3- คำนิยามของอัลกุรอานุ้ลกะรีม นามชื่อของอัลกุรอาน และเป้าหมายของอัลกุรอาน
16:05:00
3- คำนิยามของอัลกุรอานุ้ลกะรีม นามชื่อของอัลกุรอาน และเป้าหมายของอัลกุรอาน
นิยามของ อัลกุรอานุ้ลกะรีม :
คือคำพูดของอัลเลาะห์ ที่เป็นมัวะอ์ญิซะห์, ซึ่งถูกประทานลงมาให้แก่ มุฮำหมัดศาสนทูตของพระองค์
บรรจุอยู่ในเล่ม
รายงานถ่ายทอดต่อกันมาด้วยคนจำนวนมาก (ตะวาตุร), ซึ่งการอ่านอัลกุรอานเป็นอิบาดะห์.
(คำว่า มัวะอ์ญิซะห์ : คือสิ่งท้าทายที่ผู้ถูกท้าทายไม่อาจนำมาได้เสมอเหมือน)
คำว่า
อัลกุรอาน –ทางด้านภาษา- เป็นมัสดัร ของฟิอิ้ล (ก่อร่ออะ) ที่มีความหมายว่า (ตะลา) ได้อ่าน,
และจากความหมายของมัสดัรนี้ได้ถูกถ่ายทอดและนำมาตั้งเป็นชื่อให้แก่คำพูดของอัลเลาะห์
–ตาอาลา-
โดยนำเอามัสดัร
“กุรอาน”
(การอ่าน) ไปใช้ในความหมายของ มัฟอูล “มักรูอ์” (หมายถึงสิ่งที่ถูกอ่าน).
คำว่า
อัลกุรอาน ในความหมาย ที่แปลว่า “ กิรออะห์ ” (การอ่าน) นั้นมีปรากฏในคำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลาที่ว่า :
{ لاَ
تَحَرِّكْ بِهِ لِسَانَكَ لِتَعْجَلَ بِهِ * إِنَّ عَلَيْنَا جَمْعَهُ وَقُرْآنَهُ
* فَإِذَا قَرَأْنَاهُ فَاتَّبِعْ قُرْآنَهُ }
“โอ้มุฮำหมัดเจ้าอย่าขยับลิ้นของเจ้าอ่านอัลกุรอาน
เพราะเจ้ารีบร้อนอ่านก่อนที่ญิบรีลจะอ่านเสร็จ
แน่แท้เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรวบรวมอัลกุรอาน
ไว้ในอกของเจ้าและเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้อง อ่าน อัลกุรอานเพื่อให้เจ้าจดจำ
ดังนั้นเมื่อเราได้ให้ญิบรีลอ่าน อัลกุรอานให้เจ้าฟัง
เจ้าจงอ่านตามโดยไม่ต้องรีบร้อน “ (อัลกิยามะห์ 16- 18)
(คำว่า “ กุรอาน” ในอายะห์ที่ 17 และ18 มีความหมายว่า “
อ่าน ” )
สำหรับคัมภีร์อัลกุรอาน
มีชื่อมากหมาย เช่น :
ก- (อัลฟุรกอน) เพราะอัลกุรอานจะแยกระหว่างสัจธรรม (อัลฮักก์) กับความมดเท็จ (อัลบาติล) อัลเลาะห์ ตาอาลา ตรัสว่า :
{ تَبَارَكَ الَّذِيْ نَزَّلَ الْفُرْقَانَ عَلَى عَبْدِهِ
لِيَكُوْنَ لِلْعَالَمِيْنَ نَذِيْرًا }
“ ผู้ซึ่งประทาน อัลฟุรกอน ให้แก่บ่าวของพระองค์(มุฮำหมัด)
ทรงจำเริญยิ่ง
เพื่อเขาจะเป็นผู้ตักเตือนแก่ชาวโลกทั้งหลาย “ (อัลฟุรกอน : 1)
ข- (อัลกิตาบ) อัลเลาะห์ตาอาลา ตรัสว่า :
{ اَلْحَمْدَ
لِلّهِ الَّذِيْ أَنْزَلَ عَلَى عَبْدِهِ الْكِتَابَ وَلَمْ يَجْعَلْ لَهُ عِوَجًا
}
“การสรรเสรญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์
ผู้ประทาน อัลกิตาบ ให้แก่บ่าวของพระองค์
และพระองค์มิได้ทำให้มันมีการบิดเบือนใดๆ “ (อัลกะห์ฟิ : 1)
ค- (อัซซิกร์) อัลเลาะห์ ตาอาลา ตรัสว่า :
{ هذَا
ذِكْرٌ مُبَارَكٌ أَنْزَلْنَاهُ أَفَأَنْتُمْ لَهُ مُنْكِرُوْنَ }
“ และนี่คือ ซิกร์ (คำตักเตือน) อันจำเริญยิ่ง ที่เราได้ประทานมันลงมา แล้วพวกเจ้ายังจะปฏิเสธมันอีกหรือ “ (อัลอันบิยาอ์ : 50)
