(1) ประเด็นของชีวิต : การเริ่มต้น / การสิ้นสุด
09:37:00
การเริ่มต้น / การสิ้นสุด
การเริ่มต้นของชีวิต :
สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้
-ชีวิตมีอยู่แล้วในสเปิร์มของชาย และไข่ของหญิง แต่เป็นชีวิตที่ยังไม่มีศักดิ์ศรี และไม่ห้ามทำลาย
สำหรับประเด็นของการเริ่มต้นชีวิต ที่มีศักดิ์ศรีและห้ามทำลายนั้น นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นแตกต่างกัน 3 ทัศนะดังต่อไปนี้
ทัศนะที่หนึ่ง : ชีวิตเริ่มต้นเมื่อปฏิสนธิในครรภ์ ซึ่งภาษาอาหรับเรียกว่า “นุตฟะห์” ( نُطْفَة)
เป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรี และห้ามทำลาย
ทัศนะที่สอง : ชีวิตเริ่มต้นเมื่อทารกถูกใส่วิญญาณเข้าไปในร่าง คือเมื่อตั้งครรภ์ได้ 120 วัน เป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและห้ามทำลาย
ทัศนะที่สาม : ชีวิตเริ่มต้นเมื่อทารกเริ่มเคลื่อนไหวขณะอยู่ในครรภ์ คือเมื่อตั้งครรภ์ได้ 40 วัน.
การสิ้นสุดของชีวิต :
สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้
ความตายคือการสิ้นสุดของชีวิต และความตายตามบัญญัติศาสนาจะยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกว่าวิญญาณจะออกจากร่างกายไปแล้ว และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คืออวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะหยุดทำงาน และสิ่งที่แสดงออกว่ามีชีวิตได้ยุติลงแล้ว
ส่วนการจะใช้หลักเกณฑ์ใด มาตัดสินว่าตายจริงนั้น นักวิชาการมีความเห็นตรงกัน และแตกต่างกันในบางกรณีดังนี้
กรณีที่มีความเห็นตรงกันคือ
ใช้เครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ของความตายที่ผู้คนรู้จักกัน หรืออาศัยการตรวจภายนอกของแพทย์ซึ่งจะช่วยได้ในกรณีที่ไม่ปรากฏเครื่องหมายและสัญลักษณ์ ที่จะใช้แยกคนเป็นออกจากคนตายได้.
กรณีที่มีความเห็นแตกต่างกันก็คือ
การนำเอาอาการที่เรียกว่าก้านสมองตายมาพิจารณาว่าเป็นความตายตามหลักศาสนา ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ทัศนะดังนี้
ทัศนะที่หนึ่ง : แพทย์กลุ่มหนึ่งเห็นว่าคนที่ก้านสมองตายทั้งหมดแล้วนั้นถือว่าเป็นคนตาย แต่ควรที่จะหาความมั่นใจจากอาการสมองตาย ด้วยการติดตามขั้นตอนต่างๆ ของการตรวจวินิจฉัยว่าสมองตายคือ
หนึ่ง
: ผู้ป่วยหมดความรู้สึกอย่างสมบูรณ์ โดยไม่อาจหายจากอาการหมดรู้สึกนี้ได้ พร้อมทั้งต้องระบุถ้าหากพบว่ามีอาการป่วย หรือก้านสมองได้รับบาดเจ็บ หรือสมองทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจรักษาได้ หรือบรรเทาได้
สอง
: สาเหตุของสมองตาย เกิดจากอุบัติเหตุ หรือเลือดตกในในสมอง หรือสมองบวม หรืออักเสบเป็นต้น
สาม
: ไม่สามารถหายใจได้เอง และต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ
สี่
: สาเหตุการหมดความรู้สึก ไม่ได้เกิดจากการดื่มสิ่งมึนเมา หรือเสพยาเสพติด หรือดื่มยาพิษ หรือจากอาการไตวาย หรือตับวาย หรือเกิดจากการทำงานของต่อมต่างๆ รวนเร
ห้า
: ไม่มีอาการตอบสนองจากก้านสมอง ซึ่งรวมถึง การวัดคลื่นสมองที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าไม่มีคลื่นใดๆ และมั่นใจว่าไม่มีการหมุนเวียนโลหิตที่สมอง ด้วยการถ่ายภาพเอกซ์เรย์เส้นเลือดสมอง.
นักวิชาการที่มีความเห็นว่าสมองตาย เป็นการสิ้นสุดของชีวิต
ดร.
ฮัมดีย์ ซัยยิบ ได้กล่าวว่า หลักการที่ให้ถือว่าสมองตาย เป็นการสิ้นสุดของชีวิตอย่างแท้จริงนั้น มีการบังคับใช้แล้วใน 70 ประเทศ โดยมีประเทศอิสลามรวมอยู่ด้วย เขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่าคนที่สมองตาย ไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีก และมีข้อแตกต่างกันมาก ระหว่างการมีชีวิตของมนุษย์โดยครบถ้วน กับการมีชีวิตอยู่ของเซลล์บางตัว และไม่ได้หมายความว่า การที่หัวใจยังเต้นอยู่เพราะเครื่องช่วยหายใจเทียม ในผู้ป่วยที่สมองตายนั้น พวกเขายังมีชีวิตอยู่
ดร.
อะห์หมัด อัลฆุบารีย์ หัวหน้าแผนกโรคภายใน ของการแพทย์ อัลอัซฮัร เห็นด้วยว่า อาการสมองตายเป็นความตายที่แท้จริง ซึ่งอนุญาตให้นำเอาอวัยวะ ไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้ภายหลังจากสมองคนตายแล้ว และเขากล่าวว่าทางด้านวิชาการ และกรอบของการศึกษาวิจัย ข้าพเจ้าเห็นว่าความตายที่แท้จริง คืออาการตายที่ก้านสมอง และวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ อย่าให้ข้าพเจ้าผิดพลาดทางด้านบัญญัติศาสนา.
เชค
ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์ มีทัศนะว่า คนป่วยที่สมองตายนั้น ถือว่าเป็นคนตายแล้วตามบัญญัติศาสนา โดยเขากล่าวว่ามีสามอาการที่แน่นอนด้วยกัน สำหรับผู้ป่วยบางคนที่อยู่ในอาการทั้งสามนี้ ยังไม่เข้าใกล้ความตายอย่างที่สุด (คำว่า “สามอาการ” ที่เชคยูซุฟกล่าวไว้นั้นไม่พบคำอธิบายในรายละเอียด: ผู้ทบทวน) แต่สมองของเขาได้ตายแล้วจริง ๆ และอวัยวะต่าง ๆ ของเขาที่เกี่ยวกับสมอง ก็ใช้การไม่ได้แล้วโดยสิ้นเชิงอย่างไม่อาจกลับมาใช้การได้อีก โดยการลงความเห็นของแพทย์ที่เชื่อถือได้ และมีความชำ- นาญ ทั้งที่มีอาการถึงขนาดนี้แล้ว ครอบครัวของผู้ป่วยก็ยังยืนกรานให้เขาใช้เครื่องช่วยชีวิต ซึ่งมีทั้งการให้อาหาร ลมหายใจและระบบการหมุนเวียนโลหิตก็ยังคงทำงานอยู่ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีชีวิตอยู่ในสภาพนี้เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยพวกเขายอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ด้วยความสบายใจว่า พวกเขาได้ดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี ไม่ได้เพิกเฉยหรือดูดาย ทั้งที่ผู้นั้นไม่ได้ถูกนับว่าเป็นผู้ป่วยอีกแล้ว แต่ในความเป็นจริงเขาได้อยู่ในโลกของคนตายแล้ว นับตั้งแต่สมองของเขาตายอย่างแน่นอนแล้วโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้การยังคงรักษาเขา โดยใช้เครื่องช่วยชีวิต จึงเป็นเรื่องไร้สาระและทำลายทรัพย์ ทำให้เสียเวลาโดยไม่มีประโยชน์ และขัด แย้งกับหลักคำสอนของอิสลาม.
ดร.
อัลกอรฎอวีย์ ได้กล่าวว่ายืนยันว่า ถ้าหากญาติของผู้ป่วยเข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง และเอาใจใส่อย่างดี พวกเขาจะมั่นใจว่าสิ่งที่ดีและน่ายกย่องสำหรับคนตายที่พวกเขายังนับว่าเป็นผู้ป่วย ก็คือ ถ้าหากถอดเครื่องช่วยชีวิตเทียมออกจากเขา ขณะนั้นปั๊มที่ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ก็จะ หยุด และเขาก็จะเป็นคนตายจริง ๆ ญาติ ๆ ของคนตายก็จะสามารถประหยัดเวลา ประหยัดเงิน และประหยัดเตียงคนไข้ให้แก่คนไข้รายอื่น ที่ต้อง การเครื่องช่วยชีวิต ซึ่งตามปกติมีอยู่จำกัดซึ่งผู้ป่วยที่มีชีวิตอยู่จริงจะได้ใช้ประโยชน์ เพราะการที่เขาใช้เครื่องช่วยชีวิตอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการทำลายทรัพย์ และการใช้จ่ายทรัพย์โดยไม่มีประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่ศาสนาห้าม เช่นเดียวกับ การทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ด้วยการกีดกันไม่ให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากเครื่องช่วยชีวิต โดยไม่เป็นธรรม กฎเกณฑ์ที่เด็ดขาดข้อหนึ่งตามที่ฮะดีษได้กล่าวไว้ก็คือ “ไม่มีการก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นและไม่มีภัยอันตรายแก่ตนเอง”
ทัศนะที่สอง : แพทย์อีกกลุ่มหนึ่ง มีทัศนะว่า ก้านสมองตายไม่ใช่เป็นหลักฐานการตายของผู้ป่วยที่ขาดความรู้สึกทางสมอง เพราะแพทย์กลุ่มนี้เห็นว่าคนที่สมองตายนั้น ตามความเป็นจริงเขาคือผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ป่วยเป็นโรคหมดความรู้สึกอย่างลึก หรือได้รับอุบัติเหตุ และพวกเขายังไม่ใช่เป็นคนตาย
หลักฐานในเรื่องนี้คือ การที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของพวกเขายังไม่ได้หยุดทำงาน เพราะหัวใจ ตับ และไตทั้งสองยังทำงานอยู่ อวัยวะส่วนที่ย่อยอาหารยังคงทำหน้าที่บดย่อย และดูดซึม และต่อมต่างๆ ของร่างกายที่ทำหน้าที่คายกาก รวมถึงต่อมเสมหะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมอง การผลิตฮอร์โมนเจริญเติบโต ในร่างกายของผู้ป่วยเหล่านี้ดำเนินไปตามปกติ เช่นเดียวกับทารกในครรภ์ของมารดา ก็จะยังคงเจริญเติบโตอยู่ในร่างของสตรีที่ป่วย ด้วยอาการสมองหมดความรู้สึก จนถึงกำหนดคลอด ร่างกายของผู้ป่วยเหล่านี้ยังคงเก็บรักษาความร้อนไว้ได้ตามธรรมชาติ เช่นเดียว กับคนที่ไม่ได้ป่วย บางครั้งอุณหภูมิความร้อนของร่างกายอาจสูงขึ้นเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคอื่น เมื่อมีแบคทีเรีย หรือ เชื้อไวรัสเข้าไปเป็นต้น ดังกล่าวนี้ยังรวมถึงความสำเร็จ ในการผ่าตัดย้ายอวัยวะบางอย่าง เช่น ตับ หัวใจ ปอด ไต และตับอ่อนเป็นต้น ซึ่งการปลูกถ่ายจะเกิดเป็นความจริงไม่ได้ ยกเว้นจะต้องเอาอวัยวะจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่อวัยวะต่างๆทั้งหมดในร่างกายยังทำงานอยู่
ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อชิ้นส่วนของคนป่วยเหล่านี้ยังมีสภาพที่ดีอยู่ พร้อมที่จะนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้ ก็จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าอวัยวะของผู้ที่ถูกผ่าตัดเอาอวัยวะออกไปนั้น เป็นคนตาย แต่เขายังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ ถึงแม้อาการไม่รู้สึกตัวของพวกเขาจะยาวนานก็ตาม ดังนั้นจึงสมควรต้องให้การบำบัดรักษาพวกเขา ให้หายจากอาการดังกล่าว แทนการจัดการให้สิ้นสุดไป โดยอ้างว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้.
