10.นบีอิสหาก (อ.ล)
12:23:00
นบีอิสหาก (อ.ล)
ความมหัศจรรย์และหลักฐานสำคัญ
นบีอิบรอฮีม
มีอายุล่วงเข้าสู่วัยชรา โดยยังไม่มีบุตร
มะลาอิกะห์
ได้มาแจ้งข่าวดีแก่เขาว่า อัลเลาะห์จะประทานบุตรชายให้แก่เขาชื่ออิสหาก
และหลังจากอิสหากแล้วเขาก็จะได้หลานอีกคนหนึ่งชื่อ ยะอ์กูบ
อิสหากเป็นนบีของอัลเลาะห์
ที่เป็นข่าวดีของนบีอิบรอฮีม(อ.ล) และภรรยาของเขาชื่อซาเราะห์
เป็นข่าวดีจากอัลเลาะห์ที่มีมายังชายชราและภรรยาของเขาที่ชราภาพแล้วด้วยเช่นเดียวกัน
เขาทั้งสองอยู่ในวัยที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้แล้ว.
มันเป็นข่าวดีเกินกว่าจะกล่าวคำบรรยายใดๆ
ได้ เพราะภรรยาอยู่ในวัยเก้าสิบปี ส่วนสามีก็มีอายุถึงหนึ่งร้อยปีแล้ว.
มันเป็นข่าวดีที่ต่อเนื่องกัน
เพราะหลังจากได้บุตรชายชื่ออิสหากแล้วก็ยังจะได้หลานชายชื่อ ยะอ์กูบอีกด้วย หมายความว่าอัลเลาะห์จะให้นบีอิบรอฮีม (อ.ล) มีอายุยืนยาวไปจนได้เห็นหลานชายที่ชื่อ ยะอ์กูบ ซึ่งเป็นบุตรของอิสหาก
มันเป็นข่าวดีที่ผู้ชายทุกคนก็คาดหวังว่ามันจะเป็นความจริง
ที่เขาจะได้เห็นหลานชายซึ่งเป็นลูกของลูกชายของเขา ดังคำพังเพยที่ชาวอาหรับมักจะพูดว่า : "
ลูกที่ประเสริฐยิ่ง คือลูกของลูกชาย "
อิสหากไม่เป็นแต่เพียงเป้าหมายของข่าวดีเท่านั้น แต่เขายังเป็นสัญลักษณ์
ของผลตอบแทนแห่งความอดทน การต่อสู้ และการคงทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาอย่างต่อเนื่อง.
และอิสหากก็เป็นเครื่องหมายหนึ่งของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
เพราะอัลเลาะห์จะประทานให้แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์อย่างคิดไปไม่ถึง. อัลเลาะห์อาจประทานบุตรีให้แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์
หรืออาจประทานบุตรชายให้แก่ผู้ที่พระองค์ต้องการ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในวัยใด
เพราะอัลเลาะห์เป็นผู้สร้างที่ทรงเดชานุภาพ
การบริหารกิจการทั้งปวงอยู่ในมือของพระองค์.
และขณะเดียวกัน อิสหาก
ก็เป็นผลพวงจากการที่อัลเลาะห์ตอบสนองคำวิงวอนของอิบรอฮีม (อ.ล) ขณะที่เขาได้กล่าวว่า : ข้าแด่องค์อภิบาลขอได้โปรดประทานบุตรที่ดีมีคุณธรรมให้แก่ฉันด้วยเถิด
"
และสิ่งที่อัลเลาะห์ประทานให้แก่อิบรอฮีมก็คือ
การให้กำเนิดอิสหากทั้งที่เขาอยู่ในวัยชราแล้ว ภายหลังจากการตอบสนองคำวิงวอน
เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์แก่มนุษย์ทั้งหลาย.