ง- (อัตตันซีล) อัลเลาะห์ ตาอาลา ตรัสว่า :
{ وَإِنَّهُ
لَتَنْزِيْلُ مِنْ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ * نَزَلَ بِهِ الرُّوْحُ اْلأَمِيْنُ *
عَلَى قَلْبِكَ لِتَكُوْنَ مِنَ الْمُنْذِرِيْنَ }
“ แท้จริงมันคือ ตันซีล (การประทานลงมา) จากองค์อภิบาลแห่งสากลโลก ญิบรีลผู้ซื่อสัตย์เป็นผู้นำลงมา ยังหัวใจของเจ้า เพื่อเจ้าจะเป็นผู้ตักเตือนคนหนึ่ง
“ (อัชชุอะรออ์ : 192- 194)
ที่กล่าวมานี้เป็นชื่อที่แพร่หลายของ
อัลกุรอาน, มีนักวิชาการหลายท่านที่กล่าวว่าอัลกุรอานยังมีอีกหลายชื่อ, แต่ในความเป็นจริงแล้วชื่อเหล่านั้นเป็นคุณลักษณะของอัลกุรอาน ไม่ใช่เป็นชื่อ .
ส่วนเป้าหมายของอัลกุรอาน ที่อัลเลาะห์ได้ประทานอัลกุรอานลงมามีเป้าหมายหลายประการ
แต่ที่สำคัญมีดังนี้ :
หนึ่ง : ชี้นำมนุษยชาติ
อัลกุรอานจะชี้นำสู่สิ่งที่ทำให้มนุษยชาติมีความสุขทั้งโลกดุนยานี้
และโลกหน้าอาคิเราะห์.
การชี้นำของอัลกุรอาน
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สำคัญคือ :
เป็นการชี้นำทั่วไป, ครบถ้วนสมบูรณ์, และชัดเจน
ก) เป็นการชี้นำทั่วไป : เพราะการชี้นำของอัลกุรอานครอบคลุมถึงมนุษย์ และญินในทุกเวลาและสถานที่.
อัลเลาะห์
ตาอาลาได้ตรัสบัญชาแก่มุฮำหมัด
ศาสนทูตของพระองค์ให้อธิบายเรื่องดังกล่าวแก่พวกที่มุฮำหมัดถูกส่งไปยังพวกเขา :
{ قُلْ أَيُّ
شَيْءٍ أَكْبَرُ شَهَادَةُ قُلِ اللّهُ شَهِيْدٌ بَيْنِيْ وَبَيْنَكُمْ وَأُوْحِيَ
إِلَيَّ هذَا الْقُرْآنُ ِلأُنْذِرَكُمْ بِهِ وَمَنْ بَلَغَ }
“ โอ้
มุฮำหมัดจงกล่าวเถิดว่าสิ่งใดเป็นพยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด, จงตอบเถิดว่าอัลเลาะห์
เป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และอัลกุรอานนี้ได้ถูกประทานลงมายังฉัน
เพื่อจะได้ใช้เป็นสิ่งตักเตือนพวกท่านและผู้ที่อัลกุรอานนี้ไปถึง “ ( อัลอันอาม : 19)
หมายความว่า
โอ้
มุฮำหมัดจงกล่าวแก่พวกผู้ตั้งภาคีที่มาโต้เถียงกับท่านในเรื่องที่ท่านนำมาประกาศเชิญชวน. เจ้าจงถามพวกเขา สิ่งที่มีอยู่นี้
มีสิ่งใดเป็นพยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พวกท่านจะยอมรับอย่างราบคาบ ? หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้ใช้ท่านนบีให้ตอบแก่พวกผู้ตั้งภาคีต่อคำถามนี้
ด้วยข้อเท็จจริงที่ไม่มีผู้มีปัญญาคนใดกล้าโต้เถียงคือ : การเป็นพยานของอัลเลาะห์ยิ่งใหญ่ที่สุด
แข็งแกร่งที่สุด และใสสะอาดที่สุด, เพราะเป็นพยานของผู้ที่ไม่มีทางจะโกหกหรือผิดพลาด, และแท้จริงอัลเลาะห์ – ซุบฮานะฮ์ – ได้เป็นพยานยืนยันแล้วว่า
ฉันพูดจริง ในสิ่งที่ฉันนำออกเผยแพร่
ดังนั้นด้วยเหตุผลอันใดพวกท่านจึงขัดขวางการเผยแพร่ของฉัน, และขัดขวางแนวทางที่ถูกต้อง ?
