป็นเอาเซลล์จากสัตว์ใดก็ได้ที่ไม่ใช่สเปิร์ม.
ท่าทีของชาวโลกเหมือนกันหมดนับตั้งแต่ได้มีการประกาศเรื่อง การโคลนนิ่ง ท่าทีทางด้านศาสนา จริยธรรม และกฎหมายเป็นเหมือนกันทั่วทั้งโลก คือถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นอาชญากรรม ที่จะใช้การโคนนิ่งกับมนุษย์ ทั้งที่ยอมให้ใช้ประโยชน์เทคนิคโคลนนิ่ง กับพืชและสัตว์.
สถาบันต่างๆ ทางด้านศาสนาและศูนย์นิติศาสตร์อิสลามทุกแห่ง ได้ให้คำตอบทางศาสนา(ฟัตวา) ว่าห้ามเด็ดขาดสำหรับการโคลนนิ่งมนุษย์ จนถึงขนาดที่ศูนย์การค้นคว้าทางด้านอิสลาม ได้กำชับให้ใช้การลงโทษ ถึงขั้นสู้รบกับพวกที่นำเทคนิคการโคลนนิ่งมาใช้กับมนุษย์ และคำตอบนี้เกือบเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันในโลกอิสลาม ในโลกของชาวคริสต์ทั้งฝ่ายคาทอลิก และออโธดอกซ์ก็มีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน และมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน.
การนำมาทบทวนใหม่
แต่สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ก็คือการศึกษาทางด้านศาสนาอย่างเจาะลึกของนักการศึกษาของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ที่ได้เปิดประตูเข้ามาพูดจา กันถึงกรณีต่างๆ อย่างเจาะจงซึ่งทำให้การโคลนนิ่งมนุษย์เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ จากมุมมองทางด้านศาสนา เมื่อมีสภาพและหลัก ประกันครบถ้วน.
เป็นการวิจัยที่คาดหวัง จะกระตุ้นให้เกิดความเอาใจใส่จากนักนิศาสตร์อิสลาม ซึ่งจัดทำโดยอาจารย์เราะอ์ฟัต อุสมาน อาจารย์วิชานิติ ศาสตร์เปรียบเทียบ คณะนิติศาสตร์และกฎหมาย มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร เรื่อง “ การทำโคลนนิ่งภาย ใต้หลักเกณฑ์ทางด้านศาสนา” ซึ่งเขาได้นำเสนอในที่ประชุมสภาสูงด้านวัฒนธรรมของอียิปต์ ที่จัดประชุมในหัวข้อ “ กฎหมายและความก้าวหน้าของชีววิทยา ” โดยมีผู้นำเสนอบทวิจัยมากมายด้านนิติศาสตร์อิสลาม ที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางชีววิทยาและส่วนหนึ่งของความก้าวหน้านั้น ก็คือการทำโคลนนิ่ง.
ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน ได้ยืนยันผลงานการวิจัยของเขา ที่ได้นำเสนอวิชาการรอบด้านและเพียงพอสำหรับเรื่องการโคลนนิ่ง ในงานวิจัยของเขาจะพบว่า มีมากกว่าหนึ่งกรณีสำหรับการโคลนนิ่งมนุษย์ ที่จำเป็นต้องมีการแยกแยะเป็นแต่ละกรณีไป คือจะไม่ใช้ข้อชี้ขาดทางศาสนาเพียงข้อเดียวในทุกๆกรณี และเขายังได้ขยายความว่าการโคลนนิ่งมนุษย์มีถึงหกรูปแบบด้วยกัน มีสี่รูปแบบที่สามารถให้ข้อชี้ขาดทางศาสนาได้ว่า เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) โดยเด็ดขาด ในขณะที่ยังเหลืออยู่อีกสองรูปแบบที่เขาเห็นว่า ควรระงับการออกข้อชี้ขาดไว้ก่อน คือจะยังไม่ชี้ขาดลงไปว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) หรือเป็นสิ่งอนุมัติ (ฮะลาล) ให้กระทำได้ จนกว่าจะรู้ผลลัพธ์ ที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาว่าเป็นสิ่งต้องห้ามหรือเป็นสิ่งที่อนุมัติให้กระทำ.
