2 – การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ
01:51:00
สรุปประเด็นจากเอกสารทางวิชาการ
ที่สืบ ค้นได้ดังนี้
การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ
มีหลายรูปแบบ
ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่ศาสนาอนุญาต และที่ศาสนาห้ามดังนี้
1-
นำไข่ของภรรยาไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งในหลอด
แก้ว
หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้ไปใส่ไว้ในมดลูกของภรรยา รูปแบบดังกล่าวนี้
ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา
ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ
และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่นั้น
2- เอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมันไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี
แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่งที่มีมดลูกสมบูรณ์ หลังจากนั้น
ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด
ทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิงที่เป็นเจ้าของไข่ และเป็นสามีของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์ และทารกนั้นเป็นบุตรของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์ ไม่ใช่เป็นบุตรของหญิงผู้เป็นเจ้า ของไข่
3- ผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่ง
กับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง
แล้วนำกลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง
รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) โดยเด็ดขาด
เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล
ทารกที่เกิดขึ้นมาจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับลูกนอกสมรส
(ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ
เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และ
ศาสนาไม่ให้การยกย่อง.
เอกสารที่ใช้สืบค้นในประเด็นนี้คือ
เอกสารหมายเลข 1
ทัศนะต่างๆในเรื่องการผสมเทียม
(เด็กหลอดแก้ว)
โดยเชค บัดร์ อัลมุตะวัลลีย์ อับดุลบาซิต
ปัจจุบัน
ปัญหาเด็กหลอดแก้วได้กลายเป็นปัญหาที่มีผู้คนให้ความสนใจมากมาย ภายหลังจากกลายเป็นความจริง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เรื่องของการสมมติขึ้นเท่านั้น นักวิชาการสมัยใหม่ของเรามีความเห็นแตกต่างกัน
ในหลายรูปแบบ และมีความเห็นพ้องกันในหลายรูปแบบ
ข้าพเจ้าได้วิงวอนขอความช่วยเหลือ จากอัลเลาะห์
ตาอาลาให้สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ได้ครบทุกๆด้าน
ที่เป็นข้อตัดสินทางศาสนาที่ใช้บังคับ ทั้งด้านที่อนุญาต และห้าม
และข้อกำหนดของสิ่งที่จะเกิดตามมาจากการกระทำนี้ ทั้งเรื่องการสืบตระ กูล การรับมรดกและอื่นๆ
เช่นอนุมัติให้แต่งงาน หรือห้ามแต่งงาน และข้อกำหนดอื่นๆ
ทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำนี้.
และโดยการสอบถามความเห็น
ของผู้ที่รู้ปัญหานี้เป็นอย่างดี (คือบรรดาแพทย์ทั้งหลาย)
ทำให้รู้ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ดังจะกล่าวต่อไปนี้ :
รูปแบบที่หนึ่ง
: สตรีคนหนึ่งมีรังไข่สมบูรณ์
แต่มีข้อบกพร่องในท่อรังไข่ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางจากรังไข่ไปสู่มดลูกได้ ดังนั้นจึงต้องนำไข่ไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี
แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งในหลอดแก้ว
หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้
ไปใส่ไว้ในมดลูกของผู้หญิงคนนั้น.
รูปแบบดังกล่าวนี้
ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา
แต่แพทย์ผู้ปฏิบัติการนี้จะต้องไม่มองดูอวัยวะของคนไข้เกินกว่าความจำเป็น
.. ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้
จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่เท่านั้น.
โดยข้าพเจ้าขอสงวนประเด็นนี้
และเห็นว่าจำเป็น(วาญิบ) ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการเก็บรักษาไข่
ไม่ให้ไปปะปนกับไข่ของผู้อื่นที่ผสมแล้ว
เพราะพวกเราทุกคนทราบดี ถึงสิ่งที่ดำเนินอยู่ภายในห้องทดลอง
(ซึ่งมีทั้งเลือด ปัสสาวะและอื่นๆ)
นับเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงอย่างยิ่ง อย่างไม่มีข้อผิดพลาดใด
เท่ากับข้อผิดพลาดที่เกิดจากการปะปนกันของไข่ที่ผสมแล้ว
เพราะความผิดพลาดในการปะปนกันของตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะ
มันจะไม่ส่งผลกระทบไปถึงผู้อื่น
นอกจากผู้เป็นเจ้าตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะเท่านั้น แต่ผลกระทบจากความผิดพลาด
ที่เกิดจากการปะปนกันของไข่ที่ผสมแล้ว จะเกิดขึ้นกับคนรุ่นต่อรุ่นทีเดียว
ในเรื่องการสืบตระกูล.