ต่อมาอัลเลาะห์
– ซุบฮานะฮ์- ก็ได้บรรยายว่า
อัลกุรอานนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ท้าทายอันเป็นนิรันดร์ (มัวะอ์ญิซะห์ คอลิดะห์) สำหรับท่านนบี (ซ.ล) โดยพระองค์ตรัสว่า :
{ وَأُوْحِيَ
إِلَيَّ هذَا الْقُرْآنُ ِلأُنْذِرَكُمْ بِهِ وَمَنْ بَلَغَ }
“ และอัลกุรอานนี้ได้ถูกประทานลงมายังฉัน
เพื่อจะได้ใช้เป็นสิ่งตักเตือนพวกท่านและผู้ที่อัลกุรอานนี้ไปถึง “ ( อัลอันอาม : 19)
หมายความว่า
อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ประทานอัลกุรอานนี้ให้แก่ฉัน โดยทาง วะฮีย์ ที่สัจจริง
เพื่อฉันจะใช้เป็นสิ่งตักเตือนพวกท่าน โอ้ชาวมักกะห์, และเพื่อใช้เป็นสิ่งตักเตือนแก่พวกที่อัลกุรอานนี้ไปถึง
และที่คำประกาศของอัลกุรอานไปถึงทั้งชาวอาหรับและที่ไม่ใช่ชาวอาหรับในทุกเวลา
และสถานที่ จนถึงวันกิยามะห์.
ประโยคนี้บ่งชี้ว่าการแต่งตั้งท่านนบี
(ซ.ล) นั้นเป็นการทั่วไป (ไม่ได้เจาะจงประชาชาติใด), เช่นเดียวกับที่บ่งชี้ว่า ข้อบังคับใช้ของอัลกุรอานนั้นครอบคลุมถึงผู้ที่มีอยู่ในขณะที่อัลกุรอานถูกประทานลงมา, และยังครอบคลุมไปถึงผู้ที่จะมีมาภายหลังจากอัลกุรอานได้ประทานลงมาแล้ว
และคำประกาศเชิญชวนของอัลกุรอานไปถึงพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่เคยเห็นท่านนบี (ซ.ล).
