3.การใช้ประโยชน์ / การทำลายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว : ( stem cell )

02:19:00



3 - การใช้ประโยชน์ / การทำลายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว : ( stem cell  )

                สรุปประเด็นจากเอกสารทางวิชาการ ที่สืบ ค้นได้ดังนี้

การใช้ประโยชน์จากตัวอ่อน

                - ไม่ยินยอมให้ใช้ตัวอ่อนเป็นแหล่งปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่บุคคลอื่น ยกเว้นหลายกรณีที่จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยครบถ้วนคือ :

                ก- ไม่ยินยอมให้ทำแท้งเพื่อนำตัวอ่อนมาใช้ปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้อื่น  แต่การแท้งนั้นจะต้องเป็นการแท้งตามธรรมชาติ ไม่ใช่เจตนาทำให้แท้ง  และเป็นการแท้งที่มีเหตุผล ที่ศาสนายอมรับได้   และจะต้องไม่ใช้วิธีการผ่าตัด เพื่อเอาตัวอ่อนออกมา นอกจากในกรณีเพื่อช่วยชีวิตแม่.

                ข- ถ้าหากตัวอ่อนสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป ก็จำเป็นต้องให้การรักษาพยาบาล เพื่อให้ชีวิตของตัวอ่อนนั้นคงอยู่  และจำเป็นต้องป้องกันรักษาชีวิตไว้  จะนำตัวอ่อนไปใช้ประโยชน์ในการปลูกถ่ายอวัยวะไม่ได้  และเมื่อตัวอ่อนไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ ก็ยังไม่ยินยอมให้นำมาใช้ประโยชน์ เว้นแต่ตัวอ่อนนั้นจะเสียชีวิตแล้ว โดยมีเงื่อนไข

                -  ไม่ยินยอมให้นำวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าโดยเด็ดขาด

                -   ต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจที่เชื่อถือได้เป็นผู้ดูแลและควบคุมการปลูกถ่ายอวัยวะ.

                - ไม่ยินยอมให้ใช้เซลล์ที่นำมาจากตัวอ่อนของมนุษย์   เพื่อการโคลนนิ่งเพราะอาจทำให้ตัวอ่อนเสียชีวิตได้.

                -  การใช้ยีนในการบำบัดรักษา  หรือป้องกันโรค  หรือแก้ไขข้อบกพร่อง  หรือตำหนิ  โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ทางรูปร่าง ตามธรรมชาติ  ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้  แต่ถ้าหากนำยีนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพ  หรือรูปร่าง  สีผิว  สูง  เตี้ย  ก็เป็นสิ่งต้องห้าม.

                - ไม่อนุญาตให้บำบัดรักษายีนที่อยู่ในเซลล์  เพราะไม่อาจรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้  และเพราะอาจเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้น อีกทั้งยังมีผลกระทบทางด้านจริยธรรม  แต่เมื่อวิทยาการก้าวหน้า จนสามารถก้าวไปถึงขั้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียหาย  และผลกระทบที่เป็นลบที่จะเกิดกับมนุษย์และลูกหลานในยุคหลังได้  ก็ย่อมไม่อาจห้ามการบำบัดรักษาด้วยยีนนี้ ได้ตลอดไปตามหลักศาสนา  การห้ามจะพิจารณาจากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจริง  ส่วนการอนุญาตก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์ และการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น.


การทำลายตัวอ่อน

                -   ไม่มีข้อห้ามในเรื่องการทำลายตัวอ่อนที่ยังอยู่ในหลอดแก้ว

                -  การนำตัวอ่อนมาจากมารดาที่ตั้งครรภ์  โดยวิธีทำแท้งตัวอ่อนเหล่านั้น  ถึงแม้จะนำมาใช้ในการค้นคว้าทางวิชาการก็ตาม  ถือว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำ.

                - การนำตัวอ่อนที่ได้มาจากธนาคารน้ำเชื้อ  ซึ่งมีอยู่มากมายมาทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้นยังคงเป็นสิ่งที่นักวิชาการด้านศาสนาต้องศึกษาอย่างละเอียด เพื่อหาข้อกำหนดอย่างเหมาะสมว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้หรือไม่  ในเมื่อตัวอ่อนเหล่านั้นต้องถูกกำจัดอยู่แล้ว.

                - ตัวอ่อนที่แท้งโดยธรรมชาติ หรือทำแท้งเพราะมีความจำเป็นเพื่อช่วยชีวิตมารดา  ทารกจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลทุกวิถีทาง เพื่อให้รอดชีวิต  ในกรณีที่ทารกเสียชีวิตและได้รับการยืนยันทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ และทางศาสนา ยินยอมให้นำอวัยวะบางอย่าง  และเนื้อเยื่อของทารกนั้นไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้  ตามเงื่อนไขทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับการผ่าตัด และการปลูกถ่าย.



เอกสารที่ใช้สืบค้นในประเด็นนี้คือ

เอกสารหมายเลข  1
การรักษาด้วยยีน :
หลักฐาน  ข้อกำหนด  และหลักเกณฑ์
วันที่ 5 / สิงหาคม / 2002
วันที่ตอบ : 5 / สิงหาคม / 2002
เรื่อง : ประเด็นทางการแพทย์

คำถาม : พร้อม ๆ กับความก้าวหน้าทางการแพทย์  ได้เกิดวิชาการทางด้านพันธุวิศวกรรมขึ้น  และพร้อมๆ กันนั้นก็เกิดความสามารถในการบำบัดรักษาด้วยยีน  การบำบัดรักษาประเภทนี้จะมีข้อกำหนดทางศาสนาอย่างไร และมีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเข้าไปแทรกแซงการใช้ยีนเพื่อการรักษาหรือเปลี่ยนแปลงลูกหลานที่จะเกิดขึ้นมาใหม่  ขออัลเลาะห์ตอบแทนความดีของพวกท่าน.

ชื่อผู้ตอบ : ดร. อะลี  มัวฮ์ยิดดีน  อัลกอรเราะห์  ดาฆีย์.

คำตอบ : ในนามของอัลเลาะห์  ขอความเมตตาและความสันติสุขจงมีแด่ศาสดาของอัลเลาะห์

                การบำบัดรักษาด้วยยีน  เป็นวิชาการที่เกิดขึ้นใหม่  และนักนิติศาสตร์อิสลามยินยอมให้นำมาใช้ได้  ตามเจตนารมณ์ของศาสนา  โดยพิจารณาถึงอนาคต และเป้าหมายที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นจากการบำบัดรักษา  ทั้งนี้โดยมีหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนดที่สำคัญก็คือ  จะต้องไม่ให้เกิดอันตรายใด ๆ และใช้ยีนเพื่อการบำบัดรักษาเท่านั้น  จะต้องไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ชั่วร้าย  และไม่ยินยอมให้นำไปใช้ในทาง ที่ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์  และอาจนำไปใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะได้  และใช้เป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์  และไม่ยินยอมให้การบำบัดรักษา ด้วยยีนมีผลตกกระทบถึงเด็กและลูกหลาน.

                ดร. อะลี  มัวฮ์ยิดดีน  อัลกอรเราะห์  ดาฆีย์  อาจารย์ภาควิชานิติศาสตร์อิสลาม  มหา วิทยาลัยกาต้าร์  กล่าวว่า :

                เมื่อพิจารณาถึง การบำบัดรักษาด้วยยีน  ทั้งด้านคุณสมบัติเฉพาะและผลที่เกิดขึ้น  และที่จะตามมาทั้งข้อดีและข้อเสีย  หรือด้านที่จะขัดแย้งกับตัวบททางด้านศาสนาแล้ว  ไม่สมควรที่เราจะออกข้อกำหนดทั่วไป ให้แก่การบำบัดรักษาด้วยยีนทุกประเภทและทุกกรณี ทั้งนี้เพราะข้อกำหนดทางศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน  เมื่อเรื่องที่จะทำการตัดสินนั้นเป็นที่ทราบดีและชัดเจน  เพราะการจะตัดสินสิ่งใดจำเป็นต้องรู้จักสิ่งนั้นอย่างรอบด้าน.

