2 – การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ

01:51:00



2 – การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ

                สรุปประเด็นจากเอกสารทางวิชาการ ที่สืบ ค้นได้ดังนี้
                การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ มีหลายรูปแบบ  ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่ศาสนาอนุญาต และที่ศาสนาห้ามดังนี้

                1- นำไข่ของภรรยาไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งในหลอด แก้ว  หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้ไปใส่ไว้ในมดลูกของภรรยา  รูปแบบดังกล่าวนี้ ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา  ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่นั้น

                2-   เอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมันไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่งที่มีมดลูกสมบูรณ์   หลังจากนั้น ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด   ทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิงที่เป็นเจ้าของไข่  และเป็นสามีของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์     และทารกนั้นเป็นบุตรของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์  ไม่ใช่เป็นบุตรของหญิงผู้เป็นเจ้า ของไข่ 

                3-  ผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่ง กับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง  แล้วนำกลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง   รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล  ทารกที่เกิดขึ้นมาจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับลูกนอกสมรส (ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ  เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า      และ
ศาสนาไม่ให้การยกย่อง.

เอกสารที่ใช้สืบค้นในประเด็นนี้คือ

เอกสารหมายเลข 1
ทัศนะต่างๆในเรื่องการผสมเทียม
(เด็กหลอดแก้ว)
โดยเชค บัดร์ อัลมุตะวัลลีย์ อับดุลบาซิต

                ปัจจุบัน ปัญหาเด็กหลอดแก้วได้กลายเป็นปัญหาที่มีผู้คนให้ความสนใจมากมาย  ภายหลังจากกลายเป็นความจริง  ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เรื่องของการสมมติขึ้นเท่านั้น  นักวิชาการสมัยใหม่ของเรามีความเห็นแตกต่างกัน ในหลายรูปแบบ และมีความเห็นพ้องกันในหลายรูปแบบ  ข้าพเจ้าได้วิงวอนขอความช่วยเหลือ จากอัลเลาะห์ ตาอาลาให้สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ได้ครบทุกๆด้าน ที่เป็นข้อตัดสินทางศาสนาที่ใช้บังคับ ทั้งด้านที่อนุญาต และห้าม และข้อกำหนดของสิ่งที่จะเกิดตามมาจากการกระทำนี้ ทั้งเรื่องการสืบตระ กูล การรับมรดกและอื่นๆ เช่นอนุมัติให้แต่งงาน หรือห้ามแต่งงาน และข้อกำหนดอื่นๆ ทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำนี้.

                และโดยการสอบถามความเห็น ของผู้ที่รู้ปัญหานี้เป็นอย่างดี (คือบรรดาแพทย์ทั้งหลาย) ทำให้รู้ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ :

                รูปแบบที่หนึ่ง : สตรีคนหนึ่งมีรังไข่สมบูรณ์  แต่มีข้อบกพร่องในท่อรังไข่ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางจากรังไข่ไปสู่มดลูกได้  ดังนั้นจึงต้องนำไข่ไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งในหลอดแก้ว  หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้    ไปใส่ไว้ในมดลูกของผู้หญิงคนนั้น.

                รูปแบบดังกล่าวนี้ ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา  แต่แพทย์ผู้ปฏิบัติการนี้จะต้องไม่มองดูอวัยวะของคนไข้เกินกว่าความจำเป็น ..  ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้ จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่เท่านั้น.

                โดยข้าพเจ้าขอสงวนประเด็นนี้ และเห็นว่าจำเป็น(วาญิบ) ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการเก็บรักษาไข่ ไม่ให้ไปปะปนกับไข่ของผู้อื่นที่ผสมแล้ว  เพราะพวกเราทุกคนทราบดี ถึงสิ่งที่ดำเนินอยู่ภายในห้องทดลอง (ซึ่งมีทั้งเลือด ปัสสาวะและอื่นๆ)  นับเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงอย่างยิ่ง อย่างไม่มีข้อผิดพลาดใด เท่ากับข้อผิดพลาดที่เกิดจากการปะปนกันของไข่ที่ผสมแล้ว เพราะความผิดพลาดในการปะปนกันของตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะ มันจะไม่ส่งผลกระทบไปถึงผู้อื่น นอกจากผู้เป็นเจ้าตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะเท่านั้น แต่ผลกระทบจากความผิดพลาด ที่เกิดจากการปะปนกันของไข่ที่ผสมแล้ว จะเกิดขึ้นกับคนรุ่นต่อรุ่นทีเดียว ในเรื่องการสืบตระกูล.