และเมื่อได้เปิดช่องทางนี้แล้ว
ก็จะต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวด ของผู้ที่ดำเนินการในเรื่องนี้ ถ้ามิเช่นนั้นก็ให้ปิดช่องทางนี้
จะเป็นการดีกว่า โดยยึดหลักการที่ว่า
" سَدُّ
الذَّرَائِعِ "“ ปิดช่องทางที่จะนำไปสู่ความเสียหาย” โดยจำเป็นต้องมีสามี
หรือญาติใกล้ชิดที่แต่งงานกันไม่ได้กับหญิงนั้น
ร่วมอยู่กับแพทย์ขณะดำเนินการนี้
และถือเป็นการอนุโลมอย่างยิ่ง ให้นายแพทย์กับคนไข้หญิงอยู่กันตามลำพัง
เพราะการอยู่ร่วมกันตามลำพัง จะเป็นเหตุให้มารร้ายเข้าแทรกแซงบุคคลทั้งสองได้.
รูปแบบที่สอง
: ชายคนหนึ่งมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน
และมีภรรยาคนหนึ่งเป็นหมัน แต่มีรังไข่สมบูรณ์
จึงเอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมันไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี
แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่ง ที่มีมดลูกสมบูรณ์ หลังจากนั้น ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด.
และจำเป็นต้องอธิบายถึง
ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนี้
ข้อหนึ่ง
:
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อตัดสินของศาสนาที่ใช้บังคับ
ข้อสอง
:
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิง
ที่เป็นเจ้าของไข่ และเป็นสามีของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์ เรื่องนี้ชัดเจน
เพราะมีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากัน
ส่วนทางฝ่ายแม่ทารกคนนี้ จะสืบตระกูลจากใคร จากเจ้าของไข่
หรือจากคนที่รับตั้งครรภ์ ?
สิ่งที่ข้าพเจ้ามีความมั่นใจ
ก็คือทารกคนนี้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง
ถือว่าเขาเป็นบุตรของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์
ไม่ใช่เป็นบุตรของเจ้าของไข่ เพราะอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสไว้ว่า :
{ إِنْ أُمَّهَاتُهُمْ إِلاَّ اللاَّئِيْ وَلَدْنَهُمْ } المجادلة
2
“ไม่ใช่เป็นมารดาของพวกเขาหรอก นอกจาก
บรรดาสตรีที่คลอดพวกเขาออกมา” นี่คือหลัก ฐานที่เด็ดขาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สำนวนที่เป็นการจำกัด เจ้าของไข่จึงไม่ต่างจากไก่ตัวเมียที่ออกไข่
ลูกไก่ที่ออกมาจะไม่เรียกว่าเป็นลูกของไก่ที่ออกไข่แต่จะเรียกว่ามันเป็นลูกของไก่ตัวที่เลี้ยงมัน.ลูกไก่ที่เกิดมา
จะไม่รู้จักแม่ตัวที่ออกไข่
นอกจากแม่ตัวที่เลี้ยงมันมา
อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า :
{
وَوَصَّيْنَا اْلإِنْسَانَ بِوَالِدَيْهِ حَمَلَتْهُ أُمُّهُ وَهْنًا عَلَى وَهْنٍ
} لقمان 14
“ และเราได้กำชับมนุษย์ให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยที่มารดาของเขา
ได้อุ้มท้องเขาอย่างอ่อนเพลียแล้วอ่อนเพลียอีก ” เจ้าของไข่เป็นผู้อุ้มท้องจนอ่อนเพลียแล้ว
อ่อนเพลียอีกอย่างนั้นหรือ ? เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ตรัสว่า
:
{
وَوَصَّيْنَا اْلإِنْسَانَ بِوَالِدَيْهِ إِحْسَانًا حَمَلَتْهُ أُمُّهُ كُرْهًا
وَوَضَعَتْهُ كُرْهًا } الأحقاف 15
“ และเราได้กำชับมนุษย์ให้กตัญญูต่อบิดามารดา
โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มท้องเขาอย่างยากลำบาก และคลอดเขาอย่างยาก ลำบาก ” แล้วเจ้า ของไข่เป็นเช่นนั้นหรือ ?
ที่กล่าวมานี้เป็นมุมมองทางด้านตัวบท
ที่มี ส่วนทางด้านความหมายนั้น
ไข่ที่ผสมแล้วเจริญ เติบโต และได้รับสารอาหารจากเลือดของผู้ที่รับตั้ง ครรภ์
แม่เป็นผู้ที่อุ้มครรภ์และได้รับความเจ็บปวดขณะคลอด ..
เป็นไปได้หรือที่บุตรจะสืบสกุลจากคนอื่น.