หลักฐานการบำบัดรักษาด้วยยีน:

                มีหลักการหลายข้อที่นำมาพิจารณาเพื่อใช้ตัดสิน เรื่องการบำบัดรักษาด้วยยีนในภาพรวม  และในการรักษาด้วยยีนในภาพเจาะจง  ซึ่งได้แก่ :

                1- เจตนารมณ์ของศาสนา  ในการรักษาผลประโยชน์กรณีที่เกิดความคับขัน (ضرورة  )  และความจำเป็น (  حاجة)  และการแก้ไขให้ดีขึ้น (  تحسين)  และการชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีกับผลเสีย  และหลักเกณฑ์ที่แตกแขนงออกมาจากเจตนารมณ์ของศาสนา  เช่น หลักที่ว่า “ การป้องกันความเสียหาย ต้องมาก่อนการนำผลประ- โยชน์มา”  และการทนรับอันตรายที่เบาที่สุดจะสมบูรณ์ในแนวทาง เพื่อป้องกันอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุด  และหลักที่ว่า  “ อันตรายจะต้องถูกขจัดออกไป ”  และ “ อันตรายจะต้องไม่ถูกขจัดไปด้วยอันตรายที่เท่าเทียมกัน”   และ  “ ความคับขันทำให้สิ่งต้องห้ามกลายเป็นสิ่งอนุญาต ”    และ  “ ความคับขันจะถูกกำหนดตามขนาดของมัน ”  และ  “ ทนรับอันตรายเฉพาะส่วน  เพื่อป้องกันอันตรายทั่วไป ”  และ  “ อันตรายร้ายแรงจะต้องถูกขจัดออกไปด้วยอันตรายที่เบาที่สุด” และ “เมื่อความเสียหายสองอย่างขัดแย้งกัน ให้ระมัดระวังความเสียหายที่มีอันตรายใหญ่ที่สุด ”  และ  “ ให้เลือกสิ่งเลวร้ายที่เบาที่สุด จากความเลวร้ายสองอย่าง ”  และ  “ อันตรายจะถูกผลักออกไปตามขนาดความสามารถ ”     และ       “  ความจำเป็น (حاجة) จะเข้าแทนตำแหน่ง     ของความขับคัน (ضرورة )”  และ  “ การตกอยู่ในสภาพคับขันจะไม่ทำลายสิทธิ์ของผู้อื่น”  และ  “ ความลำบากจะนำมาซึ่งความสะดวก”  และ  “ เมื่อเรื่องนั้นเข้าทางตันก็จะพบทางออก ”  และ  “จะต้องไม่เป็นภัยกับผู้อื่นและกับตนเอง ”

                2- พิจารณาสื่อ และสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลเสีย    ดังนั้นสื่อที่เป็นสิ่งต้องห้ามก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามไปด้วย  ถึงแม้จะเกิดผลลัพธ์ที่ดีก็ตาม  ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้ใช้สื่อใด ๆ ที่ศาสนาห้ามในการบำบัดรักษาด้วยยีนหรือด้วยอย่างอื่น  นอกจากในภาวะคับขัน ที่ทำให้สิ่งต้องห้ามกลายเป็นสิ่งอนุมัติ  อินนุ้ลกอยยิม  ถือหลัก  “ อุดช่องทางที่จะทำให้เกิดความเสียหาย ”  ว่าเป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ของศาสนาและของนิติศาสตร์อิสลาม.

                3- ให้รักษาอนาคต  เป้าหมาย  ผลลัพธ์  และผลที่เกิดตามมาจากการรักษา  โดยชาติบีย์  ได้กล่าวว่า : การพิจารณาถึงอนาคต (สภาพในภายหน้า)  ของการกระทำเป็นสิ่งที่ถูกนำมาพิจารณา และเป็นเป้าหมาย ตามหลักศาสนา  ไม่ว่าการกระทำนั้นจะสอดคล้องหรือขัดแย้ง  ทั้งนี้เพราะผู้วินิจฉัย (มุจตะฮิด)  จะไม่ตัดสินการกระทำใดที่เกิดจากผู้อยู่ในบังคับของศาสนา ด้วยการเข้าไปกระทำ  หรือเลิกกระทำ  จนกว่าจะได้พิจารณาถึงผลของสิ่งที่การกระทำนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าถูกต้องตามหลักศาสนา เพราะมีผลดีที่ต้องนำมา หรือมีผลเสียหายที่ต้องถูกผลักออกไป  แต่ในอนาคตมันอาจขัดแย้งกับที่กล่าวนั้น  ดังนั้นเมื่อพูดออกไปในข้อแรกว่าถูกต้องตามหลักศาสนา บางทีการนำผลดีมาอาจนำมา ซึ่งความเสียหายที่เท่าเทียมกันกับผลดีนั้น หรืออาจมากกว่าก็ได้ ดังนั้นจึงห้ามพูดว่าถูกต้องตามหลักศาสนา เช่นเดียวกันกับเมื่อพูดประเด็นที่สองว่าไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา  การปกป้องความเสียหาย อาจทำให้เกิดความเสียหายที่เท่าเทียมกันหรือมากกว่า  ดังนั้นจึงไม่ควรพูดว่าไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา  การรักษาอนาคตถือเป็นรากฐานสำคัญ ที่ก่อให้เกิดหลักการพื้นฐานมากมาย

                4- พิจารณาการรักษาด้วยยีน  ในรูปแบบเฉพาะที่มีอยู่หลายประเภทและหลายกรณี  เพื่อจะนำไปสู่ข้อกำหนดที่ละเอียดอ่อน และถูกต้องอย่างที่สุด  ทั้งนี้เพราะการตัดสินที่ถูกต้องในเรื่องใดนั้นขึ้นอยู่กับการมองภาพสิ่งนั้น  และเข้าใจสิ่งนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน  ดังนั้นเราจึงนำเสนอคำ อธิบายอย่างละเอียดตามประเภทต่าง ๆ  ตามที่จะอำนวยให้แก่เรา :-

ก-   ข้อกำหนดของการรักษาด้วยยีน :

                การรักษาด้วยยีน เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้   เมื่อไม่เกิดอันตรายและผลเสียหายใด ๆ ตามที่เราได้กล่าวมาก่อนแล้ว.

                มีมติของสภานิติศาสตร์ ที่ขึ้นกับองค์การรอบิเตาะห์  อัลอาลัม  อัลอิสลามีย์  ในการประชุมครั้งที่สิบห้า  ซึ่งมีคำตัดสินและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หลายข้อ  และได้ระบุไว้ว่า :  สภานิติศาสตร์ของ รอบิเตาะห์  อัลอาลัม  อัลอิสลามีย์  ในการประชุมครั้งที่สิบห้า  จัดขึ้นที่นครมักกะห์  เริ่มตั้งแต่ วันที่  11 เดือนรอยับ  ปี ฮ.ศ. 1419  ตรงกับวันที่ 31  ตุลาคม  ค.ศ.  1998.

                ได้มีการพิจารณาหัวข้อเรื่อง ที่มุสลิมสามารถเอาประโยชน์ได้จากวิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งปัจจุบันเป็นวิชา ที่มีความสำคัญมากทางด้านวิทยาศาสตร์  และก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมายในด้านการนำไปใช้ ทางสภานิติศาสตร์ได้รับทราบว่า  ใจความสำคัญของวิชาพันธุกรรมก็คือ  การรู้จักยีนต่าง ๆ (ที่ถ่ายทอดกรรมพันธุ์)  และรู้จักองค์ประกอบของยีน  และสามารถควบคุมยีนได้  โดยการทิ้งไปบางส่วน  เพราะไม่สมบูรณ์ หรือสาเหตุอื่น ๆ หรือเพิ่มเติมหรือผสมยีนเข้าด้วยกันเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมพันธุ์ทางด้านโครงสร้าง

                ภายหลังจากพิจารณาศึกษา และโต้เถียงกัน  ในข้อเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้  และได้พิจารณามติบางมติ  และปฏิญญาต่างๆ ที่เคยผ่านที่ประชุมทางวิชาการมาแล้ว  สภานิติศาสน์อิสลามจึงได้มีมติดังต่อไปนี้.