นักวิชาการที่มีความเห็นว่าสมองตายไม่ใช่เป็นการสิ้นสุดของชีวิต
ดร.
มูฮำหมัด ซัยยิด ตอนตอวีย์ ผู้นำมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ได้ออกคำฟัตวา โดยกล่าวว่าการตายที่เกิดจากสมองตาย ยังไม่ถือว่าเป็นการตายอย่างสมบูรณ์
ดร.
นัสร์ ฟะรีด วาซิ้ล อดีตมุฟตีของอียิปต์ มีความเห็นตรงกันกับคำฟัตวาก่อน โดยยืนยันว่า ยังไม่ยินยอมให้ตัดสินว่าเป็นคนตายตาม บัญญัติของศาสนา โดยเพียงแต่แพทย์ยืนยันว่า ผู้นั้นสมองตาย หรือหมดหวังที่จะรักษาให้หายได้.
ดร. ซอฟวัต ลุตฟี นายกสมาคมจริยธรรมทางการแพทย์ของอิยิตป์ เห็นว่าผู้ป่วยสมองตายยังเป็นผู้ป่วยไม่ใช่คนตาย ดังนั้นการที่ก้านสมองตาย เป็นรูปแบบหนึ่งของการหมดความรู้สึกที่ลึก เมื่อมีอาการหยุดหายใจรวมอยู่ด้วย ก็หมายความว่า เกิดความเสียหายที่ศูนย์ กลางของระบบหายใจที่สมอง ผู้ป่วยคนนี้ถ้าหากเราใช้วิธีการวัดคลื่นสมองเรา ก็จะพบว่าสมองของเขายังคงทำงานอยู่ตามปกติ แต่มีฮอร์โมนของต่อม ต่างๆ ที่สมองยังคงหลั่งออกมาเป็นปกติและเขายืนยันว่า คนที่สมองตายอาจกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง และเขากล่าวว่าจะต้องไม่ออกคำสั่งประหารชีวิตเขา.
เอกสารที่ใช้สืบค้นในประเด็นนี้คือ
เอกสารหมายเลข 1
บทวิเคราะห์ของ
ดร.อับดุลเลาะห์ บาสะลามะห์
เรื่อง การเริ่มต้นชีวิตและศักดิ์ศรีของตัวอ่อน
ดร. อับดุลเลาะห์ บาสะลามะห์ ได้กล่าวว่า
การเริ่มต้นชีวิตของตัวอ่อน เป็นประเด็นทางวิชาการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ที่ติดตามประเด็นนี้จะพบว่า คำตอบมีหลากหลายขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการฟักตัว แต่ละช่วงเวลาจะมีคำตอบ ที่สอดคล้องกับวิชาการ และเทคนิคที่เข้าถึงเรื่องนี้ในแต่ละช่วงเวลา.
คำตอบที่เพียงพอ ถือเป็นเรื่องจำเป็นในประเด็นนี้ เพื่อสามารถให้สิทธิ์แก่ตัวอ่อนได้ตามสิทธิ์ที่ศาสนากำหนดไว้
สิทธิ์ของตัวอ่อน ตามที่ศาสนากำหนดนั้น เป็นสิ่งที่อิสลามได้ให้หลักประกันไว้ หลักฐานในเรื่องนี้มีมากมาย ซึ่งจะขอนำมากล่าวไว้เป็นบาง ส่วนดังนี้ :
หนึ่ง :
(1) ในกรณีที่ชายคนหนึ่งเสียชีวิต ทิ้งภรรยาที่ตั้งครรภ์ไว้ สิทธิ์ของทารกในครรภ์ได้รับการค้ำประกันกล่าวคือ กองมรดกของชายคนนั้นจะดำเนินการใดๆไม่ได้ จนกว่าจะต้องเก็บรักษาส่วนแบ่งที่ทารกได้รับ จากกองมรดกนั้นไว้เสียก่อน ถ้าหากภรรยาคลอดทารกออกมา มากกว่าหนึ่งคน ทายาทที่ได้รับมรดกไปแล้ว ต้องคืนมรดกส่วนที่เป็นของทารกคนที่สองหรือที่มากกว่าสองนั้น.
(2) ในกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งทำแท้งทารก ไม่ว่าในช่วงเวลาใด โดยที่ปรากฏสัญญาณของการมีชีวิตขึ้นแล้ว เช่น จามหรือไอหรือนิ้วกระดิกเป็นต้น ทารกผู้นี้มีสิทธิ์ได้รับมรดกจากเจ้ามรดกของตนที่เสียชีวิตไป ภายหลังเริ่มตั้งครรภ์ และต่อมาภายหลังถ้าหากทารกคนนั้นเสียชีวิต ทายาทก็มีสิทธิ์รับมรดกจากทารกนั้น.
สอง
: อิสลามให้หลักค้ำประกันศักดิ์ศรีของทารก และให้การคุ้มครองจากการทำแท้งโดยเจตนา โดยไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมตามหลักการศาสนา ถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากผู้หญิงคนหนึ่งกระทำความ ผิดถูกตัด สินประหารชีวิตขณะตั้งครรภ์ ก็ให้ร่นการประหารชีวิตออกไปจนกว่าจะคลอด บางทัศนะว่า จนกว่าจะให้ทารกได้ดื่มนมจนครบกำหนด โดยมีหลักฐานว่าท่านศาสดา (ซ.ล.) “ ได้ร่นการลงโทษสตรี ที่มีความผิดฐานละเมิดประเวณีออกไปก่อน จนกว่านางจะคลอดบุตร ” และเป็นหลักฐานชี้ว่า ครรภ์ที่เกิดจากการละเมิดประเวณี จะไม่เป็นเหตุทำให้อนุญาตทำแท้งได้.
สาม
: อิสลามได้กำหนดลงโทษปรับสินไหม (ฆุรเราะห์) กับผู้ที่ทำให้เกิดการแท้งขึ้น โดยมีหลักพิจารณาดังนี้ ถ้าหากทารกคลอดออกมาเสียชีวิต หรือออกมาก่อนครบสี่เดือน ค่า ปรับสินไหมจะเท่ากับ เศษหนึ่งส่วนสิบของผู้ใหญ่ (คืออูฐหนึ่งร้อยตัว) ถ้าหากคลอดออกมาภายหลังสี่เดือนและมีชีวิตค่าปรับสินไหมจะเท่ากับผู้ใหญ่.
ตัวอย่างเหล่านี้และอื่น ๆ ทำให้พวกเราได้เห็นข้อกำหนดทางบัญญัติศาสนา ในการปกป้องชีวิตตัวอ่อน และรักษาสิทธิต่าง ๆ ของพวกเขาขณะอยู่ในมดลูก.
แต่เราพบว่าตัวเราเองอยู่ในยุคนี้ และความเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการค้นพบทางวิชาการ ข้างหน้าบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ จนเกือบจะเอื้อมมือไปทำร้ายตัวอ่อนอย่างผิดทาง.
สิ่งที่อนุมัติ และสิ่งต้องห้ามในเรื่องเหล่านี้ยังคงแกว่งไกว ระหว่างการอธิบายทางวิชาการสมัยใหม่สำหรับการเจริญเติบโตของทารก และขั้น ตอนของทารก การเคลื่อนไหว และเริ่มต้นชีวิตในทารก.
นักนิติศาสตร์อิสลามในยุคก่อน ได้พยา ยามอธิบายการเริ่มต้นชีวิตของตัวอ่อน แต่ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะใช้เครื่องมือสมัยใหม่ ในวิชากุมารเวช เช่น กล้องขยายในมดลูก เครื่องอัลตร้า-ซาวด์ เครื่องตรวจทารกในมดลูก การติดตามการเจริญเติบโตของทางรก เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ในปัจจุบัน สามารถถ่ายภาพความเจริญ เติบโตของทารกได้ ชั่วโมงต่อชั่วโมง วันต่อวัน จนสามารถกลายเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างสมบูรณ์.
ด้วยเหตุนี้ ทัศนะของนิติศาสตร์ (หรือบางส่วน) จะเห็นว่าชีวิตคืบคลานเข้าสู่ทารกพร้อม การเคลื่อนไหวของอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ คือประมาณเดือนที่สี่ของการตั้งครรภ์ โดยเชื่อว่าการเคลื่อนไหวนั้น เท่ากับเป็นการเริ่มต้นชีวิต.
เท่าที่ปรากฏหลักฐานทางศาสนา ในเรื่องดังกล่าว คือฮะดีษจากท่านรอซู้ล (ซ.ล..) ว่า (คนหนึ่งจะอยู่ในครรภ์ของมารดาเป็นเวลาสี่สิบวัน ในสภาพการปฏิสนธิ แล้วกลายเป็นเลือดก้อนในเวลาเท่ากันนั้น แล้วกลายเป็นเนื้อก้อนในเวลาเท่ากันนั้น หลังจากนั้นมาลาอิกะห์จะถูกส่งไป และใส่วิญญาณเข้าไปในทารก) เป็นฮะดีษซอเฮียะห์.
นักวิชาการนิติศาสตร์บางท่าน เข้าใจจากฮะดีษดังกล่าวว่า ชีวิตเริ่มต้นในทารกภายหลังจากวิญญาณเข้าไป คือภายหลังจาก (120) วัน นับตั้งแต่ตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้จึงพบว่าบางสำนัก (มัซฮับ) จึงอนุญาตให้ทำแท้ง (เพราะมีเหตุจำเป็น) ก่อน 120 วัน เช่นเดียวกับศักดิ์ศรีของทารกจะถูกคุ้มครองภายหลังจากเดือนที่สี่ โดยถือเป็นมติของทุกสำนัก (มัซฮับ)
ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ หรือหลังจากนั้นเล็ก น้อย และภายหลังจากการประดิษฐ์กล้องขยาย และความก้าวหน้าในวิชาการชันสูตร และวิชากุมารเวช…ฯลฯ จึงมีความมั่นใจได้ว่าจะไม่ทิ้งโอกาสของความสงสัยว่าชีวิตจะเริ่มต้น (ภายในมดลูก) นับตั้งแต่วินาทีแรกของการตั้งครรภ์ ภาย หลังจากการปฏิสนธิ และการสร้างตัวของไข่ต่อ จากนั้น มีบางทัศนะกล่าวว่าทารกนับตั้งแต่ช่วง แรกของการตั้งครรภ์ เป็นสิ่งมีชีวิต มีศักดิ์ศรี และไม่ยินยอมให้ล่วงละเมิดต่อสิ่งมีชีวิตนี้.
ข้อเท็จจริงทางวิชาการนี้ ได้กลายเป็นหลักทางศาสนา และกฎหมายได้ถูกนำมาอภิปรายในที่ประชุมสัมมนาต่างๆ ที่มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องการทำแท้ง และท่าทีของอิสลามถึงเรื่องนั้น.
แต่ข้าพเจ้ายังไม่มีความมั่นใจ ต่อผลลัพธ์ที่ได้นี้… และมีความรู้สึกว่าในผลลัพธ์ของมัน มีการละเลยไม่สนใจ ต่อความหมายของฮะดีษในเรื่องนี้ และมันโน้มเอียงที่จะยึดถือทัศนะของวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่าการเริ่มต้นชีวิต หมายถึงการเริ่มศักดิ์ศรีของทารก.