การแจ้งข่าวดีเรื่องการเกิดของนบีอิสหาก
(อ.ล)
เราได้เรียนรู้มาแล้วจากชีวประวัติของนบีอิบรอฮีม
(อ.ล)
ว่ามีมะลาอิกะห์ กลุ่มหนึ่งแปลงร่างมาในสภาพของชายหนุ่ม
และแวะพักเป็นแขกของอิบรอฮีม
ในเส้นทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่พวกพ้องของนบีลูต (อ.ล) พวกเขามีสามคนเดินทางมาทางบก อิบรอฮีม(อ.ล) ให้การต้อนรับพวกเขาอย่างอาคันตุกะผู้มาเยือนเป็นอย่างดี อิบรอฮีมเป็นคนใจบุญมากชอบต้อนรับแขก
เขาจะไม่รับประทานอาหารตามลำพังนอกจากต้องมีแขกร่วมสำรับด้วย
ซึ่งเป็นเหมือนกับบทกลอนที่กวีชาวอาหรับกล่าวแก่ภรรยาของเขาว่า : " เมื่อเธอวางถาดอาหารลง
เธอจงหาผู้มาร่วมวงกับฉัน
เพราะฉันจะไม่รับประทานเพียงลำพัง "
อิบรอฮีม(อ.ล) ได้ให้การต้อนรับมะลาอิกะห์ผู้เป็นอาคันตุกะเป็นอย่างดี
เขาได้เชือดลูกวัวที่อ้วนพีตัวหนึ่ง
ปรุงเป็นอาหารชั้นเลิศมาเลี้ยงแขก
เขารู้สึกภูมใจมากที่ได้ต้อนรับพวกเขา.
แต่มะลาอิกะห์ไม่ได้เอื้อมมือไปแตะต้องอาหารนั้นเลย
เพราะมะลาอิกะห์ไม่กินและไม่ดื่มเหมือนกับมนุษย์ อิบรอฮีม (อ.ล) จึงเกิดความสงสัยในพฤติกรรมของพวกเขา,
เขารู้สึกกลัว .. เพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่แตะต้องอาหาร
เพราะคนที่รักท่านเขาจะรับประทานอาหารโดยไม่รู้สึกขัดเขิน ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับประทานอาหารของท่าน
เป็นเพราะอะไร ? หรือเขาเป็นศัตรู ? พวกเขาเป็นอาคันตุกะแปลกหน้าที่อิบรอฮีมไม่เคยรู้จักมาก่อน ด้วยเหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับประทานอาหารของเขา
?
อิบรอฮีม
ได้เปิดเผยความคิดของเขาให้แก่อาคันตุกะเหล่านั้นได้ทราบ โดยถามพวกเขาว่า
เหตุใดพวกเขาจึงไม่รับประทานอาหาร, อิบรอฮีม
จึงทราบว่าพวกเขาคือ มะลาอิกะห์
ที่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้ส่งพวกเขามาเพื่อลงโทษพวกพ้องของนบีลูต
ซึ่งพวกเขาพำนักอยู่ที่เมือง ซัดดูม
อันเป็นเมืองที่นบีลูตและพวกพ้องของเขาอาศัยอยู่.
หัวใจของอิบรอฮีม
สงบและมั่นคง
เขารู้ดีว่ามะลาอิกะห์จะไม่กิน และไม่ดื่ม
อิบรอฮีมจึงสนทนากับพวกเขาถึงเรื่องนบีลูตและพวกพ้องของเขา
เพราะนบีลูตเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา
นบีอิบรอฮีม (อ.ล) เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน
เขากลัวว่าการลงโทษครั้งนี้จะโดนกับนบีลูตลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วย.
และในระหว่างการสนทนาพระนางซาเราะห์ภรรยาของนบีอิบรอฮีม
(อ.ล)
ก็ได้ออกมาปรากฏตัว
พวกเขากล่าวแก่นางว่า : แท้จริงอัลเลาะห์ใช้เราให้มาแจ้งข่าวดีแก่เธอว่าจะมีบุตรที่มีคุณธรรม.
พระนางซาเราะห์กล่าวว่า
: ฉันจะมีบุตรได้อย่างไร
เพราะฉันชราภาพแล้ว และสามีของฉันก็ชราภาพแล้วด้วยเช่นกัน ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดมาก
!!