ดังนั้นจึงถือว่าทารกผู้นี้เป็นบุตรของหญิงที่รับตั้งครรภ์และคลอดเขาออกมา และจะได้รับข้อกำหนดทั้งหมดของบุตรที่เกี่ยวกับแม่
และของแม่ที่เกี่ยวกับบุตรของนาง ทั้งการรับมรดก ค่าเลี้ยงดู และการดูแล
เรื่องอนุมัติและห้ามแต่งงานจะขยายไปถึงบรรพบุรุษ ลูกหลาน และพี่น้องของนาง
และข้อกำหนดอื่นๆ.
และที่ยังจะต้องอธิบายต่อไป
ก็คือความ สัมพันธ์ของหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่ เป็นเหมือนกับแม่ผู้ให้นมดื่ม
ทั้งนี้เพราะสำนักของฮานาฟีถือว่าเหตุผลที่ทำให้ห้ามแต่งงานในการให้ดื่มนม คือ
ความเป็นส่วนหนึ่งหรือเสมือนเป็นส่วนหนึ่ง
ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดที่จะกล่าวได้ในเรื่องนี้ ก็คือทารกผู้นี้เป็นส่วนหนึ่งจากหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่
ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้เกิดภาวการณ์ห้ามแต่งงาน อันเนื่อง มาจากการให้ดื่มนม.
ข้าพเจ้าไม่สบายใจในผลลัพธ์นี้ เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า
การกระทำของผู้หญิงเจ้าของไข่นั้นเป็นการกระทำที่เสียเปล่า ไม่มีข้อกำหนดใดๆ
เกิดขึ้น.
ท่านไม่เห็นหรือว่า
ผู้หญิงคนหนึ่งถ้าหากนางให้เลือดแก่ทารก ตามวิธีการที่ทราบกันดีในปัจจุบัน
จะทำให้หญิงเจ้าของเลือดกับทารกคนนั้นห้ามแต่งงานกัน
เพราะเหตุดื่มนมจากหญิงคนนั้นหรือไม่ ?
ข้อกำหนดที่ข้าพเจ้าพบจากคำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลาที่ว่า :
{
وَأُمَّهَاتُكُمْ اللاَّتِيْ أَرْضَعْنَكُمْ } النساء 23
“ และมารดาของพวกท่านคือนางผู้ให้นมดื่มแก่พวกท่าน
” ก็คือการให้นมดื่ม
มีความหมายของความเป็นส่วนหนึ่งอยู่ด้วย.
และสิ่งที่ข้าพเจ้าตัดสินใจได้
ก็คือผู้หญิงเจ้าของไข่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเป็นภรรยาของบิดาทารกคนนี้ ส่วนข้อกำหนดที่จะตามมาภายหลังจากนั้นอันได้แก่
การห้ามแต่งงานทารกนั้นกับบรรพบุรุษ บุตรหลาน
และพี่น้องของนางนั้นเป็นเรื่องของการคาดคะเนมากกว่า
จะเป็นเรื่องของความค่อนข้างแน่ใจ.
มีทัศนะหนึ่ง
ที่นักวิจัยบางคนได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
มารดาของทารกคนนี้คือเจ้าของไข่นั้น
เป็นทัศนะที่ถูกปฏิเสธ เพราะขัดกับหลักฐานทั้งที่เป็นตัวบท
และหลักฐานที่เกิดจากการใช้ปัญญาดังได้กล่าวมาแล้ว
และเพราะผลที่จะติดตามมาเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง นั่นคือการที่ผู้หญิงคนหนึ่งผลิตไข่ออกมา
โดยมีผู้หญิงหลายคนรับตั้งครรภ์และทนรับความเจ็บปวดทรมาน
จากการตั้งครรภ์และคลอดบุตร
โดยที่ผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้รับอะไรเลยแม้กระทั่งความเป็นแม่
และมีความเป็นไปได้ที่ผู้หญิงคนนี้จะมีบุตรหนึ่งคนหรือหลายคนทุกเดือน.
ผลที่เกิดจากการกระทำเช่นนี้
เป็นอันตรายใหญ่หลวง
ด้วยเหตุนี้จึงให้น้ำหนักกับทัศนะที่ห้ามการกระทำนี้ เพราะมีผลกระทบที่เกิดขึ้นมากมายจากปัญหาต่างๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือความสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างทารก
กับผู้หญิงเจ้าของไข่ว่าจะเป็นอย่างไร ?
อัลเลาะห์ทรงรอบรู้ยิ่ง.
รูปแบบที่สาม
:
ผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่งกับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง แล้วนำ กลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง.
รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม)
โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล
แต่จะมีบทลงโทษ ในความผิดฐานละเมิดประเวณีหรือไม่ในรูปแบบนี้ ? คำตอบก็คือจะไม่ถูกลงโทษฐานละเมิดประเวณี
แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทุกคนจะต้องถูกลงโทษขั้นร้ายแรง
ตามวินิจฉัยของศาล.
แล้วทารกที่เกิดขึ้นมา
จะจะสืบสกุลจากผู้ใด ? คำตอบก็คือ ถ้าหากหญิงคนนั้นไม่มีสามี ทารกจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว เช่น
เดียวกับลูกนอกสมรส (ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และถ้าหากผู้หญิงคนนั้นมีสามี ท่านศาสดา (ซ.ล.)
ได้ตัดสินไว้แล้วในคำพูดของท่านที่ว่า :
( اَلْوَلَدُ
لِلْفِرَاشِ وَلِلْعَاهِرِ الْحَجَرُ ) رواه البخاري
“ ทารกเป็นของเจ้าของที่นอน(หมายถึงสามีของหญิงนั้น) ส่วนผู้ที่ละเมิดจะได้รับความเหน็ดเหนื่อย
” คือให้สืบตระกูลจากสามี
และให้สามีทำการลิอาน (สาปส่ง) ภรรยาของตน
และยกเลิกการแต่งงานระหว่างบุคคลทั้งสอง
และให้ตัดขาดการสืบตระกูลของเด็กจากสามี
โดยให้สืบตระกูลจากฝ่ายแม่เพียงผู้เดียว.
ถ้าหากสามีรู้ว่า
ทารกไม่ใช่บุตรของตนแต่เขาพอใจรับไว้เป็นบุตร
ทารกก็จะสืบตระกูลจากเขาและถือว่าเขามีบาป
บุตรสาวของชายคนนี้รวมทั้งพี่สาวน้องสาวของเขา
จะต้องปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กคนนี้ ถ้าหากเป็นผู้ชาย
และถ้าหากเป็นผู้หญิงก็ควรป้องกันไว้ก่อน ด้วยการไม่ให้บุตรชายของเขา
แต่งงานกับหญิงคนนี้
หลักฐานในเรื่องนี้ก็คือ ท่านศาสดา (ซ.ล.)
ทั้งที่ท่านได้ให้การรับรองบุตรชาย
ที่เกิดจากทาสหญิงของซัมอะห์ว่าเป็นบุตรของซัมอะห์
แต่ท่านก็ได้กล่าวแก่เซาดะห์(ร.ด) ภรรยาของท่านซึ่งเป็นบุตรีของซัมอะห์เช่นเดียวกันว่า
: เธอจงปกปิดร่างกายให้มิดชิดพ้นเขาเถิด โอ้เซาดะห์
แม้ว่าท่านจะให้การรับรองว่าเขาเป็นบุตรของซัมอะห์บิดาของนางแล้วก็ตาม.
คิดว่า
ข้าพเจ้าได้อธิบายข้อสงสัยที่มีอยู่ในเรื่องนี้ถึงรูปแบบและข้อสงสัยต่างๆ แล้ว
ถ้าหากข้าพเจ้าได้รับทางนำที่ถูกต้อง ในการกระทำดัง กล่าว นั่นคือสิ่งที่มาจากอัลเลาะห์
และถ้าหากมิใช่เป็นเช่นนั้นก็ถือว่ามันเกิดจากข้าพเจ้าและชัยตอน. อัลเลาะห์ทรงรู้ยิ่ง.
http://www.islamset.com/arabic/abioethics/engab/abdabaset.html
ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัย
(นายอรุณ บุญชม)
การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ
มีหลายรูปแบบ
ซึ่งมีทั้งรูปแบบที่ศาสนาอนุญาตและที่ศาสนาห้าม
ทัศนะของผู้ทบทวนบทวิจัยมีดังนี้
การนำไข่ของภรรยา
ไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่งในหลอด แก้ว
หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้ไปใส่ไว้ในมดลูกของภรรยา รูปแบบดังกล่าวนี้
ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา
ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ
และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่นั้น
การเอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมันไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี
แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่งของเขา ที่มีมดลูกสมบูรณ์ หลังจากนั้น
ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด
ทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิงที่เป็นเจ้าของไข่
และเป็นสามีของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์
และทารกนั้นเป็นบุตรของภรรยาคนที่รับตั้งครรภ์ ไม่ใช่เป็นบุตรของหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่
การผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่ง
กับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง
แล้วนำกลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง
รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) โดยเด็ดขาด
เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล
ทารกที่เกิดขึ้นมาจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว เช่นเดียวกับลูกนอกสมรส
(ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ
เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า
และศาสนาไม่ให้การยกย่อง.
0 ความคิดเห็น