ขณะที่เราพบว่า วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปรวดเร็วมาก … เราก็จะพบว่าวิทยาศาสตร์ก็มีการเปลี่ยนแปลง ! เป็นที่ปรากฏ - เช่นกัน - โดยไม่มีข้อสงสัยว่าชีวิตเริ่มต้นก่อนจะมีการปฏิสนธิ (ผสมกัน) และเกิดเป็นทารก หรือเป็นไข่ ?! ชีวิตมีอยู่แล้วในเชื้อสเปิร์ม และมีอยู่แล้วในไข่ที่ออกมาจากรังไข่ของสตรี ซึ่งทั้งสองนั้นมีชีวิตในตัวเองตามหลักวิชาการ การปฏิบัติการปฏิสนธิ และการตั้งครรภ์ เป็นการทำให้ชีวิตที่มีอยู่ก่อนนั้นดำเนินต่อเนื่องไป.
ดังเป็นที่ทราบดี - ทั้งประเพณี และหลักศาสนา - ว่าชีวิตเบื้องต้น หรือ พื้นฐานในไข่หรือเชื้อสเปิร์ม เป็นชีวิตที่ยังไม่มีศักดิ์ศรี และศาสนาไม่ห้ามทำลายโดยอาศัยหลักฐานที่ว่า เชื้อสเปิร์มนับล้าน ๆ ตัวอาจถูกทำลาย หรือถูกทิ้งไปโดยไม่มีบาป และทุกเดือนที่สตรีวัยผู้ใหญ่ก็จะสูญเสียไข่ไปโดยไม่มีการผสม และไม่มีบาป.
ข้าพเจ้าขอเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงทางวิชาการดังต่อไปนี้ คืออาจเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นได้จากการผสมกันระหว่างไข่กับเชื้อสเปิร์ม แต่ครรภ์นี้ผิดปกติ และเรียกครรภ์นี้ว่า เป็นแบบพวง หรือรูปกระเพาะสัตว์ ครรภ์ที่จะเกิดจากการปฏิสนธินี้จะเป็นก้อนจากเส้นใยในรูปของถุงน้ำ ลักษณะ คล้ายพวงองุ่น จะไม่สามารถพัฒนาเป็นทารกหรือมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ ในทางการแพทย์ถือว่าจำเป็น ต้องทำแท้งการตั้งครรภ์ลักษณะนี้ และต้องทำให้มดลูกสะอาดทันทีที่ตรวจพบ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับมารดา.
และเป็นที่รู้กันในทางวิชาการว่า ไม่ใช่ว่าการผสมกันระหว่างเชื้อสเปิร์มกับไข่ทุกครั้งจะต้องเป็นการปฏิสนธิเป็นทารกที่มีชีวิต แต่อาจเกิดเป็นทารกที่พิการ หรือไม่สมประกอบ และจะยังคงอยู่ในมดลูกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนจะแท้งโดยอัตโนมัติ หรือทำให้พ้นจากมดลูกไป.
สรุปได้ความว่า : การตั้งครรภ์ทุกครั้งไม่ได้หมายความว่าจะก่อให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี และจำเป็นต้องดำรงรักษาไว้ ?
ดังนั้นจึงเกิดคำถามที่จะต้องนำไปอภิปรายดังต่อไปนี้ :
- ผลจากการผสมกันของเชื้อสเปิร์มกับไข่ เมื่อใดจึงจะเกิดความมีศักดิ์ศรี และสิทธิต่างๆ ?
- ความมีศักดิ์ศรีของทารก จะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ?
ในความเห็นของทัศนะที่ว่า ศักดิ์ศรีของทารกและครรภ์จะเริ่มต้นตั้งแต่ทารกนี้ จะกลาย เป็นมนุษย์และเป็นคนที่สมบูรณ์.
ดังนั้นมนุษย์ หรือทารกที่มีคุณสมบัติ และ รูปร่างของมนุษย์แล้ว ถือว่าเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรี และสิทธิต่างๆ จึงไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่มีชีวิต (หรือมีสื่อของชีวิตอยู่ในสิ่งนั้น) ในมดลูกจะได้รับเกียรติและได้รับการยกย่องถึงขนาดนี้ ?
และเมื่อเราติดตามชีวิต (ของมนุษย์) ภายในมดลูกเราก็จะพบว่า มันผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมาย คัมภีร์อัลกุรอานได้บรรยายขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้อย่างละเอียด
อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :
( وَلَقَدْ خَلَقْنَا
الإِنْسَانَ مِنْ سُلاَلَةٍ مِنْ طِيْنٍ * ثُمَّ جَعَلْنَاهُ نُطْفَةً فِيْ
قَرَارٍ مَكِيْنٍ * ثُمَّ خَلَقْنَا النُّطْفَةَ عَلَقَةً فَخَلَقْنَا الْعَلَقَةَ
مُضْغَةً فَخَلَقْنَا الْمُضْغَةَ عِظَامًا فَكَسَوْنَا الْعِظَامَ لَحْمًا ثُمَّ
أَنْشَأْنَاهُ خَلْقًا آَخَرَ فَتَبَارَكَ اللهُ أَحْسَنُ الْخَالِقِيْنَ) المؤمنون 12-14
“ แท้จริงเราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากธาตุดิน หลังจากนั้นเราได้สร้างเขา ขึ้นมาจากการปฏิสนธิในที่พำนักอันมั่นคง หลังจากนั้นเราได้สร้างจาการปฏิสนธินั้น เป็นก้อนเลือดเราได้สร้างก้อนเลือดเป็นก้อนเนื้อ เราได้สร้างก้อนเนื้อเป็นกระดูก เราได้หุ้มห่อกระดูกด้วยเนื้อ หลังจากนั้นเราได้สร้างเขาเป็นรูป ร่างอีกอย่างหนึ่ง อัลเลาะห์ทรงจำเริญพระ องค์เป็นผู้สร้างที่งดงามที่สุด ” (อัลมุอ์มินูน 12-14)
การบรรยายทางวิชาการ (การชันสูตรศพ) ของทารกสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ :
ภายหลังจากเชื้อสเปิร์ม ได้พบกับไข่แล้ว ผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลง จากสภาพการปฏิสนธิไปเป็นเลือดก้อน แล้วเปลี่ยนเป็นก้อนเนื้อ จนเริ่มเกิดกระดูกและเนื้อ เมื่อมาถึง ณ จุดนี้ เซลล์และเส้นใยต่างๆ ยังไม่เกิดเกาะกลุ่มเป็นรูปร่างเหมือนมนุษย์ และยังไม่มีส่วนใดเคลื่อนไหว ต่อมาเมื่ออายุของทารกเกือบครบสี่สิบวัน ก็จะเริ่มเกิดอวัยวะต่างๆ ต่อมาก็ลำของไขสันหลัง ซึ่งเป็นศูนย์รวมของประสาทต่างๆ และใน 42 วันนับตั้งแต่ตั้งครรภ์
อัลกุรอานได้บรรยายการสร้างมนุษย์ไว้ว่า
(إِنَّا خَلَقْنَا اْلإِنْسَانَ
مِنْ نُطْفَةٍ أَمْشَاجٍ ) الإنسان 2
“ แท้จริงเราได้สร้างมนุษย์ ขึ้นมาจากน้ำเชื้อที่ผสมกัน ”
(อัลอินซาน 2) คือน้ำเชื้อที่ผสมกันระหว่างเชื้อสเปิร์มและไข่ อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า :
(
خَلَقْنَا اْلإِنْسَانَ مِنْ نُطْفَةٍ فَإِذَا هُوَ خَصِيْمٌ مُبِيْنٍ )
النحل 4
“ พระองค์ได้สร้างมนุษย์ ขึ้นมาจากน้ำเชื้อ แล้วเขาก็เป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน ” (อันนะห์ลิ 4) หมายถึง มนุษย์นั้นเกิดจากน้ำเชื้อ.
และพระองค์ตรัสว่า :
( خَلَقَ اْلإِنْسَانَ مِنْ
عَلَقٍ ) العلق 2
“ พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากก้อนเลือด ” (อัลอะลัก 2) หมายถึงขั้นตอนของก้อนเลือดก่อนถึงขั้นตอนของมนุษย์
หลังจากนั้นพระองค์ได้ตรัสว่า :
( لَقَدْ خَلَقْنَا
اْلإِنْسَانَ فِيْ أَحْسَنِ تَقْوِيْمٍ ) التين 4
“ ขอสาบานว่า
เราได้สร้างมนุษย์ขึ้น มาในรูปร่างที่สวยงามยิ่ง ” (อัฏฏีน 4)
จากที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เราสามารถสรุปได้ว่า การผสมกันของเชื้อสเปิร์มกับไข่เป็นครั้งแรกนั้นยังไม่เป็นมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตแล้ว เช่นเดียวกับขั้นตอนต่างๆ ขณะอยู่ในสภาพปฏิสนธิเลือดก้อน เนื้อก้อน กระดูดและเนื้อก็ยังไม่ใช่ของมนุษย์ ที่อยู่ในสภาพที่มีเรือนร่างสวยงาม ขั้นต่อไปของขั้นตอนเหล่านี้ก็คือ ขั้นของการเกิดอีกรูปหนึ่ง และเกิดรูปลักษณ์ของความเป็นมนุษย์
สรุปความ
ศักดิ์ศรีของตัวอ่อน เป็นสิ่งที่อิสลามให้การค้ำประกันแต่ศักดิ์ศรีนี้จะเริ่มต้นเมื่อใด ? จะเริ่ม ต้นพร้อมกับเริ่มต้นชีวิตใช่ไหม ?
หรือเริ่มต้น พร้อมกับเริ่มต้นเคลื่อนไหวของอวัยวะ (การเคลื่อนไหวที่ยังไม่รู้สึก) ภายหลังตั้งครรภ์ประมาณ
40 วัน ? หรือเริ่มต้น พร้อมกับที่แม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในเดือนที่สี่หรือห้านับตั้งแต่ตั้งครรภ์ ?
สิ่งที่ข้าพเจ้ามีทัศนะ – อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง - ต่อหลักการที่ว่าศักดิ์ศรีของทารกเริ่มต้น พร้อมกับเริ่มมีชีวิต ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
แต่ทัศนะของข้าพเจ้าคือ การเคลื่อนไหวเริ่มต้นขณะที่ทารกเริ่มมีรูปร่างเป็นมนุษย์ คือภายหลังจาก 40 วัน นับตั้งแต่กำเนิดทารกอยู่ในครรภ์มารดา
และอัลเลาะห์ทรงสัจจะที่พระองค์ตรัสว่า :
( وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى
) النجم 3
“ และเขา(มูฮำหมัด)จะไม่พูดตาม อารมณ์ ” (อันนัจม์ 3) และศาสนทูตของพระองค์ก็มีสัจจะ
http://www.islamset.com/arabic/abioethics/engab/baslama.htm
เอกสารหมายเลข 2
การประชุมในหัวข้อ “ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นและสิ้นสุดตามทัศนะของอิสลาม”
การประชุมหัวข้อดังกล่าวมีจุดมุ่งหมาย ที่จะอธิบายบัญญัติทางศาสนา ในสิ่งที่แพทย์มุสลิมกำลังเผชิญในการปฏิบัติหน้าที่ประจำวัน สำหรับวิชาชีพแพทย์,
และสิ่งที่จะเกิดตามมาจากการปฏิบัติหน้าที่ว่า มีข้อกำหนดทางศาสนาและมติต่างๆ ทางการแพทย์เป็นอย่างไร ซึ่งอาจมีผล กระทบกับชีวิตมนุษย์ทั้งด้านบวกหรือด้านลบ เป็นการอธิบายข้อเท็จจริง และเพื่อจะทราบถึงสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ และสิ่งที่ศาสนาห้ามภายในกรอบบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม เพราะความจริงมีความก้าวหน้า และพัฒนาการทางด้านวิทยาทางการแพทย์ และเทคนิคสมัยใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นการร่วมประชุมของแพทย์ นักนิติศาสตร์ นักกฎหมาย และการวิจัยเรื่องเริ่มต้นชีวิต และสิ้นสุดการกำหนดความเห็นทางด้านศาสนา สำหรับสิ่งอนุมัติ และสิ่งต้องห้าม จึงนับว่าเป็นความจำเป็นรีบด่วน สำหรับการปฏิบัติงานประจำวันที่จะไปกันได้กับนวัตกรรมทางการแพทย์สมัยใหม่.