ซาเราะห์
เมื่อได้ยินข่าวดีนี้ถึงกับหัวเราะและแสดงความประหลาดใจกับเรื่องนี้ซึ่งนางไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต
แต่มะลาอิกะห์ ก็ทำให้ซาเราะห์เกิดความมั่นใจ พวกเขาบอกแก่ซาเราะห์ว่า
มันไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากเป็นความประสงค์ของอัลเลาะห์
เพราะเมื่ออัลเลาะห์ประสงค์สิ่งใดพระองค์ก็จะลงมือกระทำ
เธอจะยังประหลาดใจในพระประสงค์ของอัลเลาะห์หรือ ? อัลเลาะห์เมตตาพวกท่านและประทานความดีเพิ่มพูนให้แก่พวกท่าน
แท้จริงอัลเลาะห์ควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การสดุดี.
มันเป็นข่าวดีจากอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรมายังอิบรอฮีม
(อ.ล)
เพราะเขาเป็นบุคคลที่สมควรได้รับความเมตตาจากอัลเลาะห์
ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร. อิบรอฮีม
ได้ก้มลงกราบขอบคุณอัลเลาะห์ ที่ได้ประทานความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ให้แก่เขา
โดยกล่าวว่า :
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์
ผู้อภิบาลสากลโลก.
และมันเป็นข่าวดีที่ต่อเนื่อง
หมายความว่าไม่ใช่เป็นข่าวดีว่าอิบรอฮีมจะได้บุตรชายที่ชื่ออิสหากเท่านั้น
แต่ยังมีข่าวดีว่าเขาจะได้รับหลานที่ชื่อยะอ์กูบอีกด้วย .. น้ำตานองหน้าของอิบรอฮีม
เมื่อได้รับทราบข่าวดีนี้ เขาขอบคุณอัลเลาะห์ และสดุดีพระองค์อย่างมากมาย.
นบีอิสหาก (อ.ล) เกิด
ภายหลังจากได้รับข่าวดีไม่ทันถึงหนึ่งปี
ซาเราะห์ก็ตั้งครรภ์นบีอิสหาก ขณะนั้นนางมีอายุเก้าสิบปี เป็นการตั้งครรภ์ที่เบา
และไม่นานนักความสุขของอิบรอฮีมคนสนิทของอัลเลาะห์และซาเราะห์ภรรยาของเขาก็สมบูรณ์
ขณะที่ซาเราะห์คลอดบุตรของนาง
และนางได้ตั้งชื่อให้เขาว่าอิสหาก ที่แปลว่า " หัวเราะ " เธอต้องการให้คนที่ได้ยินเรื่องการคลอดบุตรคนนี้ หัวเราะ
เพราะบิดามารดาของเขาอยู่ในวัยชรามากแล้ว และเป็นเรื่องที่แปลกมาก และข่าวดีนั้นก็คืออิสหากเป็นนบีที่มีคุณธรรม.
อิบรอฮีมใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนภาคใต้ของชาม
ขณะที่อิสหากกำเนิดนั้นเขาดีใจมาก และได้ทำพิธีคอตาน (ขลิบ) ให้แก่อิสหากในวันที่แปดนับจากวันที่เขาคลอด ตามที่อัลเลาะห์ได้บัญชาเขา
และเขาเองก็ได้ทำพิธีคอตานให้กับตัวเอง และอิสมาอีล
บุตรชายของเขาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้.
ซาเราะห์ให้นมเลี้ยงดูอิสหากบุตรน้อยของตนจนถึงวัยหย่านมคือสองขวบเต็ม
อิบรอฮีม (อ.ล) ได้จัดพิธีหย่านมให้แก่อิสหากอย่างใหญ่โต.