รูปแบบที่หนึ่ง : จากหกรูปแบบที่ ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน ได้ทำการแยกแยะไว้ก็คือการโคลนนิ่งด้วยวิธีเอานิวเคลียสของเซลล์ จากผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ภายหลังจากถอดนิวเคลียสออกไปแล้ว และในขั้นสุดท้ายก็จะนำไปเพาะเลี้ยงในมดลูก กรณีเช่นนี้ในการทำโคลนนิ่งมนุษย์ เขาวินิจฉัยว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางด้านนิติศาสตร์ และรากฐานนิติศาสตร์หลายหลักเกณฑ์
หลักเกณฑ์ที่หนึ่งคือหลักอนุมาน (กิยาส) ที่ว่าด้วยห้ามหาความสุขทางเพศ โดยเพศเดียวกัน (เลสเบี้ยนในหมู่ผู้หญิง และร่วมทางทวารหนักในหมู่ผู้ชาย) ข้อสรุปถ้าหากเป็นการหาความสุขทางเพศโดยเพศเดียวกันเป็นสิ่งต้องห้าม การทำให้เกิดทารกขึ้นก็ยิ่งต้องสมควรเป็นสิ่งต้องห้ามมากกว่า.
อีกหลักเกณฑ์หนึ่งก็คือ เป็นการเปิดช่องทางไปสู่ความเสียหาย เพราะถ้าหากการทำโคลนนิ่งรูปแบบนี้แพร่หลายไปในหมู่สตรี ก็จะนำไปสู่การขยายวงของความตกต่ำให้กว้างออกไป และเพื่อเป็นการป้องกันผลเสียหายทางด้านจิตใจ และสังคมที่จะเกิดขึ้นกับทารกที่คลอดออกมา.
รูปแบบที่สอง : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์ของผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วนำไปใส่ในไข่ของผู้หญิงคนนั้นเอง ก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามเช่น เดียวกับรูปแบบที่หนึ่ง หลักฐานที่บ่งชี้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามก็ใช้หลักฐานเดียวกัน.
รูปแบบที่สาม : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์สเปิร์มของเพศชาย ใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิง ข้อชี้ขาดทางศาสนาในรูปแบบนี้ก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด เพราะเป็นการกระทำที่ไร้สาระ และเบี่ยงเบนการสร้างของอัลเลาะห์ เพราะจะทำให้เกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ขึ้นมา.
รูปแบบที่สี่ : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์สเปิร์มของเพศชาย แต่ไม่ใช่เป็นสามีของสตรีที่เป็นเจ้าของไข่ ข้อชี้ขาดทางศาสนาในรูปแบบนี้ก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามอีกเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในความหมายของการละเมิดประเวณี (ซินา) ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นการละเมิดประเวณี (ซินา) จริงๆ ก็ตาม เพราะยังขาดองค์ประกอบสำคัญ ของการละเมิดประเวณี แต่มันนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันกับการละเมิดประเวณี นั่นคือทำให้สายตระกูลปะปนกัน ดังนั้นรูปแบบนี้ จึงมีข้อกำหนดที่ตรงกับการละเมิดประเวณี (ซินา).
ทั้งสี่รูปแบบที่กล่าวมานี้ ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน มีความเห็นว่าเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด สอดคล้องกับมติของนักวิชาการทั้งหลาย ที่ห้ามทำโคลนนิ่งมนุษย์.
แต่ยังมีอีกสองรูปแบบที่ ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน เห็นว่าควรชะลอการออกความเห็นในสองรูปแบบนี้ไว้ก่อน โดยเขายังไม่เห็นด้วยกับนัก วิชาการส่วนใหญ่ที่ให้ความเห็นไว้แล้วว่า เป็นสิ่งต้องห้าม.
รูปแบบที่หนึ่งก็คือ : การเอานิวเคลียสที่มีสารพันธุกรรม จากเซลล์ของผู้ชาย (สามี) ใส่ลงไปในไข่ของสตรี (ภรรยา) โดยมีเงื่อนไขว่าสามียังมีชีวิตอยู่ (เป็นการให้กำเนิดโดยไม่มีเพศสัมพันธ์กันระหว่างคู่สามีภรรยา) ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน วินิจฉัยว่า ขอชะลอการออกความเห็นในรูปแบบนี้ โดยจะยังไม่ชี้ขาดว่าต้องห้ามหรืออนุมัติ โดยให้คอยผลการค้นคว้าและทดลองในเรื่องการโคลนนิ่งก่อน ถ้าหากผลลัพธ์ของการโคลนนิ่งออกมาปรากฏว่าเป็นทารกที่พิการไม่สมประกอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ หรือทางสังคมก็ตาม ข้อชี้ขาดก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด แต่ถ้าหากทารกที่คลอดออกมาเป็นปกติสมบูรณ์ ไม่พิการใดๆ ข้อชี้ขาดในกรณีนี้ จะต้องนำมาอภิปรายกันในหมู่นักวิชาการหลายสาขา ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ มานุษยวิทยา และนิติศาสตร์อิสลาม โดยมีสามีที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ด้วยวิธีธรรมชาติ (โดยมีเพศสัมพันธ์) เป็นเจ้าของสิทธิ์ที่จะใช้วิธีการโคลนนิ่งมนุษย์ตามรูปแบบนี้.