                หนึ่ง :  ยืนยันมติของสภานิติศาสตร์อิสลาม ขององค์การการประชุมอิสลาม  เรื่องโคลนนิ่ง  เลขที่  100/2/ด/10  ในการประชุมครั้งที่สิบซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเจดดาห์ระหว่างวันที่  23 - 28 ซอฟัร  ฮ.ศ. 1418

                สอง :  การนำความรู้ทางพันธุวิศวกรรมมาใช้ในการป้องกันโรค  หรือรักษาโรค  หรือทำให้ภัยอันตรายเบาบางลง  โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ให้เกิดภัยอันตรายใหญ่หลวงกว่า.

                สาม : ไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ทางด้านพันธุวิศวกรรม และสื่อต่างๆ ของมันไปในวัตถุประสงค์ที่ชั่วร้าย  และในสิ่งที่ต้องห้ามตามบัญญัติศาสนา

                สี่ : ไม่ยินยอมให้นำความรู้ทางด้านพันธุ-วิศวกรรม  และสื่อต่าง ๆ ของมันไปใช้ในทางที่ทำให้เสื่อมเสียบุคลิกภาพของมนุษย์  และความรับผิดชอบส่วนตนหรือเข้าไปแทรกแซงในโครงสร้างของกรรมพันธุ์  (ยีนต่าง ๆ )  โดยอาศัยข้ออ้างว่าเป็นการปรับปรุงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดีขึ้น.

                ห้า : ไม่ยินยอมให้ดำเนินการค้นคว้าใด ๆ หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือตรวจร่างกาย  ที่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง  นอกจากภายหลังทำการประเมินอย่างละเอียดแล้ว  และได้แจ้งให้ทราบถึงภัยอันตราย และผลประโยชน์ ที่อาจเกี่ยวพันกับการดำเนินการดังกล่าวและภายหลังจากได้รับอนุมัติอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา  พร้องทั้งต้องเก็บผลการดำเนิน การไว้เป็นความลับอย่างเต็มที่ อีกทั้งต้องรักษาข้อกำหนดของบทบัญญัติอิสลาม ที่ยกย่องและให้เกียรติแก่สิทธิ์และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์.

                หก : ยินยอมให้ใช้ความรู้ทางด้านพันธุ-วิศวกรรมและสื่อต่าง ๆ ของมันในวงการเกษตร  และ  เลี้ยงสัตว์  โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องหาทางป้องกันทุกวิถีทางไม่ให้เกิดอันตรายใด ๆ แม้ในระยะใกลก็ตาม ทั้งต่อมนุษย์ต่อสัตว์ และสิ่ง แวดล้อม.

                เจ็ด : ทางสภานิติศาสตร์ขอเรียกร้องให้บริษัท  และโรงงานผู้ผลิตอาหาร  และยา  และอื่น ๆ ที่ใช้ความรู้จากวิชาพันธุวิศวกรรม.  ให้ชี้แจงถึงส่วนประกอบของวัสดุเหล่านั้นเพื่อผู้บริโภคจะนำไปใช้และปฏิบัติได้อย่างรู้จริง  และเพื่อให้เกิดความระมัดระวังจากสิ่งที่เป็นภัย  หรือสิ่งต้องห้ามทางศาสนา.

                แปด : สภานิติศาสตร์อิสลามกำชับถึงบรรดานายแพทย์  และห้องทดลองต่างๆ ให้มีความยำเกรงพระเจ้า  และมีสำนึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงรู้  พระเจ้าทรงเห็น  และจะต้องออกห่างจากการทำให้เกิดภัยอันตรายต่อบุคคล  ต่อสังคม  และสิ่งแวดล้อม.


ข – ข้อกำหนดของการตรวจทางกรรมพันธุ์

                โดยหลักศาสนาอนุญาตให้มีการตรวจทาง
กรรมพันธุ์ได้  โดยมีเงื่อนไขว่าสื่อต่าง ๆ ที่นำมาใช้จะต้องเป็นที่อนุญาต  และมีความปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์  และสิ่งแวดล้อม  ทั้งนี้เพราะแนวทางดังกล่าวมุ่งไปสู่การลดโรคที่เกิดจากกรรม- พันธุ์ให้น้อยลง  และช่วยให้แพทย์สามารถกำหนดตารางการป้องกันเพื่อปกป้องมนุษย์  และผลิตยา  เช่นเดียวกับที่ช่วยให้สามารถป้องกันภัย ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น.

                และยินยอมให้รัฐ บังคับให้ใช้แนวทางนี้เมื่อเกิดโรคระบาดขึ้น ในประเทศใดประเทศหนึ่ง  หรือเมื่อเกิดประโยชน์ขึ้นโดยรวม  และจำเป็นต้องรักษาผลของตรวจ  โดยจะต้องไม่นำออกเปิดเผย  นอกจากที่จำเป็นถึงขั้นคับขัน  หรือมีความจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น  การเก็บรักษาความลับของมนุษย์ถือเป็นเป้าหมายหนึ่งจากเป้าหมายของศาสนา.

ค – ข้อกำหนดในการเปลี่ยนแปลงการสร้างของพระเจ้า

                ข้อกำหนด ในการเปลี่ยนแปลงการสร้าง  โดยวิธีการใช้ยีนรักษานั้น  นักนิติศาสตร์อิสลามทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ ได้พิจารณาเรื่องการเปลี่ยน  แปลงรูปร่าง        หรือเปลี่ยนแปลงการสร้างของ อัลเลาะห์ในเรื่องการผ่าตัดเสริมสวย  การขจัดรอยตำหนิ  หรือข้อบกพร่องทางร่างกาย  ที่ทำให้เกิดความทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ  และได้มีมติจากที่การประชุมครั้งที่สามขององค์การอิสลาม เพื่อวิทยาการทางการแพทย์ได้ระบุไว้ดังนี้ :

                1 - การผ่าตัดที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาความผิดปกติทางร่างกาย  และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นภาย หลังการคลอด  เพื่อทำให้อวัยวะกลับคืนสู่สภาพปกติที่เคยเป็น  เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้  และส่วนใหญ่มีความเห็นว่า  ให้นำข้อกำหนดของการรักษานี้ มาพิจารณาในการแก้ไขตำหนิ  หรือความขี้เหร่ ที่ทำให้บุคคลนั้นได้รับผลกระทบทางร่างกายหรือจิตใจด้วย

                2 – ไม่ยินยอมให้ทำการผ่าตัดที่ทำให้ร่างกาย และอวัยวะผิดไปจากโครงสร้างที่ดีอยู่แล้ว    หรือมีเจตนาหลบหนีคดี  หรือหลอกลวง  หรือเพียงเพื่อทำตามอารมณ์.

                3 - การผ่าตัดเพื่อแปลงเพศตามอารมณ์ที่เบี่ยงเบนเป็นสิ่งที่ต้องห้าม (ฮะรอม)  และยินยอมให้ทำการผ่าตัดเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงของเพศ  ในเพศนั้น.

                แต่ในเรื่องนี้ มีข้อแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดจากการบำบัดรักษาด้วยยีน  เพราะอย่างที่หนึ่ง  (คือการผ่าตัดเสริมสวย)  แล้วเสร็จสมบูรณ์ด้วยวิธีการผ่าตัดตกแต่ง ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะที่ได้รับอุบัติเหตุหรือพิการ  ส่วนการบำบัดรักษาด้วยการใช้ยีนนั้น  เป็นการเข้าไปควบ คุมแหล่งที่ควบคุม  และกลไกที่ควบคุมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ   และมีหน้าที่รับผิดชอบต่อรูปร่าง  สี  ชนิด  คุณภาพและปริมาณตามที่อัลเลาะห์กำหนดไว้  ทั้งนี้โดยการเข้าไปแทรกแซงยีนหรือตัดออก  หรือเปลี่ยนแปลงในส่วนย่อยของยีน  แต่ความแตกต่างนี้ไม่ส่งผลกระทบในข้อกำหนดเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะห์  ดังนั้นเราจึงมีทัศนะว่า :

                หนึ่ง : การบำบัดรักษาด้วยยีนมีเป้าหมายอยู่ที่การรักษายีนที่เป็นโรคและพิการ เพื่อทำให้กลับคืนสู่สภาพ  หรือสามารถทำหน้าที่ของอวัยวะที่สมบูรณ์ดังเป็นที่ทราบกันดี  เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้  เช่นเดียวกับการบำบัดรักษาด้วยยีนที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขตำหนิ  หรือความขี้เหร่ที่ทำให้บุคคลได้รับความกระทบกระเทือน ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ.