ให้พวกเราได้อ่านอายะห์อัลกุรอานนี้
ขณะที่อัลเลาะห์ตรัสว่า :
" แท้จริงบรรดาทูตของเราได้มาหาอิบรอฮีมพร้อมด้วยข่าวดี พวกเขากล่าวว่าขอความสันติจงมีแด่ท่าน อิบรอฮีมกล่าวตอบว่าขอความสันติจงมีแด่พวกท่าน
และอีกไม่นานนักเขาก็ได้นำลูกวัวย่างออกมาเพื่อเลี้ยงแขก. เมื่ออิบรอฮีมเห็นว่ามือของพวกเขาไม่ได้ยื่นไปแตะต้องมัน เขารู้สึกไม่พอใจและรู้สึกกลัวพวกเขา, พวกเขากล่าวว่าอย่ากลัวเลย ความจริงพวกเราถูกส่งไปยังพวกพ้องของลูต.
ภรรยาของอิบรอฮีมยืนอยู่ และนางหัวเราะ
เราจึงแจ้งข่าวดีแก่นางว่าจะได้บุตรชายชื่ออิสาก
และหลังจากอิสหากก็จะได้หลานชายชื่อยะอ์กูบ. นางกล่าวว่าแปลกประหลาดจริง
ฉันจะมีบุตรได้อย่างไร ทั้งที่ฉันชราภาพแล้ว และสามีของฉันก็ชรามากแล้ว ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดแท้.
พวกเขากล่าวว่าเธอประหลาดใจต่อการงานของอัลเลาะห์หรือ ความเมตตาของ
อัลเลาะห์
และความจำเริญของพระองค์จงมีแด่พวกท่านโอ้ครอบครัวของอิบรอฮีม
แท้จริงพระองค์ควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การสดุดีอย่างยิ่ง. เมื่อความกลัวหายไปจากอิบรอฮีมแล้ว และข่าวดีได้มาถึงเขาแล้ว
เขาก็ได้สนทนากับพวกเราในเรื่องพวกพ้องของลูต " (ฮูต :
69 - 74)
เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
:
" เรื่องราวแขกของอิบรอฮีมผู้ทรงเกียรติได้มาถึงท่านแล้วใช่ไหม.
เมื่อพวกเขาได้เข้าไปหาอิบรอฮีม พวกเขาได้กล่าวว่า
ขอความสันติจงมีแด่ท่าน อิบรอฮีมได้กล่าวตอบว่าขอความสันติจงมีแด่ผู้คนที่แปลกหน้า.
แล้วเขาก็รีบเข้าไปหาครอบครัวของเขา
และได้นำลูกวัวอ้วนที่ย่างเรียบร้อยออกมา.
เขาได้นำมันไปวางไว้ใกล้ๆกับพวกเขาแล้วกล่าวว่า
พวกท่านไม่รับประทานมันหรือ. เมื่อพวกเขาไม่รับประทานอิบรอฮีมก็เกิดความกลัว
พวกเขากล่าวว่า อย่ากลัวเลย
และพวกเขาก็ได้แจ้งข่าวดีให้อิบรอฮีมได้ทราบว่าเขาจะได้รับบุตรชายที่มีความรู้.
และภรรยาของเขาได้ออกมาส่งเสียงร้องและตบหน้าตนเองแล้วพูดขึ้นว่าฉันเป็นหญิงชราที่เป็นหมัน.
พวกเขาได้กล่าวว่าพระเจ้าของเธอได้กล่าวไว้เช่นนั้น
แท้จริงพระองค์ทรงหยั่งรู้ อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง. อิบรอฮีมกล่าวว่าความต้องการของพวกท่านคืออะไร
โอ้ทูตทั้งหลาย. พวกเขากล่าวว่า
แท้จริงเราถูกส่งมายังหมู่ชนที่กระทำผิด " ( อัซซาซิยาต
: 24-32)
และพระองค์ได้ตรัสไว้อีกว่า
:
" สันติจงมีแด่อิบรอฮีม. ดังเช่นนั้นเราจะตอบแทนผู้กระทำความดีทั้งหลาย.แท้จริงอิบรอฮีมเป็นบ่าวของเราคนหนึ่งที่มีศรัทธา. และเราได้แจ้งข่าวดีแก่เขาว่าจะมีบุตรชายคนหนึ่งชื่ออิสหากเป็นนบีจากหมู่ชนที่มีคุณธรรม.