                และเมื่อได้เปิดช่องทางนี้แล้ว ก็จะต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด ของผู้ที่ดำเนินการในเรื่องนี้  ถ้ามิเช่นนั้นก็ให้ปิดช่องทางนี้ จะเป็นการดีกว่า โดยยึดหลักการที่ว่า  " سَدُّ الذَّرَائِعِ "“ ปิดช่องทางที่จะนำไปสู่ความเสียหาย”      โดยจำเป็นต้องมีสามี หรือญาติใกล้ชิดที่แต่งงานกันไม่ได้กับหญิงนั้น ร่วมอยู่กับแพทย์ขณะดำเนินการนี้  และถือเป็นการอนุโลมอย่างยิ่ง ให้นายแพทย์กับคนไข้หญิงอยู่กันตามลำพัง เพราะการอยู่ร่วมกันตามลำพัง จะเป็นเหตุให้มารร้ายเข้าแทรกแซงบุคคลทั้งสองได้.

                รูปแบบที่สอง : ชายคนหนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน และมีภรรยาคนหนึ่งเป็นหมัน แต่มีรังไข่สมบูรณ์  จึงเอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมันไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่ง ที่มีมดลูกสมบูรณ์   หลังจากนั้น ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด.

                และจำเป็นต้องอธิบายถึง ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนี้

                ข้อหนึ่ง :  เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อตัดสินของศาสนาที่ใช้บังคับ

                ข้อสอง :  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิง ที่เป็นเจ้าของไข่ และเป็นสามีของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์  เรื่องนี้ชัดเจน เพราะมีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากัน  ส่วนทางฝ่ายแม่ทารกคนนี้ จะสืบตระกูลจากใคร จากเจ้าของไข่ หรือจากคนที่รับตั้งครรภ์ ?

                สิ่งที่ข้าพเจ้ามีความมั่นใจ ก็คือทารกคนนี้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ถือว่าเขาเป็นบุตรของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์  ไม่ใช่เป็นบุตรของเจ้าของไข่ เพราะอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสไว้ว่า :

{ إِنْ أُمَّهَاتُهُمْ إِلاَّ اللاَّئِيْ وَلَدْنَهُمْ } المجادلة 2

ไม่ใช่เป็นมารดาของพวกเขาหรอก นอกจาก บรรดาสตรีที่คลอดพวกเขาออกมา” นี่คือหลัก ฐานที่เด็ดขาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สำนวนที่เป็นการจำกัด   เจ้าของไข่จึงไม่ต่างจากไก่ตัวเมียที่ออกไข่  ลูกไก่ที่ออกมาจะไม่เรียกว่าเป็นลูกของไก่ที่ออกไข่แต่จะเรียกว่ามันเป็นลูกของไก่ตัวที่เลี้ยงมัน.ลูกไก่ที่เกิดมา จะไม่รู้จักแม่ตัวที่ออกไข่  นอกจากแม่ตัวที่เลี้ยงมันมา  อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า :

{ وَوَصَّيْنَا اْلإِنْسَانَ بِوَالِدَيْهِ حَمَلَتْهُ أُمُّهُ وَهْنًا عَلَى وَهْنٍ } لقمان  14
 “ และเราได้กำชับมนุษย์ให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยที่มารดาของเขา ได้อุ้มท้องเขาอย่างอ่อนเพลียแล้วอ่อนเพลียอีก ”     เจ้าของไข่เป็นผู้อุ้มท้องจนอ่อนเพลียแล้ว อ่อนเพลียอีกอย่างนั้นหรือ เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ตรัสว่า :

{ وَوَصَّيْنَا اْلإِنْسَانَ بِوَالِدَيْهِ إِحْسَانًا حَمَلَتْهُ أُمُّهُ كُرْهًا وَوَضَعَتْهُ كُرْهًا }  الأحقاف 15 
 “ และเราได้กำชับมนุษย์ให้กตัญญูต่อบิดามารดา โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มท้องเขาอย่างยากลำบาก และคลอดเขาอย่างยาก ลำบาก ”   แล้วเจ้า ของไข่เป็นเช่นนั้นหรือ  ?

                ที่กล่าวมานี้เป็นมุมมองทางด้านตัวบท ที่มี  ส่วนทางด้านความหมายนั้น ไข่ที่ผสมแล้วเจริญ เติบโต และได้รับสารอาหารจากเลือดของผู้ที่รับตั้ง ครรภ์  แม่เป็นผู้ที่อุ้มครรภ์และได้รับความเจ็บปวดขณะคลอด .. เป็นไปได้หรือที่บุตรจะสืบสกุลจากคนอื่น.