บทวิจัยทางการแพทย์ และนิติศาสตร์ที่ถูกนำเสนอในระหว่างการประชุม เรื่องการเริ่มต้นชีวิตมนุษย์ และสิ้นสุดของชีวิต ทั้งด้านการแพทย์และนิติศาสตร์อิสลาม
ที่ประชุมได้มีการอภิปรายปัญหาต่าง ๆ ที่แพทย์ต้องเผชิญในการปฏิบัติงาน ตามวิชาชีพด้านมนุษยธรรม และที่ต้องการความเห็นที่ถูกต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดทางศาสนา เพื่อที่แพทย์จะไม่ต้องยึดเอาการวินิจฉัยส่วนตัว มาเป็นบรรทัดฐาน และเพื่อนำข้อกำหนดทางศาสนา มาใช้กับนวัตกรรมใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ และถ่ายทอดมาถึงพวกเราจากประเด็นที่จะต้องวางกฎเกณฑ์ทางศาสนาสำหรับประเด็นต่างๆ เหล่านั้น.
ในการประชุมครั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้นักวิชาการด้านศาสนาและแพทย์มุสลิม ได้แสดง ผลงานต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นชีวิต และ การสิ้นสุด และการปลูกถ่ายอวัยวะ
การประชุมครั้งนี้ซึ่งมีทั้ง การแพทย์ นักวิชาการศาสนา นักกฎหมาย และนักวิชาการมนุษยศาสตร์จบลงภายหลังจากวิจัย เนื้อหาการเริ่มต้นชีวิตและสิ้นสุดโดยมีปฏิญญาหลายข้อ :
ปฏิญญาของที่ประชุม
มวลการสรรเสริญ เป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์ และด้วยการดูแลของพระองค์ องค์การอิสลามเพื่อวิชาการทางการแพทย์ ได้จัดประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขของประเทศคูเวต เป็นการประชุมครั้งที่สองจากลำดับการประชุมขององค์การ เรื่อง (อิสลาม และ ปัญหาทางการแพทย์ยุคใหม่) ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ ชีวิตมนุษย์ จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของชีวิตตามทัศนะของอิสลาม ” ระหว่างวันที่ 24 - 26 รอบีอุ้ลอาคิร ฮ.ศ. 1405
ตรงกับวันที่ 15 - 17 มกราคม ค.ศ 1985 ที่โรงแรมฮิลตันประเทศคูเวต เป็นการตอบสนองความรู้สึกของคนทั่วไปที่รู้สึกว่า ปัญหายุคใหม่มีความยุ่งยากมาก นักวินิจฉัยเพียงคนเดียว ไม่อาจเข้าถึงปัญหาได้อย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระดมความคิดของนักวิชาการมุสลิม ที่มีความเชี่ยวชาญร่วมกับความพยายามของนักนิติศาสตร์ เพื่อเป็นประกันว่าทัศนะทางศาสนาตั้งอยู่บนฐานข้อมูล ที่ละเอียดมากพอกับเรื่องที่ถูกเสนอเข้ามา.
ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการเชิญนักนิติ ศาสตร์อิสลาม นักการแพทย์ นักกฎหมาย และนักมานุษยวิทยา โดยกำหนดให้วันแรกเป็นวันของการค้นคว้าเรื่องเริ่มต้นชีวิต และวันที่สองเพื่อการค้นคว้าเรื่องการสิ้นสุดของชีวิต และที่ประชุมได้แต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นชุดหนึ่งเพื่อทำการเรียบเรียง เนื้อหาในตอนเช้าของวันที่สาม เพื่อรวบรวมและเรียบเรียงสาระที่ได้จากการประชุม.
และภายหลังจากได้ศึกษาข้อเสนอ ที่นำ เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม และที่ผู้รายงานกลุ่มย่อยนำเสนอบันทึก
ตลอดจนเอกสารที่ผู้เข้าร่วมประชุมบางท่าน ได้เสนอเข้ามาในการประชุมครั้งนี้
ที่ประชุมจึงมีมติดังนี้ :
การเริ่มต้นชีวิต
หนึ่ง : การเริ่มต้นชีวิตจะนับตั้งแต่เชื้อสเปิร์มผสมกับไข่ เพื่อที่จะเป็นไข่ที่ถูกผสมที่มีถุงพันธุกรรมที่สมบูรณ์ สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยทั่วไป และสำหรับสิ่งมีชีวิตหนึ่งด้วยตนเองที่ต่างกับสิ่งมีชีวิตอื่น และจะเริ่มแยกตัวเพื่อทำให้เกิดทารกที่สมบูรณ์มีพัฒนาการ ในช่วงระยะเวลาตั้งครรภ์จนถึงคลอด
สอง
: นับตั้งแต่การตั้งครรภ์มั่นคงอยู่ในมดลูกของสตรี ตัวอ่อนก็จะได้รับการยกย่อง โดยความเห็นพ้องกันของนักวิชาการ และจะมีบท บัญญัติทางศาสนามาใช้กับตัวอ่อนที่กล่าวนี้
สาม
: เมื่อทารกถึงขั้นเป่าวิญญาณ (ตามทัศนะที่มีความเห็นแตกต่างกัน ในเรื่องกำหนดเวลาของการเป่าวิญญาณ บางทัศนะว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน และบางทัศนะว่า สี่สิบวัน) ศักดิ์ศรีของตัวอ่อนก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยความเห็นพ้องกันของนักวิชาการ และจะมีบทบัญญัติอื่นทางศาสนา มาใช้กับทารกดังกล่าวอีก
สี่
: ส่วนหนึ่งของข้อกำหนดที่สำคัญ ก็คือ : ข้อกำหนดในการทำแท้ง ซึ่งอยู่ในข้อเจ็ดของปฏิญญา การประชุมเรื่อง “ การให้กำเนิดในทัศนะของอิสลาม ”
การสิ้นสุดของชีวิต
หนึ่ง : ที่ประชุมเห็นว่าสภาพส่วนใหญ่ของความตายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่มีความยากลำบากที่จะรู้ว่าตาย โดยอาศัยเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ผู้คนรู้จักกัน หรืออาศัยการตรวจภายนอกของแพทย์ซึ่งจะช่วยได้ ในกรณีที่ไม่ปรากฏเครื่อง หมายที่จะใช้แยกคนเป็นออกจากคนตายได้.
สอง
: มีกรณีน้อยมาก ซึ่งโดยปกติจะอยู่ภายใต้การสังเกตทางการแพทย์ที่ครอบคลุม และละเอียดอ่อนในโรงพยาบาลต่างๆ และศูนย์การ แพทย์เฉพาะทาง และห้องไอซียู ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเป็นพิเศษ ที่จะต้องตรวจวินิจฉัยการเสีย ชีวิตในสถานพยาบาลเหล่านั้น ถ้าหากยังมีสัญลักษณ์อย่างที่ผู้คนรู้กันมาแต่เดิมว่า เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิต โดยไม่คำนึงว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในอวัยวะ หรือเป็นผลที่เกิดจากเครื่องช่วยหายใจ ที่ต่อเข้ากับร่างกาย
สาม
: ที่ประชุมได้ศึกษาข้อมูลในตำรานิติศาสตร์ถึงสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงความตาย และปรากฏแก่ที่ประชุมว่า ไม่พบตัวบทตามบัญญัติศาสนาที่กำหนดเรื่องการเสียชีวิต ข้อวินิจฉัยเหล่า นี้เปรียบเสมือนตัวแทนของข้อมูลทางการแพทย์ ที่มีอยู่ในยุคนั้น
และโดยที่การตรวจวินิจฉัย เรื่องการเสียชีวิต และสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงการเสียชีวิต โดยตลอดมานั้น เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่นักนิติ ศาสตร์อิสลาม นำไปออกข้อกำหนดทางศาสนา แพทย์ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ จึงได้นำเสนอความคิดเห็นทางการแพทย์ร่วมสมัย ในส่วนที่เกี่ยวกับการเสียชีวิต
สี่
: ได้มีคำอธิบายเสนอต่อที่ประชุมหลัง จากแพทย์ได้นำเสนอแล้วว่า :
สิ่งที่แพทย์ให้ความเชื่อถือ ในการตรวจวินิจฉัยการเสียชีวิตของบุคคล คืออาการหยุดนิ่งของเขตสมองที่มีหน้าที่ควบคุมการมีชีวิตหลัก ที่เรียกว่าอาการก้านสมองตาย
การตรวจวินิจฉัยว่า ก้านสมองตายมีเงื่อน ไขหลายประการที่ชัดเจน ภายหลังจากขจัดสภาพที่อาจก่อให้เกิดความสงสัยออกไป และอยู่ในความ สามารถของแพทย์
ที่จะวินิจฉัยอย่างมั่นใจถึงอาการของก้านสมองตายได้อวัยวะใด หรือ อวัยวะที่ทำหน้าที่สำคัญอื่นๆ เช่น หัวใจ และการหายใจ อาจหยุดทำงานชั่วคราวได้ แต่ก็สามารถปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตคนไข้ไว้ได้จำนวนหนึ่ง ตราบที่สมองยังเป็นอยู่ แต่ถ้าหากก้านสมองตาย ก็ไม่มีความหวังใดๆ ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย และความจริงก็คือผู้ป่วยสิ้นชีวิตแล้วแม้จะยังคงมีการเคลื่อนไหว หรือมีการทำหน้าที่ของอวัยวะอื่นอยู่ในร่างกายก็ตาม ซึ่งอวัยวะเหล่านี้ภายหลังจากก้านสมองตายแล้ว ก็จะทำให้หยุดนิ่งและสงบโดยสมบูรณ์โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ.
ห้า
: ความเห็นของนักนิติศาสตร์อิสลามเห็นว่า อาศัยข้อเสนอนี้ของคณะการแพทย์ว่า : มนุษย์ที่ถึงขั้นก้านสมองตาย ถือว่าชีวิตได้ออกไปจากเขาแล้ว และเหมาะสมที่จะนำข้อกำหนดความตายบางอย่างมาใช้บังคับกับเขา โดยใช้หลัก การอนุมาน(กิยาส) -พร้อมกับมีข้อแตกต่างดังเป็นที่ทราบ- โดยอาศัยหลักนิติศาสตร์ที่กล่าวถึงผู้ป่วยที่อยู่ในอาการอ่อนเปลี้ยใกล้ตาย ส่วนการนำเอาข้อกำหนดความตายที่เหลือมาใช้บังคับกับเขา นักนิติศาสตร์ที่มาร่วมประชุมมีทัศนะว่า ให้ร่นมันออกไปจนกว่าอวัยวะต่างๆที่สำคัญ จะหยุดทำงาน และที่ประชุมกำชับให้ศึกษารายละเอียดอื่นๆ เพื่อออกข้อกำหนดต่างๆ ว่าอะไรควรออกก่อนหลัง
หก
: โดยอาศัยหลักการที่กล่าวมา จึงมีความเห็นตรงกันว่า เมื่อก้านสมองตายจริงตามรายงานของคณะแพทย์ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นเพื่อการนี้ ก็อนุญาตให้หยุดเครื่องช่วยหายใจเทียมได้.
http://www.islamset.com/arabic/abioethics/hayat.html
เอกสารหมายเลข 3
สมองตายในทัศนะของอิสลาม
หัวข้อ ฟัตวา : สมองตาย ในทัศนะของอิสลาม
วันฟัตวา :
30 มิถุนายน 2001
วันตอบ
: 30 มิถุนายน 2001
เรื่องฟัตวา :
ประเด็นทางการแพทย์
คำถาม : พวกเราต้องการทราบข้อตัดสินทางศาสนาในปัญหาเรื่องสมองตาย จะถือว่าสมองตายเป็นความตายตามบัญญัติศาสนา ที่จะมีข้อกำหนดอื่นๆที่เกี่ยวกับความตายเกิดขึ้นหรือไม่ ?