                สอง : ไม่อนุญาตให้บำบัดรักษาด้วยยีนที่มีเป้าหมายทำให้ร่างกาย  หรืออวัยวะผิดไปจากการสร้างที่สมบูรณ์

                สาม : ไม่ยินยอมให้เปลี่ยนแปลงเพศ  หรือ  สีผิว  รูปร่าง  เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์ตาอาลาที่มีวิทยปัญญา และความสมดุล  และกฎระเบียบของพระเจ้า

                ประเด็นเรื่อง การเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะห์นั้น  อัลเลาะห์ตาอาลาได้บรรยายไว้ในอัลกุรอานว่าเป็นการงานของมารร้าย  และสมุนของมัน พระองค์ได้ตรัสว่า :

( إِنْ يَدْعُوْنَ مِنْ دُوْنِهِ إِلاَّ إِنَاثًا وَإِنْ يَدْعُوْنَ إِلاَّ شَيْطَانًا مُرِيْدًا * لَعَنَهُ اللّهُ وَقَالَ لأَتَّخِذَنَّ مِنْ عِبَادِكَ نَصِيْبًا مَفْرُوْضًا * وَلأُضِلَّنَّهُمْ وَلأُمَنِّيَنَّهُمْ وَلآمُرَنَّهُمْ فَلَيُبَتِّكُنَّ آذَانَ اْلأَنْعَامِ وَلآمُرَنَّّهُمْ فَلَيُغَيِّرُنَّ خَلْقَ اللّهِ ..) النسآء 117-119
 “ พวกเขาจะไม่วิงวอนขออื่นจากพระองค์อัลเลาะห์  นอกจากรูปเคารพที่เป็นหญิง  และพวกเขาจะไม่วิงวอน นอกจากชัยตอนที่ดื้อรั้นเท่านั้น  อัลเลาะห์ได้สาปแช่งมันแล้ว  และพวกมันจะกล่าวว่า  ข้าจะเอาปวงบ่าวของท่านตามส่วนที่ถูกกำหนดไว้  และแท้จริงข้าจะต้องทำให้พวกเขาหลงผิด  และข้าจะต้องทำให้มันเพ้อฝัน  และข้าจะต้องใช้พวกเขา  (ด้วยการเสี้ยมสอน)  ดังนั้นพวกเขาจะผ่าหูปศุสัตว์  และข้าจะต้องใช้พวกเขา  ดังนั้นพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงสร้าง”  (อันนิ ซาอ์ : 117-119). 

เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ตรัสว่า :

( فَأَقِمْ وَجْهَكَ لِلدِّيْنِ حَنِيْفًا فِطْرَتَ اللّهِ الَّتِيْ فَطَرَ النَّاسَ عَلَيْهَا لاَتَبْدِيْلَ لِخَلْقِ اللّهِ ذلِكَ الدِّيْنُ الْقَيِّمُ وَلكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لاَ يَعْلَمُوْنَ ) الروم 30
 “ ดังนั้นเจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้  เป็นธรรมชาติของอัลเลาะห์ ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการทรงสร้างของอัลเลาะห์  นั่นคือศาสนาที่เที่ยงตรง  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้  (อัรรูม : 30)

ทัศนะของนักวิชาการ บรรยายความหมายของอัลกุรอานในเรื่องการเปลี่ยนแปลง

                นักวิชาการบรรยายความหมายอัลกุรอานได้ให้ทัศนะในการบรรยายความหมายของคำว่าเปลี่ยนแปลง  และ  เปลี่ยนไว้หลายทัศนะ :

                ทัศนะที่หนึ่ง : ความหมายที่ว่าเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะห์  คือการเปลี่ยนศาสนาของอัลเลาะห์

                ทัศนะที่สอง : ให้ถือว่าการเปลี่ยนแปลงในที่นี้  หมายถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพทั้งหมดที่เกี่ยวกับภายนอก  พวกเขาได้กล่าวไว้หลายทาง  เช่น  การต่อผม  การสัก  การตอน  การตัดใบหู  การเจาะตา  การดัดจริตเป็นชายหรือหญิง  หรือการอุทิศปศุสัตว์ เพื่อพระเจ้าโดยไม่นำมาใช้งาน  หรือ รับประทานเนื้อของมัน  ทั้งที่อัลเลาะห์ได้สร้างปศุสัตว์ขึ้นมาเพื่อรับประทานและขับขี่

                ทัศนะที่มีน้ำหนัก : ในการอธิบายความหมายของคำว่า   “ ดังนั้นพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงสร้าง ”  (อันนิซาอฺ :  119) มันครอบคลุมถึงสองความหมายคือ  การเปลี่ยนแปลงในด้านศาสนา  และการเปลี่ยน แปลงในเรื่องรูปร่างตามธรรมชาติของมนุษย์ และสัตว์

                และตามความหมายที่สองนี้    การเปลี่ยน แปลงรูปร่างตามธรรมชาติ ก็จะรวมถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์อีกด้วย  อิบนุอะตียะห์ ได้วางมาตรฐานอย่างประณีต ไว้สำหรับวัดการเปลี่ยนแปลงที่ศาสนาอนุญาต  และที่ศาสนาห้าม  เขากล่าวว่า  :  หัวใจของการอธิบายความหมายของอายะห์นี้ก็คือ  ทุกการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดอันตราย คือการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวอยู่ในอายะห์  และทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดประโยชน์เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ศาสนาอนุญาต.

                เมื่อดำเนินตามที่กล่าวนี้  การเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือการเปลี่ยนยีนใด ๆ หรือผลที่จะเกิดตามมา ถ้าหากอยู่ในกรอบของการบำบัดรักษา  หรือป้องกันโรค  หรือแก้ไขข้อบกพร่อง  หรือตำหนิ  โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างตามธรรมชาติ  ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้  แต่ถ้าหากนำยีนมาทำเล่น ๆ หรือเปลี่ยนแปลงสภาพ  หรือรูปร่าง  สีผิว  สูง  เตี้ย  ก็เป็นสิ่งต้องห้าม.

                ข้อกำหนดทั้งหมดที่กล่าวนี้ เฉพาะการบำบัดรักษาด้วยยีนของร่างกาย ซึ่งอยู่ในระดับที่หนึ่ง  โดยการทำบำบัดรักษาอาการป่วยเฉพาะตนเอง และไม่ล่วงเลยไปถึงคนในรุ่นต่อไป.


ผลกระทบของการบำบัดรักษาด้วยยีนที่ส่งผลไปถึงลูกหลาน :

                การบำบัดรักษาด้วยยีนระดับที่สอง  คือการบำบัดรักษายีนที่อยู่ภายในเซลล์  จากจุดนี้การบำบัดรักษาด้วยยีน สามารถจะส่งผลกระทบถึงลูกหลานได้  การบำบัดรักษานี้ไม่อนุญาตตามบัญญัติศาสนา  เพราะยังเป็นสิ่งที่มืดมน  และไม่อาจรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้  และเพราะอาจเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้นได้ อีกทั้งผลกระทบทางด้านจริยธรรม  ทั้งนี้จนกว่าจะก้าวไปถึงเครื่องมือที่สามารถรู้ถึงผลของมันทั้งด้านบวกหรือลบได้  แต่เมื่อวิทยาการก้าวหน้า จนสามารถก้าวไปถึงขั้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียหาย  และผลกระทบที่เป็นลบที่จะเกิดกับมนุษย์และลูกหลานในยุคหลังได้  ก็ย่อมไม่อาจห้ามการบำบัดรักษา ด้วยยีนนี้ได้ตลอด ไปตามหลักศาสนา  การห้ามจะพิจารณาจากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจริง ส่วนการอนุญาตก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์ และการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น.