                ดังนั้นจึงถือว่าทารกผู้นี้เป็นบุตรของหญิงที่รับตั้งครรภ์และคลอดเขาออกมา  และจะได้รับข้อกำหนดทั้งหมดของบุตรที่เกี่ยวกับแม่ และของแม่ที่เกี่ยวกับบุตรของนาง ทั้งการรับมรดก ค่าเลี้ยงดู และการดูแล เรื่องอนุมัติและห้ามแต่งงานจะขยายไปถึงบรรพบุรุษ ลูกหลาน และพี่น้องของนาง และข้อกำหนดอื่นๆ.

                และที่ยังจะต้องอธิบายต่อไป ก็คือความ สัมพันธ์ของหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่ เป็นเหมือนกับแม่ผู้ให้นมดื่ม ทั้งนี้เพราะสำนักของฮานาฟีถือว่าเหตุผลที่ทำให้ห้ามแต่งงานในการให้ดื่มนม คือ ความเป็นส่วนหนึ่งหรือเสมือนเป็นส่วนหนึ่ง  ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดที่จะกล่าวได้ในเรื่องนี้ ก็คือทารกผู้นี้เป็นส่วนหนึ่งจากหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่ ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้เกิดภาวการณ์ห้ามแต่งงาน อันเนื่อง มาจากการให้ดื่มนม.

                ข้าพเจ้าไม่สบายใจในผลลัพธ์นี้  เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า การกระทำของผู้หญิงเจ้าของไข่นั้นเป็นการกระทำที่เสียเปล่า ไม่มีข้อกำหนดใดๆ เกิดขึ้น.

                ท่านไม่เห็นหรือว่า ผู้หญิงคนหนึ่งถ้าหากนางให้เลือดแก่ทารก ตามวิธีการที่ทราบกันดีในปัจจุบัน  จะทำให้หญิงเจ้าของเลือดกับทารกคนนั้นห้ามแต่งงานกัน เพราะเหตุดื่มนมจากหญิงคนนั้นหรือไม่ ?   ข้อกำหนดที่ข้าพเจ้าพบจากคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า :

{ وَأُمَّهَاتُكُمْ اللاَّتِيْ أَرْضَعْنَكُمْ } النساء 23
และมารดาของพวกท่านคือนางผู้ให้นมดื่มแก่พวกท่าน ”    ก็คือการให้นมดื่ม มีความหมายของความเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วย.

                และสิ่งที่ข้าพเจ้าตัดสินใจได้ ก็คือผู้หญิงเจ้าของไข่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเป็นภรรยาของบิดาทารกคนนี้  ส่วนข้อกำหนดที่จะตามมาภายหลังจากนั้นอันได้แก่ การห้ามแต่งงานทารกนั้นกับบรรพบุรุษ บุตรหลาน และพี่น้องของนางนั้นเป็นเรื่องของการคาดคะเนมากกว่า จะเป็นเรื่องของความค่อนข้างแน่ใจ.

                มีทัศนะหนึ่ง ที่นักวิจัยบางคนได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า มารดาของทารกคนนี้คือเจ้าของไข่นั้น  เป็นทัศนะที่ถูกปฏิเสธ เพราะขัดกับหลักฐานทั้งที่เป็นตัวบท และหลักฐานที่เกิดจากการใช้ปัญญาดังได้กล่าวมาแล้ว และเพราะผลที่จะติดตามมาเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง  นั่นคือการที่ผู้หญิงคนหนึ่งผลิตไข่ออกมา โดยมีผู้หญิงหลายคนรับตั้งครรภ์และทนรับความเจ็บปวดทรมาน จากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร  โดยที่ผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้รับอะไรเลยแม้กระทั่งความเป็นแม่  และมีความเป็นไปได้ที่ผู้หญิงคนนี้จะมีบุตรหนึ่งคนหรือหลายคนทุกเดือน.

                ผลที่เกิดจากการกระทำเช่นนี้ เป็นอันตรายใหญ่หลวง  ด้วยเหตุนี้จึงให้น้ำหนักกับทัศนะที่ห้ามการกระทำนี้  เพราะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นมากมายจากปัญหาต่างๆ       หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างทารก กับผู้หญิงเจ้าของไข่ว่าจะเป็นอย่างไร อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง.

                รูปแบบที่สาม : ผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่งกับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง  แล้วนำ กลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง.

                รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล  แต่จะมีบทลงโทษ ในความผิดฐานละเมิดประเวณีหรือไม่ในรูปแบบนี้ ? คำตอบก็คือจะไม่ถูกลงโทษฐานละเมิดประเวณี  แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคนจะต้องถูกลงโทษขั้นร้ายแรง ตามวินิจฉัยของศาล.