รวมถึงการเอาอวัยวะไปปลูกถ่าย ให้แก่คนอื่น ?
กรุณาชี้แจงทัศนะของนักนิติศาสตร์อิสลาม ในเรื่องดังกล่าว และอธิบายถึงทัศนะที่ถูกต้อง , ขออัลเลาะห์ตอบแทนความดีให้แก่พวกท่าน.
ชื่อผู้ตอบ : อาจารย์ ดร. อับดุลฟัตตาฮ์ อิดรีส
คำตอบ : ด้วยพระนามของอัลเลาะห์ และมวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์
นักนิติศาสตร์อิสลามมีทัศนะว่าความตายมีเครื่องหมายที่จะสามารถรู้ได้ เช่นหัวใจหยุดเต้น ลมหายใจขาด อวัยวะและกล้ามเนื้อทิ้งตัว การเคลื่อนไหวในร่างกายหยุดนิ่ง สีผิวหนังเปลี่ยน แปลงไป ตาเบิกโพลง ไม่กระพริบเมื่อโดนสัมผัส ขมับหมองคล้ำ จมูกตก ริมผีปากเผยอ หนังบริเวณใบหน้าหย่อนยาน และไม่มีชีพจร… เครื่องหมายเหล่านี้ จะยังไม่เกิดขึ้นกับคนที่สมองตาย เพราะเหตุการณ์ต่างๆ ยืนยัน - ดังที่เราเห็น - ว่าร่างกายของพวกเขายังมีชีวิตคืบคลานอยู่ โดยอวัยวะบางอย่างยังคงทำงานอยู่ เช่นหัวใจและไตทั้งสองข้างเป็นต้น.
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ทัศนะที่มีน้ำหนักก็คือคนสมองตายนั้นพวกเขายังไม่ตาย.
อาจารย์
ดร. อับดุลฟัตตาฮ์ อิดรีส อาจารย์นิติศาสตร์เปรียบเทียบ มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรกล่าวว่า :
นักนิติศาสตร์อิสลาม ได้ให้คำนิยามความตายไว้ว่าคือลักษณะหนึ่งที่ถูกสร้างให้มีขึ้น ตรงข้ามกับการมีชีวิต เมื่อมีลักษณะความตายสิ่งที่จะสูญเสียไปก็คือความรู้สึก ความเจริญเติบโต และการใช้สติปัญญา หรือความตายคือการที่วิญญาณออกไปจากร่างกาย และแก่นแท้ของการที่วิญญาณออกไปนี้ ก็คือวิญญาณออกไปพ้นจากทุกอวัยวะ โดยจะไม่มีอวัยวะใดในร่างกายมีลักษณะของการมีชีวิตอยู่ ดังนั้นความตาย จึงสอดคล้องกับความหมายนี้คือ : การเคลื่อนไหวของร่างกายหยุดสนิท อวัยวะหยุดการเจริญเติบโต เน่าเสียและผุพังได้ เพราะวิญญาณออกไปจากร่างแล้ว.
ความตายจึงตรงข้ามกับการมีชีวิต ด้วยเหตุนี้ความเป็นและความตาย จะไม่รวมอยู่ในร่างเดียวกัน และทั้งสองจะไม่ออกไปจากร่างในเวลาเดียวกัน ในเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันมากมายเช่นคำดำรัสของพระองค์อัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า :
( قُلِ اللّهُ يُحْيِيْكُمْ
ثُمَّ يُمِيْتُكُمْ ..) الجاثية 26
“ จงประกาศเถิด (โอ้มูฮำหมัด) อัลเลาะห์จะทรงให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นพระองค์จะทรงให้พวกเจ้าตายไป” อัลยาซืยะห์ 26
และพระองค์ ตรัสว่า :
( كَيْفَ تَكْفُرُوْنَ بِاللّهِ
وَكُنْتُمْ أَمْوَاتًا فَأَحْيَاكُمْ ثُمَّ يُمِيْتُكُمْ ثُمَّ يُحْيِيْكُمْ ثُمَّ
إِلَيْهِ تُرْجَعُوْنَ ) البقرة 28
“
แล้วพวกเจ้าจะทรยศต่ออัลเลาะห์ ได้อย่าง ไร ? ทั้งที่พวกเจ้าเคยเป็นสิ่งที่ไร้ชีวิต แล้วพระองค์ได้ให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นมา แล้วให้พวกเจ้าตายไป แล้วพระองค์จะทรงชุบชีวิตของพวกเจ้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ” อัลบะกอเราะห์ 28
เมื่อความตายคือ การที่วิญญาณออกไปจากร่าง และการออกไปนี้ไม่อาจแลเห็นได้ เพราะวิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ ด้วยประสาทสัมผัสที่มี แต่การที่วิญญาณออกไปจากร่างมีเครื่องหมายที่นักวิชาการนิติศาสตร์อิสลาม ใช้เป็นหลักฐานยืนยันการตายของบุคคล ที่มีเครื่องหมายเหล่านี้ เช่นหัวใจหยุดทำงาน ลมหายใจขาด อวัยวะและกล้ามเนื้อทิ้งตัว การเคลื่อนไหวในร่างกายหยุดนิ่ง สีผิวหนังเปลี่ยนแปลงไป ตาเบิกโพลง ไม่กระพริบเมื่อโดนสัมผัส ขมับหมองคล้ำ จมูกตก ริมผีปากเผยอ หนังบริเวณใบหน้าหย่อนยาน และไม่มีชีพจร ตาเหลือกไม่เห็นตาดำสำหรับผู้ใหญ่ เท้าทั้งสองข้างตก ไม่ตั้งตรง ลูกอัณฑะหดขึ้นข้างบนสำหรับเพศชาย ผิวหนังห้อย และตัวเย็น
เครื่องหมายเหล่านี้ ยังไม่อาจใช้เป็นเครื่องหมายของความตายได้อย่างมั่นใจ สำหรับนักนิติศาสตร์อิสลาม บางทีอาจมีเครื่องหมายเหล่านี้เกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าผู้ที่มีเครื่องหมายเหล่านี้อยู่เสียชีวิต เพราะอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ในการตรวจเป็นต้น ด้วยเหตุนี้อิหม่ามนะวะวีย์ (นักนิติศาสตร์อิสลามวิเคราะห์ ในสังกัดสำนักชาฟิอี) จึงได้กล่าวว่า : “ ถ้าหากสงสัยการตาย เช่นคนนั้นไม่มีโรค และเป็นไปได้ว่าเขาหมดสติไป หรือพบเครื่องหมายว่ามีอาการตกใจเป็นต้น ก็ให้รอคอยไปจนกว่าจะแน่ใจว่าตายจริง ด้วยการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นหรืออย่างอื่น.
ส่วนเครื่องหมาย ที่แพทย์ใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าตายจริง ก็ไม่ได้แตกต่างมากมายนักกับที่นักนิติศาสตร์อิสลามใช้เป็นเครื่องหมาย สำหรับเครื่องหมายความตายของพวกแพทย์ ก็คือหัวใจหยุดเต้น ระบบการหายใจ และระบบการหมุนเวียนโลหิตหยุดทำงาน ที่ไม่มีทางกลับมาทำงานได้อีก ดังกล่าวนี้รวมกับเครื่องหมายทั่วไป เช่น กล้ามเนื้อทิ้งตัว ร่างกายไม่ตอบสนองการกระตุ้นใดๆ แก้วตาไม่เคลื่อนไหว ร่างกายเย็น แม้จะอยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิร้อนก็ตาม.
การชันสูตรศพ จะกระทำภายหลังจากหัวใจหยุดเต้น ระบบการหายใจ และระบบการหมุนเวียนโลหิตหยุดทำงาน อย่างไม่อาจกลับคืนได้อีก ถึงแม้กฎหมายต่างๆ จะระบุว่า การชันสูตรศพเพื่อลงความเห็นว่าเสียชีวิตนั้น จะต้องให้เวลาผ่านไปก่อนหลายๆชั่วโมง เพื่อออกใบอนุญาตให้นำศพไปฝังได้.
ผู้ป่วยที่หมดความรู้สึกทางสมอง และใช้เครื่องช่วยชีวิตอยู่นั้น การหมุนเวียนโลหิตจะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปได้ โดยอาศัยเครื่องช่วยชีวิตดังกล่าว และหัวใจจะยังคงสูบฉีดโลหิตอยู่ ปอดยังคงทำหน้าที่หายใจ และอวัยวะต่างๆในร่างกายยังคงทำงานอยู่ ยังมีการขัดแย้งกันในการจำแนกผู้ป่วย เพื่อให้สอดคล้องกับอาการของพวกเขานี้ โดยขัดแย้งกันว่าพวกเขาเป็นคนตายแล้วจริงๆ ก็จะถูกจัดอยู่ในจำพวกของคนตาย และพวกเขาก็จะเป็นเหมือนกับคนที่หัวใจหยุดเต้น ระบบการหายใจ และระบบการหมุนเวียนโลหิตหยุดทำงาน หรือพวกเขาถูกจำแนกว่ายังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ป่วยที่อาจรักษาให้หายได้ จากอาการหมดความรู้สึก ?