                ทั้งที่มีข้อสรุปอย่างนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นว่ามีข้อห้ามใด ๆ ที่จะทำการทดลองใด ๆ กับสัตว์  เมื่อมีความหวังว่า จะบรรลุถึงผลลัพธ์ที่เป็นบวกอย่างแน่นอน  เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยประโยชน์แก่มนุษย์  และรับใช้มนุษย์  แต่ต้องมีกฏเกณฑ์ทางด้านศาสนา  และจริยธรรม  และจะต้องไม่ก่อให้เกิดผลเสียใหญ่หลวงเกิดขึ้นกับมนุษย์  และสิ่งแวดล้อม.

http://islamonline.net/fatwa/arabic/

เอกสารหมายเลข  2
การใช้ตัวอ่อนเป็นแหล่งปลูกถ่ายอวัยวะ

คำถาม
                มีแพทย์บางท่าน ใช้วิธีการปลูกถ่ายอวัยวะโดยใช้ตัวอ่อน  ศาสนาจะอนุญาตให้กระทำได้หรือไม่

ผู้ตอบ   สภานิติศาสตร์อิสลาม 
( مجمع الفقه الإسلامي )

                สภานิติศาสตร์อิสลาม ในการประชุมครั้งที่หก ที่เมืองเจดดาห์ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 14-20   มีนาคม  ค.ศ.  1990  ภายหลังจากได้ตรวจสอบบทวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหัวข้อการประชุมนิติศาสตร์อิสลาม ที่เกี่ยวกับการแพทย์ ครั้งที่หก ที่จัดขึ้นในประเทศคูเวตเมื่อวันที่ 23-26 ตุลาคม ค.ศ. 1989 ด้วยความร่วมมือระหว่างสภานิติศาสตร์อิสลาม และองค์การวิทยาศาสตร์การแพทย์อิสลาม ได้มีมติดังต่อไปนี้ :

                1- ไม่ยินยอมให้ใช้ตัวอ่อน เป็นแหล่งปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่บุคคลอื่น ยกเว้นหลายกรณีที่จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยครบถ้วนคือ :

                ก- ไม่ยินยอมให้ทำแท้งเพื่อนำตัวอ่อนมาใช้ปลูกถ่ายอวัยวะในผู้อื่น  แต่การแท้งนั้นจะต้องเป็นการแท้งตามธรรมชาติ ไม่ใช่เจตนาทำให้แท้ง  และเป็นการแท้งที่มีเหตุผล ที่ศาสนายอมรับได้   และจะต้องไม่ใช้วิธีการผ่าตัด เพื่อเอาตัวอ่อนออกมา นอกจากในกรณีเพื่อช่วยชีวิตแม่.

                ข- ถ้าหากตัวอ่อนสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป ก็จำเป็นต้องให้การรักษาพยาบาล เพื่อให้ชีวิตของตัวอ่อนนั้นคงอยู่  และจำเป็นต้องป้องกันรักษาชีวิตไว้  จะนำตัวอ่อนไปใช้ประโยชน์ในการปลูกถ่ายอวัยวะไม่ได้  และเมื่อตัวอ่อนไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ ก็ยังไม่ยินยอมให้นำมาใช้ประโยชน์ เว้นแต่ตัวอ่อนนั้นจะเสียชีวิตแล้ว ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมติหมายเลข (1) ของการประชุมครั้งที่สี่.

                2- ไม่ยินยอมให้นำวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าโดยเด็ดขาด

                3-  ต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจที่เชื่อถือได้เป็นผู้ดูแลและควบคุมการปลูกถ่ายอวัยวะ.


http://www.islam-online.net/fatwa/arabic

เอกสารหมายเลข  3
เซลล์เพื่อโคลนนิ่งอวัยวะ
หัวข้อฟัตวา : เซลล์เพื่อโคลนนิ่งอวัยวะ
เรื่องฟัตวา : แพทย์

คำถาม : อนุญาตให้เอาเซลล์จากผู้ใดในกรณีการโคลนนิ่งเพื่อปลูกถ่ายอวัยวะ ?

ชื่อผู้ตอบ : อาจารย์  ดร. มูฮำหมัด  เราะอ์ฟัต   อุสมาน

คำตอบ : ถ้าหากวิทยาการสมัยใหม่   สามารถเอาเซลล์ของมนุษย์  แล้วใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิง  และใช้ประโยชน์จากอวัยวะของตัวอ่อนนี้  แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของเซลล์นี้  สำหรับข้าพเจ้าแล้วค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติให้กระทำได้.

                ส่วนการเอาประโยชน์ จากอวัยวะของตัวอ่อนมนุษย์นั้นไม่อนุญาตให้กระทำ  เพราะเป็นการก่ออาชญากรรมต่อตัวอ่อนที่เป็นมนุษย์

http:www.islamonline.net/fatwa/arabic/




เอกสารหมายเลข  4
โคลนนิ่งอวัยวะมนุษย์
หัวข้อ :  การโคลนนิ่งอวัยวะมนุษย์
เรื่องฟัตวา : การแพทย์

คำถาม : จะอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากการโคลนนิ่งที่นักวิชาการได้ค้นคว้าไปถึงหรือไม่ หมายถึงการโคลนนิ่งอวัยวะมนุษย์เพื่อนำไปรักษาโรค ?

ชื่อผู้ตอบ :  อาจารย์   ดร.  มูฮำหมัด    เราะอ์ฟัต  อุสมาน

คำตอบ :  ประการแรก ถ้าหากปรากฏทางวิชาการว่าการทดลองดังกล่าวนี้กำลังมีการทดลองอยู่ในประเทศแถบตะวันตก  ด้วยการโคลนนิ่งอวัยวะมนุษย์  เพื่อนำไปปลูกถ่ายแทนอวัยวะที่ป่วย  โดยเอามาจากยีนของมนุษย์  เมื่อเจริญเติบโตถึงขั้นตอนหนึ่ง  เพื่อปลูกถ่ายให้แก่อีกคนหนึ่ง  ที่กล่าวนี้ถือเป็นสิ่งต้องห้าม  เพราะการเอาอวัยวะจากตัวอ่อนไปปลูกถ่าย ให้แก่ผู้ป่วย  เป็นอาชญากรรมต่อตัวอ่อนนั้น

                ส่วนสิ่งที่เราได้ยินมาว่า ปัจจุบันมีการพยายามทางวิชาการ  เพื่อใช้ประโยชน์จากอวัยวะของสัตว์  เช่นถ้าหากเป็นไปได้ที่จะนำไข่ที่ผสมแล้วระหว่างสามีกับภรรยาของตน  แล้วนำไปเพาะไว้ในมดลูกของสัตว์ตัวเมีย  แล้วสมมุติว่าตัวอ่อนนั้นเจริญเติบโตจนถึงขั้นที่เกิดอวัยวะต่างๆ  ก็เป็นไปได้ และสามารถที่จะเอาประโยชน์จากอวัยวะของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวนี้  โดยนำไปปลูกถ่ายที่แม่  หรือ  พ่อ  เพราะไม่ถือว่าเป็นมนุษย์ .
                   
http:www.islamonline.net/fatwa/arabic/

เอกสารหมายเลข 5

ตัวอ่อนที่ผสมแล้วจะทิ้งหรือทำลายได้หรือไม่

คำถาม
                สตรีท่านหนึ่ง เดินทางไปประเทศอังกฤษพร้อมกับสามีที่เดินทางไปศึกษาต่อ สตรีท่านนั้นตั้งครรภ์ยาก จึงติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญ ทั้งสองได้รับคำแนะนำว่า ควรใช้วิธีการผสมเทียมจากน้ำเชื้อของสามี จึงได้ทำการผสมเทียมเกิดเป็นตัวอ่อนเก้าตัว แพทย์ได้เก็บรักษาไว้ด้วยการแช่แข็ง และได้กำหนดให้สตรีท่านนั้นมารับการฝังเชื้อตัวอ่อน เมื่อสตรีท่านนั้นได้ไปพบแพทย์ตามกำหนด  แพทย์ได้พบว่านางได้ตั้งครรภ์แล้วตามธรรมชาติ  และต่อ มาก็ได้คลอดบุตรเป็นเพศหญิงมีสุขภาพสมบูรณ์ดี คำถามก็คือ : ครอบครัวจะต้องเดินทางกลับประเทศ ภายหลังสำเร็จการศึกษา สตรีผู้นี้จะทำอย่างไรกับตัวอ่อนทั้งเก้าที่แช่แข็งไว้ ? นางมีสิทธิ์จะใช้ตัวอ่อนส่วนหนึ่งฝังในมดลูก และปล่อยที่เหลือให้แช่แข็งอยู่ต่อไป ไว้กับหน่วยงานสาธารณ- สุขในประเทศอังกฤษ โดยที่การเดินทางกลับไปอังกฤษอีกสำหรับเธอนั้นเป็นเรื่องยาก  หรือนางจำต้องกำจัดตัวอ่อนเหล่านั้น?