มีปรากฏในฮะดีษว่า
: “ พวกท่านจงเผยแพร่ศาสนาแทนอัลเลาะห์
ดังนั้นผู้ใดที่อายะห์หนึ่งจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์ไปถึงเขาก็เท่ากับคำสั่งของอัลเลาะห์ไปถึงเขาแล้ว
“
เล่าจากมุฮำหมัด
บุตร กะอับว่า : “ ผู้ใดที่อัลกุรอานุ้ลกะรีมไปถึงเขา
ก็เท่ากับเขาได้เห็นท่านนบี (ซ.ล) “
นับเป็นอายะห์
อัลกุรอานที่บ่งชี้ว่า การชี้นำของอัลกุรอาน เป็นการชี้นำทั่วไปอีกเช่นเดียวกัน ก็ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาลา ว่า :
{ قُلْ
يَاأَيُّهَا النَّاسُ إِنِّيْ رَسُوْلُ اللهِ إِلَيْكُمْ جَمِيْعًا }
“ โอ้ มุฮำหมัด จงประกาศเถิดว่า
มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงฉันคือศาสนทูตของอัลเลาะห์ ที่มายังพวกท่านทั้งมวล “ ( อัลอะอ์รอฟ : 158)
ค) ความครบถ้วนสมบูรณ์ของการชี้นำของอัลกุรอาน
เพราะการชี้นำของอัลกุรอานนั้นครอบคลุมโดยครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด
ถึงสิ่งที่มนุษยชาติรู้จัก จากเรื่องต่างๆ ที่มนุษยชาติต้องการ ทั้งในหลักศรัทธา, หลักจรรยา, หลักอิบาดะห์, หลักการทำธุรกรรม
และการชี้นำของอัลกุรอานยังได้ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับพระผู้เป็นเจ้า
และกับโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่, การชี้นำของอัลกุรอานยังยืนหยัดอยู่บนเส้นทางอันมั่นคงระหว่างความต้องการของจิตวิญญาณ
กับความต้องการของร่างกาย โดยไม่ให้น้ำหนักไปในทางใด, แนวทางของอัลกุรอานในเรื่องนี้ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลาที่ว่า :
{ وَابْتَغِ
فِيْمَا آتَاكَ اللهُ الدَّارَ الآخِرَةَ
وَلاَ تَنْسَ نَصِيْبَكَ مِنَ الدُّنْيَا }
“ และเจ้าจงแสวงหาสิ่งที่อัลเลาะห์ได้ประทานแก่เจ้าเพื่ออาคิเราะห์ และอย่าลืมส่วนดีของเจ้าจากโลกนี้ “ (อัลกอซอซ : 77)
และคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า
:
{ يَا بَنِيْ
آدَمَ خُذُوْا زِيْنَتَكُمْ عِنْدَ كُلِّ مَسْجِدٍ وَكُلُوْا وَاشْرَبُوْا وَلاَ
تُسْرِفُوْا إِنَّهُ لاَ يُحِبُّ الْمُسْرِفِيْنَ }
“ โอ้ลูกหลานของอาดัม
จงแต่งกายของพวกเจ้าให้เรียบร้อย ณ ทุกมัสยิดเถิด พวกเจ้าจงกิน จงดื่ม
และอย่าฟุ่มเฟือย เพราะพระองค์ไม่โปรดพวกที่ฟุ่มเฟือย “ (อัลอะอ์รอฟ : 31)
และคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า
:
{ فَإِذَا
قُضِيَتِ الصَّلاَةُ فَانْتَشِرُوْا فِى اْلأَرْضِ وَابْتَغُوْا مِنْ فَضْلِ اللهِ
وَاذْكُرُوا اللهَ كَثِيْرًا لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُوْنَ }
“ เมื่อเสร็จจากละหมาดพวกเจ้าจงแยกย้ายกันไปในหน้าแผ่นดิน
และจงแสวงหาความโปรดปรานของอัลเลาะห์
และจงรำลึกถึงอัลเลาะห์ให้มาก แน่นอนว่าพวกเจ้าจะได้รับความสุข ” (อัลญุมอะห์ : 10)
ง-
ความชัดเจนของการชี้นำของอัลกุรอาน :
อัลกุรอานแจ่มชัดเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอเรื่องราว
และประเด็นต่างๆ เป็นการนำเสนอที่ประณีตและเร้าใจ มีสื่อของความชัดเจน
และแรงกระตุ้นให้เกิดความพึงพอใจอยู่อย่างพร้อมมูล ด้วยรูปแบบที่โดดเด่นในความลึกซึ้ง
และคำบรรยายที่หมดจดงดงาม.