                แล้วทารกที่เกิดขึ้นมา จะจะสืบสกุลจากผู้ใด คำตอบก็คือ   ถ้าหากหญิงคนนั้นไม่มีสามี  ทารกจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว เช่น เดียวกับลูกนอกสมรส (ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ  เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า  และถ้าหากผู้หญิงคนนั้นมีสามี  ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ตัดสินไว้แล้วในคำพูดของท่านที่ว่า :

( اَلْوَلَدُ لِلْفِرَاشِ وَلِلْعَاهِرِ الْحَجَرُ ) رواه البخاري
ทารกเป็นของเจ้าของที่นอน(หมายถึงสามีของหญิงนั้น)  ส่วนผู้ที่ละเมิดจะได้รับความเหน็ดเหนื่อย ”  คือให้สืบตระกูลจากสามี และให้สามีทำการลิอาน (สาปส่ง) ภรรยาของตน และยกเลิกการแต่งงานระหว่างบุคคลทั้งสอง  และให้ตัดขาดการสืบตระกูลของเด็กจากสามี  โดยให้สืบตระกูลจากฝ่ายแม่เพียงผู้เดียว.

                ถ้าหากสามีรู้ว่า ทารกไม่ใช่บุตรของตนแต่เขาพอใจรับไว้เป็นบุตร  ทารกก็จะสืบตระกูลจากเขาและถือว่าเขามีบาป  บุตรสาวของชายคนนี้รวมทั้งพี่สาวน้องสาวของเขา จะต้องปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กคนนี้ ถ้าหากเป็นผู้ชาย และถ้าหากเป็นผู้หญิงก็ควรป้องกันไว้ก่อน ด้วยการไม่ให้บุตรชายของเขา แต่งงานกับหญิงคนนี้   หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ทั้งที่ท่านได้ให้การรับรองบุตรชาย ที่เกิดจากทาสหญิงของซัมอะห์ว่าเป็นบุตรของซัมอะห์ แต่ท่านก็ได้กล่าวแก่เซาดะห์(ร.ด) ภรรยาของท่านซึ่งเป็นบุตรีของซัมอะห์เช่นเดียวกันว่า : เธอจงปกปิดร่างกายให้มิดชิดพ้นเขาเถิด โอ้เซาดะห์  แม้ว่าท่านจะให้การรับรองว่าเขาเป็นบุตรของซัมอะห์บิดาของนางแล้วก็ตาม.

                คิดว่า ข้าพเจ้าได้อธิบายข้อสงสัยที่มีอยู่ในเรื่องนี้ถึงรูปแบบและข้อสงสัยต่างๆ แล้ว ถ้าหากข้าพเจ้าได้รับทางนำที่ถูกต้อง ในการกระทำดัง กล่าว  นั่นคือสิ่งที่มาจากอัลเลาะห์  และถ้าหากมิใช่เป็นเช่นนั้นก็ถือว่ามันเกิดจากข้าพเจ้าและชัยตอน.  อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง.

http://www.islamset.com/arabic/abioethics/engab/abdabaset.html


ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัย
(นายอรุณ บุญชม)

                การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ มีหลายรูปแบบ       ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่ศาสนาอนุญาตและที่ศาสนาห้าม ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัยมีดังนี้

                การนำไข่ของภรรยา ไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งในหลอด แก้ว  หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้ไปใส่ไว้ในมดลูกของภรรยา  รูปแบบดังกล่าวนี้ ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา  ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่นั้น

                การเอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมันไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่งของเขา ที่มีมดลูกสมบูรณ์   หลังจากนั้น ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด   ทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิงที่เป็นเจ้าของไข่ และเป็นสามีของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์  และทารกนั้นเป็นบุตรของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์  ไม่ใช่เป็นบุตรของหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่ 

                การผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่ง กับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง  แล้วนำกลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง   รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล  ทารกที่เกิดขึ้นมาจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับลูกนอกสมรส (ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ  เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และศาสนาไม่ให้การยกย่อง.




You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

featured Slider

Popular Posts

Like us on Facebook

ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา

Flickr Images



บทเรียนสั้นๆเหล่านี้กล่าวถึงเรื่อง “อุลูมุ้ลกุรอาน” ที่เราต้องการนำเสนอแก่กุลบุตรกุลธิดาของเรา ก่อนที่พวกเขาจะศึกษาวิชา “ตัฟซีร” เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ข้อมูลที่นักวิชาการทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ได้นำเสนอไว้ เพื่อรับใช้อัลกุรอาน