ผู้ตอบ
                สภายุโรปเพื่อการค้นคว้าและตอบปัญหา ( المجلس الأوربي للبحوث والإفتاء )
                ตัวอ่อนที่เกิดจากความจำเป็น และผสมแล้วด้วยน้ำเชื้อจากสามี สามารถเก็บรักษาไว้ได้ในสถานที่ที่มั่นคงเชื่อถือได้ และสามารถนำตัวอ่อนมาใช้ได้ในขณะสามียังมีชีวิตอยู่  ยังคงมีสถานะเป็นสามีภรรยากัน และไม่ยินยอมให้นำตัวอ่อนไปใช้ภายหลังจากสามีเสียชีวิตแล้ว หรือในกรณีที่มีการหย่าร้าง และอาจทำลายตัวอ่อนได้ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แล้ว.


สภายุโรปเพื่อการวิจัยและตอบปัญหา
الأوربي للبحوث والإفتاء )    ( المجلس  ได้ตอบว่า :
การดำเนินการในเรื่องตัวอ่อนทั้งเก้านั้นมีดังนี้ :

                1- ยินยอมให้ภรรยาปลูกตัวอ่อนนั้น ในมดลูกของนางได้ตามต้องการ ตราบที่นางยังคงเป็นภรรยาของสามีที่เป็นเจ้าของน้ำเชื้อนั้น  นอกจากจะพ้นจากสถานะการเป็นสามีภรรยากัน ด้วยสาเหตุการเสียชีวิตของสามีหรือการหย่า เมื่อสิ้นสุดการเป็นสามีภรรยากัน ก็ไม่อนุญาตให้นางปลูกตัวอ่อนนั้น และจำเป็นต้องทำลายตัวอ่อนนั้น หรือตัวอ่อนที่เหลือ

                2- ในกรณีที่ภรรยาจะเดินทางออกจากอังกฤษ  มีหลักพิจารณาดังนี้ ถ้าหากนางมั่นใจว่าจะเดินกลับไปอังกฤษอีกหลายครั้งเพื่อปลูกตัวอ่อน ก็อนุญาตให้ปล่อยตัวอ่อนถูกแช่แข็งไว้ จนกว่าจะนำมาใช้  เมื่อนางมั่นใจหรือค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่ได้เดินทางกลับไปอังกฤษอีก ก็ไม่อนุญาตให้นางทิ้งตัวอ่อนไว้ แต่จำเป็นที่นางหรือสามีของนางจะต้องทำลายตัวอ่อนนั้น.

                3- ในทุกกรณีทางเราเห็นว่าไม่มีข้อห้ามที่จะทำลายตัวอ่อนไม่ว่าจะเดินทางกลับไปอีกหรือไม่  แต่ถ้าหากจะไม่มีการเดินทางกลับไปอีก ก็ไม่อนุญาตให้ทิ้งตัวอ่อนไว้ แต่จำเป็นต้องขจัดตัวอ่อนนั้น.





เอกสารหมายเลข  6
วันอังคารที่  7  ญุมาดาอัลอาคิเราะห์
 ฮ.ศ.  1421  5  ก.ย.  2000
ข่าวสำคัญ    นายแพทย์มุสลิมในอเมริกาอนุญาตให้โคลนนิ่งอวัยวะมนุษย์
ชิคาโก – ไดนา  รอชิด

                นายแพทย์และนักวิชาการมุสลิม ได้เรียก ร้องในการประชุมทางวิชาการที่ชิคาโก  ไม่ให้ออกคำวินิจฉัยห้ามทดลองทำโคลนนิ่งมนุษย์  และใช้เนื้อเยื่อของตัวอ่อน เพื่อการผลิตอะไหล่มนุษย์  ตราบที่การทำโคลนนิ่งนี้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับทารก  พร้อมกับยืนยันว่าการทำโคลนนิ่ง  ไม่ใช่เป็นการล่วงละเมิดต่อพระผู้เป็นเจ้า  แต่การโคลนนิ่งเป็นวิชาการที่พระองค์มอบให้แก่มนุษย์.

                สมาคมอิสลามของอเมริกาเหนือ (ISNA)  ได้ทำการอภิปรายในวาระที่หนึ่ง ของการประชุมที่จัดขึ้นที่เมืองชิคาโก  สหรัฐอเมริกา  เรื่องจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์และด้านการแพทย์  โดยเป็นการประชุมประจำปีของสมาคม ซึ่งเป็นการชุมนุมของนักวิชาการมุสลิมที่ใหญ่ที่สุด       ที่เดินทางมาจาก
ภายในและนอกสหรัฐ

                นักวิชาการมุสลิมตะวันออก ต้องเผชิญความก้าวหน้าอย่างมากทางด้านชีวภาพที่นำมาใช้ทางการแพทย์  ในการประชุมครั้งนี้  และวาระที่นำเข้ามาสู่การประชุม ก็เป็นเรื่องที่มีความท้าทาย  โดยเฉพาะประเด็นการปลูกถ่ายอวัยวะ  เรื่องตัวอ่อน  เรื่องยีน  และพันธุวิศวกรรม.

                ดร.  ชาอิด  อาซาร  ประธานคณะกรรม การจริยธรรมทางการแพทย์ ของสมาคมแพทย์มุสลิม – เป็นสาขาหนึ่งของ  ( ISNA )  ได้อธิบายถึงขั้นตอนต่างๆ ที่สำคัญที่ทางสมาคมให้การรับรองเกี่ยวกับจริยธรรมทางการแพทย์ ที่เกี่ยว กับการใช้เครื่องมือทางการแพทย์  เพื่อทำให้คนไข้มีชีวิตยืนยาว  ซึ่งเป็นการทำเทียมขึ้นว่าการยุติการใช้เครื่องมือดังกล่าว  ไม่ได้หมายความว่าเป็นการตัดสินให้คนไข้ตาย.

                เกี่ยวกับประเด็นการปลูกถ่ายอวัยวะ เขากล่าวว่า : การปฏิบัติการนี้เป็นสิ่งจำเป็น  และหลักการของศาสนาอิสลาม ก็คือกำหนดให้รักษาสุขภาพของมนุษย์  นำไปสู่ข้อกำหนดที่อนุญาตให้ปลูกถ่ายอวัยวะได้  และที่ประชุมครั้งนี้ก็มีความ เห็นอย่างเดียวกันกับเรื่อง ที่เกี่ยวกับการปลูกถ่ายตัวอ่อน.

                คณะกรรมการจริยธรรมทางการแพทย์ของที่ประชุมเห็นว่า การทดลองโคลนนิ่งเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์ทำให้โป๊ปแห่งวาติกันโกรธ  เมื่อทางอังกฤษประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่า  ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องคัดค้าน  ถ้าหากได้เซลล์นี้มาจากผู้ใหญ่  แต่คำคัดค้านมุ่งประเด็นไปที่ การใช้เซลล์ที่นำมาจากตัวอ่อนของมนุษย์  มันเป็นการกระทำที่อาจทำให้ตัวอ่อนเสียชีวิตได้.