เราสามารถที่จะสำผัสสิ่งดังกล่าวได้อย่างชัดแจ้งในทุกเรื่องที่มีอยู่ในอัลกุรอาน: อาทิเช่น ประวัติต่างๆ , ข้อเปรียบเทียบ, บทบัญญัติ, หลักศรัทธา, หลักจรรยา, ข้อแนะนำ, ที่ครอบคลุมทุกกิจการทั้งทางศาสนาและทางโลก…
อัลเลาะห์
ทรงสัจจะที่พระองค์ตรัสว่า :
{ اَللهُ
نَزَّلَ أَحْسَنَ الْحَدِيْثِ كِتَابًا مُتَشَابِهًا مَثَانِيَ تَقْشَعِرُّ مِنْهُ
جُلُوْدُ الَّذِيْ يَخْشَوْنَ رَبَّهُمْ ثُمَّ تَلِيْنُ جُلُوْدُهُمْ
وَقُلُوْبُهُمْ إِلَى ذِكْرِ اللهِ ذلِكَ هُدَى اللهِ يَهْدِيْ بِهِ مَنْ يَشَاءُ
وَمَنْ يُضْلِلِ اللهُ فَمَالَهُ مِنْ هَادٍ }
“ อัลเลาะห์ ได้ประทานถ้อยคำที่งดงาม
เป็นคัมภีร์ที่มีความคล้องจอง ซ้ำๆ กัน
ผิวหนังของพวกที่ยำเกรงองค์อภิบาลของพวกเขาลุกชันขึ้นเมื่อได้รับฟังถ้อยคำที่งดงามนั้น แล้วต่อมาผิวหนังและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงสู่การรำลึกถึงอัลเลาะห์
นั่นคือการชี้นำของอัลเลาะห์ที่พระองค์จะชี้นำแก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์
และผู้ใดที่พระองค์ให้หลงผิดจะไม่มีผู้ใดชี้นำทางที่ถูกต้องให้แก่เขาได้ “ (อัซซุมัร : 23 )
สอง : การท้าทาย (อัลเอียะอ์ญาซ)
หมายความว่าอัลกุรอานเป็นสิ่งที่ใช้ท้าทายอันเป็นนิรันดร์ของท่านนบี
(ซ.ล) (ที่ผู้ถูกท้าทายต้องยอมจำนน) ยืนยันสัจจะในสิ่งที่ท่านได้นำมาเผยเเพร่
จากองค์อภิบาลของท่าน.
หลักฐานที่ว่าอัลกุรอานเป็นสิ่งท้าทายมวลมนุษย์ทั้งปวง
– หมายความว่า : มนุษย์ไม่มีความสามารถจะนำสิ่งที่อัลกุรอานได้ท้าทายมาได้ - อัลกุรอานได้ท้าทายมนุษย์ให้นำมาเหมือนอัลกุรอาน
แต่มนุษย์ก็ไม่มีความสามารถนำมาได้ . อัลเลาะห์ ตาอาลาตรัสว่า :
{ فَلْيَأْتُوْا
بِحَدِيْثٍ مِثْلِهِ إِنْ كَانُوْا صَادِقِيْنَ }
“ ให้พวกเขาจงนำถ้อยคำที่เหมือนกับอัลกุรอานมา
ถ้าหากพวกเขาพูดความ จริง “ ( อัตตูร : 34)
ต่อมาอัลกุรอานได้ท้าทายพวกเขาให้นำมาสักสิบซูเราะห์
ที่เหมือนกับอัลกุรอาน แต่พวกเขาก็ไม่ประสพผลสำเร็จ อัลเลาะห์ ตาอา ตรัสว่า :
{ أَمْ
يَقُوْلُوْنَ افْتَرَاهُ قُلْ فَأْتُوْا بِعَشْرِ سُوَرٍ مِثْلِهِ مُفْتَرَيَاتٍ
وَادْعُوْا مَنِ اسْتَطَعْتُمْ مِنْ دُوْنِ اللهِ إِنْ كُنْتُمْ صَادِقِيْنَ }
“ หรือพวกเขากล่าวว่ามุฮำหมัดปลอมแปลงอัลกุรอานขึ้นมา
โอ้มุฮำหมัดจงกล่าวเถิดว่าถ้าเช่นนั้นให้พวกท่านนำมาสักสิบซูเราะห์
ที่ปลอมแปลงขึ้นเหมือนอัลกุรอาน
และพวกท่านจงเรียกผู้ที่พวกท่านเห็นว่ามีความสามารถอื่นจากอัลเลาะห์
ให้มาช่วยถ้าหากพวกท่านพูดจริง “ (ฮูด:
13)
และต่อมาอัลกุรอานก็ได้ท้าทายพวกเขาให้นำมาเพียงหนึ่งซูเราะห์
ที่เหมือนกับอัลกุรอาน และพวกเขาก็ไม่สามารถนำมาได้. อัลเลาะห์
ตรัสว่า :
{ وَإِنْ
كُنْتُمْ فِيْ رَيْبٍ مِمَّا نَزَّلْنَا عَلَى عَبْدِنَا فَأْتُوْا بِسُوْرَةٍ
مِنْ مِثْلِهِ وَادْعُوْا شُهَدَاءَكُمْ مِنْ دُوْنِ اللهِ إِنْ كُنْتُمْ
صَادِقِيْنَ }
“ ถ้าหากพวกท่านสงสัยสิ่งที่เราได้ประทานลงไปให้แก่บ่าวของเรา ให้พวกท่านจงนำมาสักหนึ่งซูเราะห์
ที่เหมือนกับอัลกุรอาน และพวกท่านจงเรียกผู้ที่จะช่วยเหลือพวกท่านอื่นจากอัลเลาะห์
ให้มาช่วย ถ้าหากพวกท่านพูดจริง “ (อัลบะกอเราะห์ : 23)
ในเมื่อชาวอาหรับเป็นพวกที่มีความสำนวนโวหารลึกซึ้งในการใช้ภาษา
และมีความฉะฉาน – ยังไม่สามารถนำแค่เพียงหนึ่งซูเราะห์ ที่เหมือนกับอัลกุรอานมาได้, ดังนั้นคนที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ
ก็คงไม่มีความสามารถยิ่งกว่า.