แพทย์กลุ่มหนึ่งเห็นว่า คนที่ก้านสมองตายทั้งหมดแล้วนั้นถือว่าเป็นคนตาย แต่ควรที่จะหาความมั่นใจจากอาการสมองตาย ทั้งนี้ด้วยการติดตามขั้นตอนต่างๆ ของการตรวจวินิจฉัยว่าสมองตาย
หนึ่ง : ผู้ป่วยสลบไม่รู้ตัวโดยสมบูรณ์ โดยไม่อาจหายจากอาการไม่รู้สึกตัวนี้ได้ พร้อมทั้งต้องระบุถ้าหากพบว่ามีอาการป่วย หรือก้านสมองได้รับบาดเจ็บ หรือสมองทั้งหมดได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจรักษาได้ หรือบรรเทาได้
สอง
: สาเหตุของสมองตาย ถ้าหากเกิดจากอุบัติเหตุ หรือเลือดตกใน ในสมอง หรือสมองบวม หรืออักเสบเป็นต้น
สาม
: ไม่สามารถหายใจได้เอง และต้องอาศัยการช่วยหายใจ
สี่
: สาเหตุการสลบ (หมดสติ) ไม่ได้เกิดจากการดื่มสิ่งมึนเมา หรือเสพยาเสพย์ติด หรือดื่มยาพิษ หรือจากอาการไตวาย หรือตับวาย หรือเกิดจากการทำงานของต่อมต่างๆ รวนเร
ห้า
: ไม่มีอาการตอบสนองจากก้านสมอง ดังกล่าวนี้ ยังรวมถึงการวัดคลื่นสมองที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าไม่มีคลื่นใดๆ และมั่นใจว่าไม่มีการหมุนเวียนโลหิตที่สมอง ด้วยการถ่ายภาพเอกซ์เรย์เส้นเลือดสมอง
ได้มีการจัดการประชุมขึ้นถึงสองครั้ง โดยองค์กรอิสลาม วิทยาการทางการแพทย์ที่ประเทศคูเวต ครั้งแรกปี 1985 เรื่อง “ ชีวิตมนุษย์การเริ่มต้นและสิ้นสุด ” ครั้งที่สองปี 1996 เรื่อง “ นิยามทางการแพทย์สำหรับความตาย ” ทั้งสองครั้งถือว่า คนตายเมื่อหน้าที่ของสมองทั้งหมดหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง ซึ่งรวมถึงก้านสมอง เป็นสิ่งที่สภานิติศาสตร์อิสลามจัดขึ้น ณ เมืองอัมมาน ประเทศจอร์แดน 1986 ได้ยืนยัน
และแพทย์อีกกลุ่มหนึ่งมีทัศนะว่า ไม่ถือว่าก้านสมองตาย เป็นหลักฐานของการตายของผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกทางสมอง เพราะแพทย์กลุ่มนี้เห็นว่าคนที่สมองตายนั้น ตามความเป็นจริงคือผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ป่วยเป็นโรคหมดความรู้สึกอย่างลึก หรือได้รับอุบัติเหตุ และพวกเขายังไม่ใช่เป็นคนตาย หลักฐานในเรื่องนี้คือ การที่อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของพวกเขายังไม่ได้หยุดทำงาน เพราะหัวใจ ตับ และไตทั้งสองยังทำงานอยู่ อวัยวะส่วนที่ย่อยอาหารยังคงทำหน้าที่บดย่อย และดูดซึม และต่อมต่างๆ ของร่างกายที่ทำหน้าที่คายกาก รวมถึงต่อมเสมหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสมอง การขับถ่ายฮอร์โมนการเจริญเติบโต ในร่างกายของผู้ป่วยเหล่านี้ก็ยังคงทำหน้าที่อยู่ เช่นเดียวกับทารกในครรภ์ของสตรี ที่ป่วยหมดความรู้สึกทางสมอง ก็ยังคงเจริญเติบโตไปตามปกติ จนถึงกำหนดคลอด ร่างกายของผู้ป่วยเหล่านี้ ยังคงเก็บ รักษาความร้อนไว้ได้ตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับคนที่ไม่ได้ป่วย บางครั้งอุณหภูมิความร้อนของร่างกาย อาจสูงขึ้นเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคอื่น เมื่อมีแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสเข้าไป เป็นต้น ดังกล่าวนี้ยังรวมถึง ความสำเร็จในการผ่าตัดย้ายอวัยวะบางอย่าง เช่น ตับ หัวใจ ปอด ไต และตับอ่อน เป็นต้น จะยังไม่เป็นความจริง ยกเว้นจะต้องเอาจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่อวัยวะทั้งหมดในร่างกายยังทำงานอยู่ เช่นคนป่วยที่หมดความรู้สึกทางสมอง และอวัยวะเหล่านี้จะนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ ถ้าหากเอามาจากคนที่ตายแล้วจริงๆ ด้วยการที่หัวใจหยุดเต้น ระบบการหายใจ และการหมุนเวียนโลหิตหยุดทำงาน
ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อชิ้นส่วนของคนป่วยเหล่านี้ยังมีสภาพที่ดีอยู่ ที่จะนำไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่น ก็จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าอวัยวะของผู้ที่ถูกผ่าตัดเอาอวัยวะออกไปนั้นเป็นคนตาย แต่เขายังเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ ถึงแม้อาการไม่รู้สึกตัวของพวกเขาจะยาวนานก็ตาม ดังนั้นจึงสมควรต้องให้การบำบัดรักษาพวกเขา ให้หายจากอาการดังกล่าว แทนการจัดการให้สิ้นสุดไป โดยอ้างว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้.
บัดนี้ มีการศึกษาค้นคว้า จนประสบผลสำเร็จในประเทศตะวันตก ที่จะให้การรักษาคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะด้วยการใส่เครื่องหายใจเทียม หรือการรักษาทางยา และเป็นสิ่งที่สมาคมอเมริกันสำหรับอาการเยียวยาอาการฉุกเฉิน และคณะ แพทย์ได้ประกาศผลการค้นคว้าวิจัยแล้ว ที่เมืองบอสตัน และความจริง ได้มีบทวิจัยทางการแพทย์ที่ได้ทำกับผู้ป่วยจำนวนมาก ที่ได้ตรวจอาการของพวกเขาแล้วว่า มีอาการเหมือนคนที่ก้านสมองตาย ยืนยันว่ามีจำนวนมิใช่น้อยที่กลับมามีชีวิตเป็นปกติได้ และโดยที่พวกเขา สามารถกลับมามีชีวิตเป็นปกติได้นี้เอง หลักการต่างๆ สำหรับตรวจอาการสมองตายจึงสอดคล้องกันว่า ไม่อนุญาตให้นำเอาการตีความของมันไปใช้กับเด็กๆ เพราะร่างกายของเด็กนั้น หน้าที่ของสมองยังสามารถกลับคืนมาได้อีก แม้จะไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานานก็ตาม ดัง กล่าวนี้เป็นหลักฐานชี้ว่า การตีความเรื่องสมองตายว่าเป็นเครื่องหมายของความตาย จึงเป็นการตีความที่ใช้ไม่ได้
และเมื่อความตาย ตามความหมายของนักนิติศาสตร์อิสลามหมายถึง การที่วิญญาณออกจากร่าง และมีเครื่องหมายต่าง ๆ บ่งชี้ถึงการที่วิญญาณออกไปจากร่าง ตามที่นักนิติศาสตร์อิสลามได้กล่าวไว้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ตรงกับที่ทางการแพทย์ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกัน เช่นหัวใจหยุดทำงาน ระบบการหายใจ และการหมุนเวียนของโลหิตหยุดทำงาน อย่างที่ไม่อาจกลับคืนมาได้อีก ความจริงเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่าวิญญาณออก ไปจากร่างนี้ จะไม่มีในผู้ป่วยที่อาการไม่รู้สึกตัวทางสมองซึ่งพวกเขาถูกเรียกโดยอนุโลมว่า “ ผู้เสีย ชีวิตแบบนิทรา ” เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้ :
หนึ่ง : ผู้ป่วยเหล่านั้นอวัยวะในร่างกายยังไม่หยุดทำงานอย่างที่จะไม่กลับคืนมาได้อีก แต่อวัยวะเหล่านั้น ยังคงทำงานอยู่ด้วยความสามารถเดียวกับก่อนที่จะไม่รู้สึกตัว และการที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ช่วยอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานได้ไม่ได้เป็นเหตุผลที่จะตัดสินว่า พวกเขาเหล่านั้นตาย เพราะอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่ได้ทำให้ชีวิตกลับคืนสู่ร่างกายของคนตาย ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่สามารถตัดสินได้ว่า อวัยวะในร่างกายของผู้ป่วยเหล่านั้น หยุดทำงานอย่างไม่อาจกลับคืนมาได้อีก ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าพวกเขาเสียชีวิตแล้ว
สอง
: ผู้ป่วยที่หมดความรู้สึกทางสมองยังไม่หมดหวังที่จะหายป่วย และกลับไปมีชีวิตตามปกติ และเมื่อเรายังไม่อาจจัดพวกของพวกเขาไว้ในจำพวกคนตายได้ เรายังก็จัดให้พวกเขาอยู่ในจำพวกของคนที่หมดหวัง จากการหายป่วยไม่ได้จนถึงขั้นที่เราจะละเมิดพวกเขา และสังหารพวกเขาด้วยความเมตตาต่อพวกเขา หรือเมตตาต่อครอบครัวของพวกเขา เมื่อเรามองในแง่ดีต่อบุคคล ที่รีบถอดอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากผู้ป่วย เพื่อรีบทำให้ชีวิตจบสิ้นลง และนั่นก็คือผลลัพธ์ของการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ทางด้านการวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่ยังคงมีการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ อยู่ทุกวันทั้งในด้านการตรวจ และการบำบัดรักษา และได้กล่าวมาแล้วถึงสภาพต่างๆ ของผู้ป่วยเหล่านี้ ที่ได้รับการบำบัดรักษาจากอาการหมดความรู้สึกทางสมอง
สาม
: เซลล์ต่างๆ
ในร่างกายของผู้ป่วยเหล่านั้นยังคงมีชีวิต เกิดขึ้นใหม่ และเจริญเติบโต ทั้งนี้เพราะฮอร์โมนการเจริญเติบโต ยังคงทำงานอยู่ และความร้อนของร่างกาย ยังคงอยู่ในเกณฑ์ความร้อนของผู้ที่ไม่ได้ป่วย ด้วยอาการหมดความรู้สึกทางสมอง ดังกล่าวนี้ย่อมเป็นหลักฐานได้ว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่อย่างมั่นใจ
สี่
: เมื่อความตายเป็นลักษณะที่มีอยู่ที่ถูกสร้างตรงกันข้ามกับการมีชีวิต ความตายและการมีชีวิตจะไม่รวมกันอยู่ในเวลาเดียวกัน เพราะผู้ป่วยด้วยอาการหมดความรู้สึกทางสมอง บางทีอาจถูกบอกว่าตายแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ และการที่จะบอกว่าพวกเขาตาย มันขัดแย้งกันกับสภาพการมีชีวิตที่ยังคงอยู่ในร่างกายของพวกเขา ตามที่ข้าพเจ้าได้อธิบายมาแล้ว และจะยังไม่ยินยอมให้ตัดสินว่าคนใดตาย โดยที่ร่างกายของเขายังมีชีวิต ยังรับอาหารและยา และมีร่องรอยที่แสดงว่ารับการเจริญเติบโตเป็นต้น และอวัยวะของมนุษย์จะไม่ตอบสนองสื่อต่างๆ ของการมีชีวิต นอกจากอวัยวะเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นการมีชีวิตของร่างกายจึงเป็นสิ่งที่จะนำมาพิจารณา ไม่ใช่การมีชีวิตของความรู้สึก เพราะประสบการณ์หลังนี้เป็นเหตุผลของการบังคับ ตามหลักการศาสนาแต่การที่มันขาดหายไป ด้วยอาการหมดความรู้สึกทางสมอง ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของมันตาย ถ้าหากร่างกายยังมีอาการของการมีชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เป็นสิ่งแน่นอนที่จะบอกว่า ผู้ป่วยรายนี้ยังมีชีวิตอยู่โดยวิญญาณของเขา ยังไม่ไปออกจากร่าง เพราะมีหลักฐานบ่งชี้ว่าวิญญาณยังอยู่ในร่างนั้น
ห้า
: มีข้อเท็จจริงยืนยันได้ว่าการเจริญเติบโต ถือเป็นสิ่งที่แสดงออกอย่างหนึ่งของการมีชีวิต ร่างกายของผู้ป่วยจากอาการหมดความรู้สึกทางสมองยังคงเจริญเติบโต เช่นเดียว กับ ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่ได้ป่วยด้วยอาการดังกล่าว เพราะมีการบันทึกจากหลายกรณี ของอาการหมดความรู้ สึกซึ่งถูกตรวจพบว่าก้านสมองตาย และสตรีที่เป็นผู้ป่วยนั้นตั้งครรภ์ ได้มีการติดตามทารกในครรภ์เป็นเวลากว่าห้าเดือน ที่ทารกยังคงเจริญเติบโตเป็นปกติ จนคลอดออกมาด้วยการผ่าตัด การเจริญเติบ โตของทารกจะเกิดขึ้นไม่ได้ ในร่างกายของคนที่ตายแล้ว เพราะไม่มีปัจจัยของการมีชีวิตอยู่ในร่างของคนตาย นี่เป็นหลักฐานเด็ดขาดที่ชี้ว่าคนป่วยเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่
ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างเป็นที่น่าพอใจเต็มที่ว่า ผู้ป่วยด้วยอาการหมดความรู้สึกทางสมอง หรือผู้ที่ถูกตรวจพบอาการว่าก้านสมองตายนั้น เป็นคนที่มีชีวิตอย่างแท้จริงตราบเท่าที่ ยังปรากฏสิ่งที่แสดงความมีชีวิตปรากฏออกมาตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว และด้วยเหตุนี้การถอดอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากผู้ป่วย ในกรณีนี้ก่อนที่จะหมดหวังจากการหายป่วย จึงถือว่าเป็นการฆ่าโดยเจตนาอย่างเป็นปรปักษ์ ตามทัศนะของนักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่ เพราะอุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านี้ถือว่า เป็นสื่อของการบำบัดรักษาผู้ป่วย และการที่แพทย์กีดกันไม่ให้ผู้ป่วยได้รับสื่อของการพยาบาล จึงถือว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรมสังหารผู้ป่วยโดยเจตนา เป็นปรปักษ์ เพราะการถอดอุปกรณ์เหล่านี้ ออกจากผู้ป่วยด้วยอาการหมดความรู้สึกทางสมองนั้น เป็นสื่ออย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้ป่วยอยู่ในอาการอย่างนี้ เสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่ อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง.