                และในคำแถลงของ  ดร.  ชาฮิด  อัลอาซาร  ประธานคณะกรรมการ  และผู้ชำนาญการโรคภายใน ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงรู้กันดีในชิคาโก ยืนยันว่า  ถือเป็นเรื่องจำเป็น ขณะที่เรากำลังค้นคว้าจริยธรรมของการปฏิบัติการนี้ว่าเราจะต้องรู้ที่มาของตัวอ่อนเหล่านี้  ถ้าหากตัวอ่อนที่นำมาใช้  มาจากมารดาที่ตั้งครรภ์  เพื่อทำแท้งตัวอ่อนเหล่านี้  ถึงแม้จะนำมารับใช้การค้นคว้าทางวิชาการก็ตาม  ถือว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำ.

                ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางสหรัฐอเมริกาดำเนินตาม  ด้วยการให้ความเห็นชอบไปแล้ว  คือการทำการทดลองกับตัวอ่อนที่ได้มาจากธนาคารน้ำเชื้อ  ซึ่งมีอยู่มากมายเพราะโดยปรกติแล้ว จะนำตัวอ่อนที่มีชีวิตออกมาจากร่างของสตรีที่มีปัญหาในการตั้งครรภ์  เพื่อนำตัวอ่อนกลับเข้าไปในมดลูกอีกครั้งหนึ่ง  และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ก็คือทางธนาคารจะเก็บตัวอ่อนไว้จำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการทดลองได้หลายๆ ครั้งตัวอ่อนที่เหลือนี้ก็จะถูกกำจัดไป ภายหลังช่วงระยะ เวลาหนึ่ง  โดยไม่ถูกนำมาใช้ จุดนี้เองที่นักวิชาการเกิดความคิดที่จะนำตัวอ่อนที่เหลือนั้น มาทำการทดลอง  ในเมื่อตัวอ่อนเหล่านั้นต้องถูกกำจัดอยู่แล้วไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม  เมื่อเป็นอย่างนี้ข้าพเจ้าขอยืนอยู่ตรงกลางระหว่างการอนุญาต  กับการห้าม  และขอเรียกร้องให้นักวิชาการทั้งหลายเพิ่มการวินิจฉัยค้นคว้า สำหรับการทดลองทุกๆ ด้านก่อนที่จะออกคำวินิจฉัยทางศาสนาในเรื่องนี้.

                ดร.  ชาฮิด  อัลอาซาร  ได้กล่าวว่า : การทำโคลนนิ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องการท้าทายเจตนาของพระเจ้า  หรือพยายามสร้างเหมือนการสร้างของพระเจ้าอย่างที่บางคนกล่าวหา  เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือปฏิบัติการสร้าง ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของยีนเริ่ม แรกที่มนุษย์ไม่ใช่เป็นผู้สร้าง  แต่มันเป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ตาอาลาได้สร้างขึ้นไว้แล้ว.
และการโคลนนิ่งในกรอบดังกล่าวนี้ คือความมหัศจรรย์ และเป็นวิชาการที่อัลเลาะห์ตาอาลา  ได้ดลใจให้แก่นายแพทย์บางคน  ความจริงเราอนุญาตการทำโคลนนิ่งพืช  เพราะมีประโยชน์มากมายแก่มนุษยชาติ  แต่การโคลนนิ่งสัตว์  และมนุษย์เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องศึกษาก่อนที่จะมีมติใดๆ  สำหรับความเห็นของเขา เกี่ยวกับการบำบัดรักษาด้วยยีนพันธุกรรม  เพื่อรักษาโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์นั้นเขาเห็นว่า  เป็นประโยชน์แก่มนุษย์จึงอนุญาตให้กระทำได้  และเขาได้กล่าวกับหลักนิติศาสตร์ที่ว่า  “ความคับขันทำให้สิ่งต้อง ห้ามกลายเป็นสิ่งอนุญาต”  ซึ่งบางครั้งทางการ แพทย์ก็นำหลักนี้ มาใช้ในส่วนที่เกี่ยวกับการทำแท้ง.ในที่สุดเขาได้กำชับว่ามุสลิมจะต้องทำงาน โดยจะต้องมีนายแพทย์มุสลิม ประจำอยู่ทุกโรง พยาบาลในอเมริกาเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมุสลิม  ในการดำเนินการตามข้อกำหนดต่างๆ  มากมายและที่เกี่ยวกับด้านศาสนา  และด้านวิทยาศาสตร์.

                นักวิชาการที่เข้าร่วมประชุมได้แถลงการณ์ว่าประเด็นเรื่องจริยธรรม  ยังไม่สามารถมีมติได้ระหว่างสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นขาวหรือดำ  แต่ประเด็นส่วนใหญ่จะเป็นสีเทา  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าทั้งด้านศาสนา  และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับวิทยาการที่เกิดขึ้นนี้ .



เอกสารหมายเลข 7
มหาวิทยาลัย อัลอัซฮัร   อ้าแขนรับสารทางจริยธรรมด้านการศึกษาวิจัยทางการแพทย์และชีววิทยา

                ศูนย์การค้นคว้าวิจัยศาสนาอิสลาม  ของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ได้ให้การยอมรับสารทางจริยธรรมด้านการศึกษาวิจัยทางวิชาการ ที่คณะ กรรมการการศึกษา และวัฒนธรรมแห่งชาติอียิปต์ได้จัดเตรียมขึ้น  ซึ่งสารดังกล่าวครอบคลุมถึงระเบียบ และกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางจริยธรรมเพื่อศึกษาวิจัยทางชีวภาพ และทางการแพทย์   ใจ ความสำคัญของสารดังกล่าวคือ แนวความคิดการค้นคว้าและวิจัยต้องเป็นเรื่องใหม่  คณะผู้ทำการ ศึกษาวิจัยต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญพอสมควรในเรื่องที่ทำการศึกษาวิจัย  การศึกษาวิจัยจะต้องไม่เป็นภัยอันตราย กับผู้ที่ถูกนำมาค้นคว้าทดลอง  หรือกับคณะผู้ทำการศึกษาวิจัย หรือเป็นภัยอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับต้องแจ้งให้ผู้ที่ถูกทดลองได้ทราบถึงเป้าหมายของการศึกษา วิจัย  ตลอดถึงภัยอันตรายที่พวกเขาอาจได้รับ รวมทั้งจะต้องได้รับคำยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ที่จะถูกศึกษาวิจัย.

                ด้านจริยธรรมการปลูกถ่ายอวัยวะ และเนื้อเยื่อมนุษย์  สารดังกล่าวได้ยืนยันว่าไม่ยินยอมให้ย้ายอวัยวะหรือเนื้อเยื่อจากคนที่เสียชีวิต  ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง  และต้องมีการยืนยันการเสียชีวิตขั้นเด็ดขาด ด้วยใบรับรองแพทย์อย่างเป็นทางการ  ยินยอมให้มีการย้ายอวัยวะของคนที่เสียชีวิตเพื่อปลูกถ่ายให้แก่คนเป็น  โดยมีเงื่อนไขว่าผู้นั้นได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนเสียชีวิต ยินยอมให้ย้ายอวัยวะได้ การย้ายอวัยวะของผู้ตายจะกระทำไม่ได้ ในกรณีที่ผู้ปกครองตามกฎหมายและศาสนายอมรับ ปฏิเสธความต้องการของผู้ตาย  และครอบครัวของผู้ตาย ในการดำเนินการย้ายอวัยวะนี้ แม้จะมีพินัยกรรมของผู้ตาย ที่ยินยอมให้ย้ายอวัยวะได้ก็ตาม.

                คนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น อนุญาตให้บริจาคอวัยวะของตนแก่ผู้อื่นได้โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้บริจาคมีคุณสมบัติครบถ้วน และมีหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าตนให้คำยินยอมโดยสมัครใจ แต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไขของการบริจาคนี้.  และสารดัง กล่าวได้ให้สิทธิ์แก่ผู้บริจาค ที่เขาจะยกเลิกการบริจาคอวัยวะเมื่อใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ จนถึงนาทีนำเขาเข้าสู่ห้องผ่าตัด  และไม่ยินยอมให้ย้ายอวัยวะของผู้ที่หมดความรู้สึก ที่เขายังไม่บรรลุศา-สนภาวะ  แม้ผู้ปกครองจะยินยอมก็ตาม  ส่วนจริยธรรมสำหรับเทค นิดการย้ายยีนสืบพันธุ์ ของมนุษย์  สารดังกล่าวได้อธิบายว่า  ไม่ยินยอมให้ย้ายยีนสืบพันธุ์  ยกเว้นในกรณีที่สามีหรือภรรยาเป็นหมัน  และไม่ยินยอมให้มีการผสมเทียมภาย นอกร่างกายของสตรี ยกเว้นในกรณีที่ใช้เชื้อสเปิร์มของสามี ขณะที่คนทั้งสองมีสถานะเป็นสามีและภรรยากันตามหลักศาสนา.