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่แน่ชัดว่าอัลกุรอานนี้มาจากอัลเลาะห์. พระองค์ตรัสว่า :
{ وَلَوْ
كَانَ مِنْ عِنْدِ غَيْرِ اللهِ لَوَجَدُوْا فِيْهِ اخْتِلاَفًا كَثِيْرًا }
“ และถ้าหากอัลกุรอานไม่ได้มาจากอัลเลาะห์
พวกเขาจะต้องพบว่ามีข้อขัดแย้งกันในอัลกุรอานมากมาย “ (อันนิซาอ์ : 82)
สาม : การอ่านอัลกุรอานเป็นอิบาดะห์ :
หมายความว่าเป็นหน้าที่ของมุสลิมต้องอ่านอัลกุรอานให้มาก เพราะการอ่านนี้จะยกตำแหน่งของเขาให้สูงขึ้น
จะลบล้างความผิดต่างๆของเขาออกไป จะขัดเกลาพฤติกรรมของเขาให้ดีงาม และเปิดจิตใจของเขาให้สว่างไสว.
อัลเลาะห์
ตาอาลา ตรัสว่า :
{ إِنَّ الَّذِيْنَ يَتْلُوْنَ كِتَابَ اللهِ وَأَقَامُوا
الصَّلاَةَ وَأَنْفَقُوْا مِمَّا رَزَقْنَاهُمْ سِرًّا وَعَلاَنِيَةً يَرْجُوْنَ
تَجَارَةً لَنْ تَبُوْرَ }
“ แท้จริงบรรดาผู้ที่อ่านคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ดำรงละหมาด
และบริจาคสิ่งที่เราได้ประทานให้แก่พวกเขาทั้งในที่ลับและเปิดเผย พวกเขาหวังการค้าที่จะไม่ซบเซา “ (ฟาติร :
29)
และปรากฏในฮะดีษว่า
:
“ ผู้ใดอ่านอักษรหนึ่งจากคัมภีร์ของอัลเลาะห์
เขาได้หนึ่งความดีจากการอ่านนั้น, และหนึ่งความดีจะได้รับตอบแทนสิบเท่า, ฉันไม่ได้พูดว่า อะลิฟลามมีม เป็นหนึ่งอักษร
แต่อะลิฟเป็นหนึ่งอักษร ลาม เป็นหนึ่งอักษร และลามเป็นอีกหนึ่งอักษร “
และในอีกฮะดีษหนึ่ง
ว่า :
“ อิบาดะห์
ที่ประเสริฐที่สุดของประชากรของฉันคือ การอ่านอัลกุรอาน “
และในฮะดีษที่สามว่า
:
“ ผู้ชำนาญการ อัลกุรอาน
จะได้อยู่ร่วมกับมะลาอิกะห์ที่ทรงเกียรติ ที่มีคุณธรรม, ส่วนคนที่อ่านอัลกุรอาน
ตะกุกตะกัก โดยที่เขาอ่านอัลกุรอานได้ยาก เขาได้รับสองผลบุญ “
0 ความคิดเห็น