เอกสารหมายเลข 4
ความขัดแย้งทางนิติศาสตร์อิสลามและการแพทย์เกี่ยวกับคำฟัตวาของสภายุโรป เพื่อการตอบปัญหาศาสนา ที่อนุญาตทำให้การมีชีวิตของผู้ป่วย ที่ไม่อาจรักษาให้หายได้แล้ว สิ้นสุดลง
คำฟัตวาที่ออกโดยสภายุโรป เพื่อการตอบปัญหาศาสนา เรื่องอนุญาตให้ตายได้ด้วยความเมตตา (การุณยฆาต) ด้วยการถอดเครื่องช่วยชีวิตเทียมออกจากผู้ป่วยที่สมองตาย (การตายแบบนิทรา) ได้ก่อให้เกิดการขัดแย้งอย่างกว้าง ขวางทางด้านศาสนา และการแพทย์ในประเทศอียิปต์โดยหนังสือพิมพ์ “ อัชชัรก์ อัลเอาซัต ” ได้ตีพิมพ์รายละเอียดคำฟัตวาและทัศนะต่างๆ ทาง ด้านนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการสังหารด้วยความเมตตาไปแล้วในฉบับก่อนๆ และในกรณีต่างๆ ที่อนุญาตให้ตายได้โดยสะดวก สำ หรับผู้ป่วยที่ไม่อาจรักษาให้หายป่วยได้แล้ว ด้วย การถอดเครื่องช่วยชีวิตเทียมออกจากเขา.
ทั้งที่มีการขัดแย้งทางการแพทย์ อย่างรุน แรง เกี่ยวกับการหยิบยกเอาเรื่องสมองตายขึ้นมาเป็นประเด็นทางวิชาการ เพื่อทำให้ชีวิตของมนุษย์สิ้นสุดลง แต่การขัดแย้งในเรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนออกมาอย่างกว้างขวาง สำหรับความเห็นของนักนิติศาสตร์มุสลิม และนักการศาสนาของชาวคริสต์ โดยที่ทั้งหมดเห็นพ้องกัน ถึงนิยามของความตาย โดยยังไม่มีนักนิติศาสตร์คนใด ให้การรับรองการตายแบบนิทรา “ อาการก้านสมองตาย ” ว่าเป็นสื่อ ที่จะนำไปประกาศการเสียชีวิตของมนุษย์ และยังไม่มีความเห็นชอบใดๆ จากนักวิชาการมุสลิมว่า การตายที่เกิดจากอาการสมองตายนั้น เป็นรูปแบบหนึ่งที่จะประกาศได้ว่าตายแล้ว นอกจาก ดร. ยูซุฟ อัลกอรฏอวีย์ เพียงผู้เดียว.
เชค ญาดั้ลฮักก์ อะลี ญาดั้ลฮักก์ ผู้นำมหาวิทยาลัย อัลอัซฮัซ ผู้ล่วงลับได้ยืนยันไว้ว่า การที่สมองหมดความรู้สึก ไม่สามารถทำหน้าที่ได้นั้นไม่ได้หมายความว่าบุคคลคนนั้นตาย ความตายตามบัญญัติศาสนาจะยังไม่เกิดขึ้น จริงจนกว่าวิญญาณจะออกจากร่างกายไปแล้ว และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คืออวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะหยุดทำงาน และสิ่งที่แสดงออกว่ามีชีวิตได้ยุติลงแล้ว และว่าการที่ระบบประสาทตายแต่เพียงอย่างเดียว ยังไม่ใช่เป็นเครื่องหมายของความตายที่ หมายถึงการเสียชีวิต แต่การที่ระบบการหายใจยังคงทำงาน ชีพจรยังเต้นอยู่ เป็นหลักฐานยืนยันว่าชีวิตยังคงอยู่ในร่างกาย ถึงแม้ว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์จะบ่งชี้ว่า ระบบประสาทได้สูญเสียการทำหน้าที่ของมันแล้วก็ตาม เพราะจะยังไม่ถือว่าเป็นคนตาย โดยชีวิตหยุดการทำงานในบางส่วนของมัน แต่ที่จะถือว่าเป็นคนตาย และจะมีผลของความตายติดตามมาก็คือ เมื่อได้ตายแล้วจริงๆ ทั่วทั้งร่างกาย ดังนั้นความตายตามบทบัญญัติศาสนา ที่จะมีข้อบัญญัติทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การรับมรดก การลงโทษประหารชีวิต ค่าปรับสินไหม การยุติข้อตกลงสัญญาต่างๆ และอื่นๆ ที่เป็นข้อกำหนดที่จะเกิดไม่ได้ นอกจากภายหลังจากวิญญาณ ได้ออกไปจากร่างแล้วเท่านั้น และสิ้นสุดสิ่งที่แสดงออกว่ายังมีชีวิต เช่น การหายใจ การยึดกันของกล้ามเนื้อ เป็นต้น.
ผู้นำมหาวิทยาลัย อัลอัซฮัร :
ในอิสลามไม่มีคำว่าตายด้วยความเมตตา (การุณยฆาต)
ดร.
มุฮำหมัด ซัยยิด ตอนตอวีย์ ผู้นำมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ได้ออกคำฟัตวาเหมือนๆ กันนี้ โดยกล่าวว่าการตายที่เกิดจากสมองตาย ยังไม่ถือว่าเป็นการตายอย่างสมบูรณ์ แต่จำเป็นต้องปรากฏเครื่องหมายความตายอื่นๆ อีกด้วย และได้กล่าวเพิ่มเติมว่าไม่มีความตายที่เรียกว่า ตายด้วยความเมตตา และว่าแพทย์จะต้องใช้ความ สามารถอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย ไม่ว่าความ หวังจากการหายป่วย จะมีน้อยเพียงใดก็ตาม เพราะชีวิตของมนุษย์เป็นของฝากจากพระเจ้า ที่จำเป็นต้องปกป้องรักษา และ ดร. ตอนตอวีย์ ยังได้อธิบายต่อไปว่า บัญญัติของศาสนาอิสลามได้บัญญัติห้ามการฆ่าตัวตาย โดยอัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :
( وَلاَ تَقْتُلُوْا
أَنْفُسَكُمْ إِنَّ اللّهَ كَانَ بِكُمْ رَحِيْمًا * وَمَنْ يَفْعَلْ ذلِكَ
عُدْوَانًا وَظُلْمًا فَسَوْفَ نُصْلِيْهِ نَارًا وَكَانَ ذلِكَ عَلَى اللّهِ
يَسِيْرًا ) النسآء 29-30
“ และพวกเจ้าอย่าสังหารตนเอง แท้จริงอัลเลาะห์ทรงเมตตายิ่งต่อพวกเจ้าทั้งหลาย และผู้ใดได้กระทำการดังกล่าวโดยเป็นปรปักษ์และโดยทุจริต ต่อไปเราจะนำพวกเขาเข้าสู่ขุมนรก และการดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับ อัลเลาะห์ ” (อันนิซาอ์
29-30)
เช่นเดียวกับ ที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล..) ได้ห้ามการฆ่าตัวตายโดยได้สัญญาว่า ผู้ใดกระทำเช่นนั้น จะต้องได้รับผลตอบแทนที่เลวร้าย ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พระองค์อัลเลาะห์ ไม่ได้สร้างโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา นอกจากพระองค์ จะสร้างยารักษาโรคขึ้นมาด้วย อิสลามใช้ให้ทำการบำบัดรักษา และใช้สื่อต่างๆ เพื่อทำให้มนุษย์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ตามธรรม-ชาติที่จะทำให้พระผู้เป็นเจ้าพึงพอพระทัย เช่น เดียวกับที่บทบัญญัติศาสนา ใช้ให้แพทย์ให้ความ สำคัญแก่ผู้ป่วย ผลลัพธ์หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับอัล-เลาะห์ เพราะแพทย์ไม่สามารถร่นชีวิตของผู้ป่วยออกไปได้ เนื่องจากเมื่อกำหนดความตายของพวกเขามาถึง พวกเขาจะประวิงเวลาออกไปไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วขึ้นก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน และเชค ตอนตอวีย์ ยืนยันว่าผู้ป่วยถึงแม้จะขอร้องแพทย์ให้ทำให้ชีวิตของตนสิ้นสุดลง แพทย์ก็จะตอบรับคำขอของผู้ป่วยเช่นนั้นไม่ได้.
อดีตมุฟตีของอียิปต์ :
การถอดเครื่องช่วยชีวิตจากคนที่สมองตาย ถือว่าเป็นการฆาตกรรม
ดร. นัสร์ ฟะรีด วาซิ้ล อดีตมุฟตีของอียิปต์ มีความเห็นตรงกันกับคำฟัตวาก่อนๆ โดยยืนยันว่ายังไม่ยินยอมให้ตัดสินว่าเป็นคนตาย ตามบัญญัติของศาสนา โดยเพียงแต่แพทย์ยืนยันว่าผู้นั้นสมองตาย หรือหมดหวังที่จะรักษาให้หายได้ และเขาได้กล่าวว่าคำนิยามที่กล่าวมาแล้ว สำหรับคำว่าตายนั้น คือการที่วิญญาณออกไปจากร่าง และที่จะมั่นใจเช่นนั้นก็โดยอาศัยสื่อต่างๆ ทางการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางซึ่งเป็นแพทย์ โดยยืน ยันว่าการถอดเครื่องช่วยชีวิตจากผู้ป่วย ที่หมดหวังจากการรักษาให้หายได้แล้ว หรือผู้ป่วยที่เข้าขั้นหมดความรู้สึกทางสมอง ให้ถือว่าเป็นการฆ่า และการกระทำนี้ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะผู้ที่มีอำนาจถอดวิญญาณคือ อัลเลาะห์ตาอาลา แต่เพียงผู้เดียว.
สภาการค้นคว้าอิสลาม และสถาบันการตอบปัญหาศาสนาของอิยิปต์ในการประชุม เมื่อวันที่ 3 เมษายน ปี ค.ศ. 1997 ได้ออกแถลงการณ์โต้ตอบคำฟัตวา ที่อนุญาตให้ย้ายอวัยวะจากคนที่สมองตาย ซึ่งเป็นคำถามที่ถูกส่งไปจากนายแพทย์ อิสมาอีล สลาม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในคำแถลงการณ์นั้น กล่าวว่าความตายตามบทบัญญัติศาสนา คือ การที่ชีวิตได้ออกไปจากร่างของมนุษย์โดยสมบูรณ์ โดยทุกอวัยวะสงบนิ่งโดยสมบูรณ์ ภายหลังชีวิตออกจากร่าง และไม่ทำหน้าที่ของมันอีก ส่วนผู้ที่จะกำหนดเช่นนั้น คือ แพทย์ เมื่อชีวิตได้ออกไปจากร่างของมนุษย์โดยสมบูรณ์ โดยแพทย์ที่เชื่อถือได้และมีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ให้การรับรอง.
สันตปาปาชะโนเดอร์ :
การที่ผู้ป่วยปล่อยให้ตนเองเสียชีวิต เป็นการฆ่าตัวตายชนิดหนึ่ง
ทางด้านมุมของศาสนาคริสต์ ในเรื่องการฆ่าด้วยความเมตตานั้น สันตปาปาชะโนเดอร์ที่สาม สันตปาปาแห่งอเล็กซานเดรีย ได้กล่าวว่า ความตายและการมีชีวิตอยู่ เป็นอำนาจของพระเจ้าเพียงผู้เดียว ชีวิตของเราไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่เป็นของผู้ป่วยที่ประสงค์จะปล่อยให้ตนเองพ้นจากสภาพการมีชีวิต เพราะสำหรับเขานั้นความตายดีกว่าความเจ็บปวดที่เขาได้รับ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายชนิดหนึ่ง และศาสนาทั้งหลายก็ห้ามการฆ่าตัวตาย เพราะเขาไม่มีความหวังในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
และสันตปาปา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของแพทย์ คือ พยายามรักษาคนป่วยให้หาย ทำให้มีสุขภาพดีตามความสามารถ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะสังหารผู้ป่วย มีข้อแตกต่างระหว่างเจตนาดีกับการช่วยเหลือผู้ป่วย ให้พ้นจากความเจ็บปวดทรมาน และระหว่างสื่อที่ไม่ใช่ทางการแพทย์เพราะมันเป็นการฆ่า.