                ไม่ยินยอมให้ย้ายไข่ที่ผสมแล้ว ไปปลูกในมดลูกของผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่มารดาตามหลักศาสนาของไข่นั้น  หรือจัดตั้งธนาคารไข่หรือเชื้อสเปิร์ม  ให้แก่ภรรยาหรือสามีภายหลังจากประสบผลสำเร็จ ในการผสมเทียมเรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันความสงสัย และป้องกันการปะปนของสายตระกูล.

                ในกรณีที่เกี่ยวกับการตัดอวัยวะ และเนื้อ เยื่อจากตัวอ่อนมนุษย์นั้น  สารดังกล่าวยืนยันว่าไม่ยินยอมให้เจตนาทำแท้ง   เพื่อนำทารกไปใช้ในการ


ปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่ผู้อื่น  ส่วนการแท้งตามธรรมชาติที่ไม่มีเจตนา หรือการทำแท้งเพราะมีความจำเป็นบีบบังคับเพื่อช่วยชีวิตมารดา  ทารกจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลทุกวิถีทาง เพื่อให้รอดชีวิต  ในกรณีที่ทารกเสียชีวิต ที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ และทางศาสนา ยินยอมให้นำอวัยวะบางอย่าง  และเนื้อเยื่อของทารกนั้นไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้  ตามเงื่อนไขทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับการผ่าตัดและการปลูกถ่าย.

                ส่วนเรื่องการย้ายยีนพันธุกรรม สารฉบับดังกล่าวยืนยันว่าอนุญาตให้ย้ายยีนมนุษย์จากและไปยังจีโนมมนุษย์ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการบำบัดรักษาโรค ด้วยยีนที่เกิดจากพันธุกรรมมนุษย์  เทคนิคการย้ายยีนมนุษย์ จะต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ทางจริยธรรม ซึ่งจะต้องให้เกียรติศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และเก็บรักษาความลับรหัสพันธุกรรม  การบำบัดรักษาด้วยยีนจะดำเนินการไม่ได้ นอกจากต้องเป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ให้ดำเนินการบำบัดรักษาด้วยวิธีการนี้  เช่นเดียวกับที่ไม่ยินยอมให้ดำเนิน การทางเทคนิคย้ายสารพันธุกรรม เพื่อทำการทดลองกับยีนสืบพันธุ์ของมนุษย์หรือเพื่อการโคลนนิ่งมนุษย์.



http://www.khosoba.com/articles/030816X01-azhar.htm


ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัย
(นายอรุณ บุญชม)

ทัศนะของผู้ทบทวนในการใช้ประโยชน์จากตัวอ่อนมีดังนี้

                ไม่ยินยอมให้ใช้ตัวอ่อนเป็นแหล่งปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่บุคคลอื่น ยกเว้นในกรณีที่จำเป็น และต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยครบถ้วนคือ :

                ก- ไม่ยินยอมให้ทำแท้งเพื่อนำตัวอ่อนมาใช้ปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้อื่น  แต่การแท้งนั้นจะต้องเป็นการแท้งตามธรรมชาติ ไม่ใช่เจตนาทำให้แท้ง  และเป็นการแท้งที่มีเหตุผล ที่ศาสนายอมรับได้   และจะต้องไม่ใช้วิธีการผ่าตัด เพื่อเอาตัวอ่อนออกมา นอกจากในกรณีเพื่อช่วยชีวิตแม่.

                ข- ถ้าหากตัวอ่อนสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป ก็จำเป็นต้องให้การรักษาพยาบาล เพื่อให้ชีวิตของตัวอ่อนนั้นคงอยู่  และจำเป็นต้องป้องกันรักษาชีวิตไว้  จะนำตัวอ่อนไปใช้ประโยชน์ในการปลูกถ่ายอวัยวะไม่ได้  และเมื่อตัวอ่อนไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ ก็ยังไม่ยินยอมให้นำมาใช้ประโยชน์ เว้นแต่ตัวอ่อนนั้นจะเสียชีวิตแล้ว โดยมีเงื่อนไข

                ไม่ยินยอมให้นำวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าโดยเด็ดขาด

                ต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจที่เชื่อถือได้เป็นผู้ดูแลและควบคุมการปลูกถ่ายอวัยวะ.

                ไม่ยินยอมให้ใช้เซลล์ ที่นำมาจากตัวอ่อนของมนุษย์   เพื่อการโคลนนิ่งเพราะอาจทำให้ตัวอ่อนเสียชีวิตได้.

                การใช้ยีนในการบำบัดรักษา  หรือป้องกันโรค  หรือแก้ไขข้อบกพร่อง  หรือตำหนิ  โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างตามธรรมชาติ  ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้  แต่ถ้าหากนำยีนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพ  หรือรูปร่าง  สีผิว  สูง  เตี้ย  ก็เป็นสิ่งต้องห้าม.

                ไม่อนุญาต ให้บำบัดรักษายีนที่อยู่ในเซลล์  เพราะไม่อาจรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้  และเพราะอาจเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้น อีกทั้งยังมีผลกระทบทางด้านจริยธรรม  แต่เมื่อวิทยาการก้าวหน้าจนสามารถก้าวไปถึงขั้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียหาย  และผลกระทบที่เป็นลบ ที่จะเกิดกับมนุษย์และลูกหลานในยุคหลังได้  ก็ย่อมไม่อาจห้ามการบำบัดรักษาด้วยยีนนี้ได้ตลอดไป ตามหลักศาสนา  การห้ามจะพิจารณา จากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจริง  ส่วนการอนุญาต ก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์และการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น.


ทัศนะของผู้ทบทวนในการทำลายตัวอ่อน
(นายอรุณ บุญชม)


ไม่มีข้อห้ามในเรื่องการทำลายตัวอ่อนที่ยังอยู่ในหลอดแก้ว
การนำตัวอ่อนมาจากมารดา ที่ตั้งครรภ์  โดยวิธีทำแท้งตัวอ่อนเหล่านั้น  ถึงแม้จะนำมาใช้ในการค้นคว้าทางวิชาการก็ตาม  ถือว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำ.

                การนำตัวอ่อน ที่ได้มาจากธนาคารน้ำเชื้อ  ซึ่งมีอยู่มากมายมาทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้นยังคงเป็นสิ่งที่นักวิชาการด้านศาสนาต้องศึกษาอย่างละเอียด เพื่อหาข้อกำหนดอย่างเหมาะสมว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้หรือไม่  ในเมื่อตัวอ่อนเหล่านั้นต้องถูกกำจัดอยู่แล้ว.

                ตัวอ่อนที่แท้งโดยธรรมชาติ หรือทำแท้งเพราะมีความจำเป็นเพื่อช่วยชีวิตมารดา  ทารกจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลทุกวิถีทาง เพื่อให้รอดชีวิต  ในกรณีที่ทารกเสียชีวิตและได้รับการยืนยันทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ และทางศาสนา ยินยอมให้นำอวัยวะบางอย่าง  และเนื้อเยื่อของทารกนั้นไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้  ตามเงื่อนไขทางจริยธรรม ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดและการปลูกถ่าย.








You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

featured Slider

Popular Posts

Like us on Facebook

ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา

Flickr Images



บทเรียนสั้นๆเหล่านี้กล่าวถึงเรื่อง “อุลูมุ้ลกุรอาน” ที่เราต้องการนำเสนอแก่กุลบุตรกุลธิดาของเรา ก่อนที่พวกเขาจะศึกษาวิชา “ตัฟซีร” เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ข้อมูลที่นักวิชาการทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ได้นำเสนอไว้ เพื่อรับใช้อัลกุรอาน