ส่วนรูปแบบที่สอง : เป็นรูปแบบที่เรียกว่า แฝดสยาม หรือแฝดเหมือนเป็นรูปแบบของการโคลนนิ่งมนุษย์ ที่จำเป็นต้องใช้เชื้อสเปิร์มจากอสุจิ เช่นเดียวกับในรูปแบบก่อนๆ เป็นวิธีการที่จะให้
กำเนิดทารกมากกว่าหนึ่งคน เช่นเดียวกับเด็กแฝด วิธีการนี้จะใช้การผสมไข่กับเชื้อสเปิร์ม นอกมดลูก จะเริ่มการโคลนนิ่งด้วยการกระตุ้นไข่ที่ผสมแล้ว ให้แบ่งเป็นตัวอ่อนเป็น 2, 3 ตัว โดยทั้งหมดจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันทั้งหมด ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน วินิจฉัยว่าขอชะลอการออกความเห็นออกไปก่อน คือจะยังไม่ตอบว่าเป็นสิ่งต้องห้ามหรืออนุมัติ โดยให้รอคอยผลการทดลองการโคลนนิ่ง และผลที่จะเกิดตามมาเสียก่อน.
ที่กล่าวมาแล้วนี้ ไม่ใช่เป็นการเชิญชวน หรือเป็นคำตอบสำหรับการโคลนนิ่งมนุษย์ แต่เป็นการเจริญรอยตามแนวทาง ของนักวิชาการยุคก่อน (คือยุค 300 ปีแรกของอิสลาม) ที่พวกเขาได้วางแนวทางไว้ในทางนิติศาสตร์อิสลาม ในความเป็นไปได้ที่จะเกิดสองรูปแบบนี้ และการสมมติประเด็นต่างๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจึงใช้การวินิจฉัย อธิบายข้อกำหนดของมัน (หรือที่รู้จักกันดีในนามของนิติศาสตร์สมมติ) เขา (ดร. เราะอ์ฟัต) มีความพอใจแล้ว ที่บทบัญญัติศาสนาและกฎหมายระหว่างประเทศมีความเข้มงวด ที่ถือว่าการโคลนนิ่งมนุษย์เป็นอาชญากรรม และเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถยับยั้งการโคลนนิ่งมนุษย์ได้ เพราะการโคลนนิ่งสามารถทำได้โดยง่าย ห้องทดลองเด็กในหลอดแก้วที่ไหนก็สามารถทำโคลนนิ่งได้ เพราะห่างไกลจากการควบคุม การดำเนินการในเรื่องนี้ไม่ได้ยุ่งยากหรือมีค่าใช้จ่ายมากกว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่ไม่อาจยับยั้งมันได้ทั้งที่มีการห้าม และเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจริยธรรมและการถือศาสนาของมนุษย์เสื่อมทรามลง และมีการกระทำออกนอกลู่นอกทางเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เมื่อการควบคุมเป็นไปอย่างหย่อนยาน.
ด้วยเหตุนี้ ดร.เราะอ์ฟัต จึงยืนยันว่าคำวินิจฉัยของเขานั้น เกี่ยวกับสิ่งต้องห้ามที่จะเกิดขึ้น ส่วนการโคลนนิ่งมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้ว.
http://www.islamonline.net/arabic/science/
ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัย
(นายอรุณ บุญชม)
ผู้ทบทวนบทวิจัยมีทัศนะในเรื่องโคลนนิ่งดังนี้
การโคลนนิ่งมนุษย์ เป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดและถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรม แต่ยิน ยอมให้โคลนนิ่งพืชและสัตว์ได้
0 ความคิดเห็น