เชค อัลกอรฎอวีย์ :
ผู้ป่วยสมองตายอยู่ในโลกของความตายการหยุดรักษาเขาไม่ถือว่าเป็นการฆาตกรรม
แม้จะมีความเห็นหลากหลาย แตกต่างกันตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่เชค อัลกอรฎอวีย์ เห็นว่า คนป่วยที่สมองตายนั้น ถือว่าเป็นคนตายแล้วตามบัญญัติศาสนา โดยเขากล่าวว่า มีสามอาการด้วยกัน ที่แน่นอนสำหรับผู้ป่วยบางคนที่ผู้ป่วยในอาการทั้งสามนี้ ยังไม่เข้าใกล้ความตายอย่างที่สุด แต่สมองของเขาได้ตายแล้วจริง ๆ และอวัยวะต่าง ๆ ของเขาที่เกี่ยวกับสมองก็ใช้การไม่ได้แล้ว โดยสิ้นเชิงไม่อาจกลับมาใช้การได้อีก ในทัศนะของแพทย์ที่เชื่อถือได้ และมีความชำนาญ. ทั้งที่มีอาการถึงขนาดนี้แล้ว ครอบครัวของผู้ป่วยก็ยังยืนกรานให้เขาใช้เครื่องมือช่วยชีวิต ซึ่งมีทั้งการให้อาหาร ลมหายใจและระบบการหมุนเวียนโลหิต ก็ยังคงทำงานอยู่ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีชีวิตอยู่ในสภาพนี้เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี โดยพวกเขาจะใช้จ่ายค่ารักษา พยาบาลด้วยความสบายใจว่า พวกเขาได้ดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี โดยไม่ได้เพิกเฉยหรือดูดายในขณะที่คนนั้น ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นผู้ป่วยอีกแล้ว แต่ในความเป็นจริงเขาได้อยู่ในโลกของคนตายแล้ว นับตั้งแต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า สมองของเขาตายโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้การยังคงรักษาโดยใช้เครื่องช่วยชีวิต เป็นเรื่องไร้สาระและทำลายทรัพย์ ทำให้เสียเวลาโดยไม่มีประโยชน์ และขัดแย้งกับหลักสอนของอิสลาม.
ดร.
อัลกอรฎอวีย์ ได้กล่าวว่ายืนยันว่า ถ้าหากญาติของผู้ป่วยเข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง และเอาใจใส่อย่างดี พวกเขาจะมั่นใจว่าสิ่งที่ดีและน่ายกย่องสำหรับคนตายที่พวกเขายังนับว่าเป็นผู้ป่วย ก็คือ ถ้าหากถอดเครื่องมือช่วยชีวิตเทียมออกจากเขา ขณะนั้นปั๊มที่ส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ก็จะหยุด และเขาก็จะเป็นคนตายจริง ๆ ขณะนั้นญาติ ๆ ของคนตายก็จะสามารถประหยัดเวลา ประหยัดเงิน และประหยัดเตียงคนไข้ให้แก่คนไข้รายอื่น ที่ต้อง การเครื่องช่วยชีวิต ซึ่งตามปกติมีอยู่จำกัดที่ผู้ป่วยที่มีชีวิตอยู่จริงจะใช้ประโยชน์ เพราะการที่เขาใช้เครื่องช่วยชีวิตอยู่โดยตลอด ถือว่าเป็นการทำลายทรัพย์ และการใช้จ่ายทรัพย์โดยไม่มีประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่ศาสนาห้าม เช่นเดียวกับการทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย ด้วยการกีดกันไม่ให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากเครื่องช่วยชีวิต โดยไม่เป็นธรรม กฎเกณฑ์ที่เด็ดขาดข้อหนึ่งตามที่ฮะดีษได้กล่าวไว้ก็คือ
(
لاَ ضَرَرَ وَلاَ ضِرَارَ
)
“ไม่มีการก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นและไม่มีภัยอันตรายแก่ตนเอง” รายงานโดยอิบนุมาญะห์
ดร.
อัลกอรฎอวีย์ ได้กล่าวว่า ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นเวลานานและใช้เครื่องช่วยชีวิต ตามแต่ อัลเลาะห์ประสงค์ โดยไม่มีอาการที่ดีขึ้นแต่อย่างใด และคณะแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาล และผู้เชี่ยว ชาญได้ลงความเห็นแล้วว่า การหายป่วยสำหรับเขาตามแนวทางของอัลเลาะห์นั้น ไม่มีความหวังสำหรับเขาแล้ว และการที่ให้เขาใช้เครื่อง ช่วยชีวิตอยู่นั้นไม่มีประโยชน์ใด ๆ และสิ่งที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเครื่องช่วยชีวิตนี้ และถ้าต้องหากถอดเครื่องช่วยชีวิตออก เขาก็จะเสียชีวิตภายในไม่ช้า ข้าพเจ้าขอบอกว่าผู้ป่วยคนนี้ไม่มีบาปใด ๆ ตามหลักศาสนา ที่จะถอดเครื่องช่วยชีวิตออกจากเขา และปล่อยให้เขาอยู่กับกำหนดสภาวการณ์ของเขาที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยพวกเราไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว และเขาได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การกระทำอย่างนี้ไม่เข้าอยู่ในคำว่า เป็นการสังหารด้วยความเมตตา เพราะเราไม่ได้ฆ่าเขา สิ่งที่เรากระทำลงไปก็คือ การที่พวกเราสั่งยุติการบำบัดรักษาด้วยเครื่องมือเทียม โดยเขายืนยันว่าไม่มีนักนิติศาสตร์อิสลามคนใด สามารถกล่าวได้ว่า การบำบัดรักษาด้วยเครื่องมือเทียมดังกล่าว เป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) ตามหลักศาสนา
เกี่ยวกับความเห็นทางการแพทย์ ในกรณีผู้ป่วยที่สมองตายจะนับว่าเป็นคนที่ตายแล้ว และการที่ยังคงรักษาพยาบาลอยู่ถือว่า เป็นเรื่องไร้สาระและเป็นการทำลายทรัพย์ หรือเป็นความหวังว่าเขาจะกลับมามีชีวิตได้อีก ดร. ฮัมดีย์ ซัยยิบ ประธานสหภาพแพทย์อียิปต์กล่าวว่า พวกเขาเสียชีวิตแล้วไม่ใช่คนที่มีชีวิต เหมือนอย่างที่บางคนเชื่อและไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเป็นในทุกกรณี ที่จะ ต้องช่วย เหลือผู้ป่วยที่หมดหวังจากการรักษาแล้ว ด้วยการทำให้ชีวิตของเขาสิ้นสุดลง ดังนั้นแพทย์ผู้ทำการรักษา จะต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อช่วย เหลือผู้ป่วย.
ดร.
ฮัมดีย์ ซัยยิบ ได้กล่าวว่า หลักการที่ให้ถือว่าสมองตาย เป็นการสิ้นสุดของชีวิตอย่างแท้จริง โดยมีการบังคับใช้แล้วใน 70 ประเทศ โดยมีประเทศอิสลามรวมอยู่ด้วย เขาได้กล่าวเพิ่มเติมว่า คนที่สมองตายไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีก และมีข้อแตกต่างกันมากระหว่างชีวิตมนุษย์โดยครบถ้วน กับการมีชีวิตอยู่ของเซลล์บางตัว และไม่ได้หมายความว่า หัวใจยังเต้นอยู่เพราะเครื่อง ช่วยหายใจเทียมในผู้ป่วยสมองตายนั้น พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ประธานสหภาพแพทย์ของอิยิปต์ได้ยืนยันว่า ยังไม่สามารถมีมติให้ถอดเครื่องช่วยชีวิตเทียม ออกจากร่างกายของผู้ป่วยสมองตายได้ เพราะเป็นมติที่มีสำคัญอย่างยิ่ง ไม่สามารถออก เป็นมติได้นอกจากต้องออกโดย คณะกรรมการที่ คัดเลือกมาจากอาจารย์อาวุโสทางด้านสมอง.
ดร. อะห์หมัด อัลฆุบารีย์ หัวหน้าแผนกภายใน แพทย์อัลอัซฮัร เห็นด้วยว่า อาการสมองตายเป็นความตายที่แท้จริง ซึ่งอนุญาตให้นำเอาอวัยวะไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้ ภายหลังจากสมองคนตายแล้ว และเขากล่าวว่า ทางด้านวิชาการและกรอบของการศึกษาวิจัย ข้าพเจ้าเห็นว่าความตายที่แท้จริง คือ ความตายที่ก้านสมองและวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์อย่าให้ข้าพเจ้าผิดพลาดทางด้านบัญญัติศาสนา
ขณะที่ ดร. ซอฟวัต ลุตฟี นายกสมาคมจริยธรรมทางการแพทย์ของอิยิตป์ เห็นว่าผู้ป่วยสมองตายยังเป็นผู้ป่วยไม่ใช่คนตาย ดังนั้นการที่ก้านสมองตาย เป็นรูปแบบหนึ่งของการหมดความรู้สึกที่ลึก เมื่อมีอาการหยุดหายใจรวมอยู่ด้วย ก็หมายความว่า เกิดความเสียหายที่ศูนย์กลางของระบบหายใจที่สมอง ผู้ป่วยคนนี้ถ้าหากเราใช้วิธีการวัดคลื่นสมองเราก็จะพบว่า สมองของเขายังคงทำงานอยู่ตามปกติ แต่มีฮอร์โมนของต่อมต่างๆ ที่สมองยังคงหลั่งออกมาเป็นปกติและเขายืนยันว่า คนที่สมองตายอาจกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งหนึ่งและเขากล่าวว่า จะต้องไม่ออกคำสั่งประหารชีวิตเขา.
http://www.elwaha-dz.com/din1.htm
ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัย
(นายอรุณ บุญชม)
การเริ่มต้นของชีวิต :
ผู้ทบทวนมีทัศนะว่า ชีวิตมีอยู่แล้วในสเปิร์มของชาย และไข่ของหญิง แต่เป็นชีวิตที่ยังไม่มีศักดิ์ศรี และไม่ห้ามทำลาย
ส่วนประเด็นของการเริ่มต้นชีวิต ที่มีศักดิ์ศรีและห้ามทำลายนั้น ผู้ทบทวนมีทัศนะว่า เริ่มต้นเมื่อทารกถูกใส่วิญญาณเข้าไปในร่าง คือเมื่อตั้งครรภ์ได้ 120 วัน จึงเป็นเป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและห้ามทำลาย และเป็นการเริ่มต้นความเป็นมนุษย์
การสิ้นสุดของชีวิต :
ผู้ทบทวนมีทัศนะว่า ความตายคือการสิ้นสุดของชีวิต และความตายตามบัญญัติศาสนาจะยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกว่าวิญญาณจะออกจากร่างไปแล้ว และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คืออวัยวะต่างๆ ในร่างกายหยุดทำงาน และสิ่งที่แสดงออกว่ามีชีวิตได้ยุติลงแล้ว.
ส่วนอาการสมองตายนั้น ผู้ทบทวนมีทัศนะว่า อาการก้านสมองตายได้รับการยอมรับจากทางการแพทย์และศาสนาแล้วว่า เป็นความตายที่แท้จริง เพียงแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปเท่านั้น.
0 ความคิดเห็น