และเราได้ให้ความจำเริญแก่เขา และแก่อิสหาก
และจากลูกหลานของเขาทั้งสองนั้นมีทั้งคนที่ทำความดีและคนที่ละเมิดตนเองอย่างชัดเจน
" ( อัซซอฟฟาต : 109- 113)
อิสหากแต่งงานและลูกหลานของเขา
อิสหาก(อ.ล) ได้แต่งงานกับ รอฟะเกาะห์ บุตรี บะตูอีล บุตรของอิลยาส
และต่อมานางได้ให้กำเนิดบุตรคู่แฝดคือ อีส และยะอ์กูบ อีส คลอดออกมาก่อนแล้วยะอ์กูบก็ตามออกมา อีส
จึงเป็นบุตรชายคนโตของอิสหาก เพราะเขาคลอดออกมาก่อน
ยะอ์กูบน้องชายเพียงไม่กี่วินาที.
การแต่งงานของอิสหากมีประวัติความเป็นมาที่น่าติดตาม.
นักวิชาการกล่าวว่า : เมื่ออิบรอฮีม (อ.ล) ล่วงเข้าวัยชรา
เขาต้องการแต่งงานให้อิสหากบุตรชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากซาเราะห์ผู้เป็นมารดาของเขาเสียชีวิตไป
และศพถูกฝังไว้ที่เมืองคอลีล เมืองซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงใช้ชื่อนี้อยู่.
อิบรอฮีมได้ไปหาทาสของเขาที่ทำหน้าที่ดูแลกิจการในบ้าน
ทาสคนนี้ชื่อ "ละอาซัร "
อิบรอฮีมได้มอบหมายให้เขาไปทำงานชิ้นหนึ่งที่เป็นความลับนั่นคือการเลือกคู่ครองให้แก่อิสหากบุตรชาย
โดยคัดเลือกจากหญิงสาวที่เป็นเครือญาติของอิบรอฮีม
และลูกหลานจากฝ่ายบิดาของเขา
เพื่อที่อิสหากจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับหญิงสาวชาวกันอานที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์.
ละอาซัร
ทาสของอิบรอฮีม ได้จัดอูฐ ทองคำ ทรัพย์สิน และของขวัญ จากนั้นได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่เมือง
" อารอม " ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของอิบรอฮีม (อ.ล) เขาได้ให้อูฐลงพักอยู่นอกเมือง
และเดินด้วยเท้าเข้าไปในเมือง เขาได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่มีเรือนร่างสวยงามหมดจรด
นางได้ออกมานอกเมืองเพื่อตักน้ำใส่ไหที่นางแบกมาบนบ่า.
ละอาซัร ได้เข้าไปขอน้ำดื่มจากนาง นางได้วางไหลงและส่งไหให้เขา
เพื่อเขาจะได้ดื่มจากมัน นางมิได้ให้น้ำดื่มแก่เขาเท่านั้น
นางยังได้ให้อูฐของเขาได้ดื่มน้ำอีกด้วย
ทาสของอิบรอฮีมให้ความสนใจแก่หญิงสาวเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามเพรียบพร้อมทุกด้าน อีกทั้งยังมีกิริยามารยาทที่งดงามยิ่งนัก.
เมื่อเสร็จจากให้น้ำอูฐ
ละอาซัรได้แสดงน้ำใจกับนางด้วยการมอบของขวัญจากอิบรอีมให้แก่นางเป็นกำไลสองอัน
และห่วงทองคำสวมจมูก.
เขาได้ถามนางถึงบิดาของนางว่าเป็นใคร และมีที่พักแรมเพื่อให้อูฐได้พักผ่อนหรือไม่ ?
นางบอกเขาว่านางเป็นบุตรีของ
บะตูอีล บุตร นาฮูร และพวกเขามีคอกสัตว์ที่กว้างใหญ่
สามารถรองรับอูฐได้เป็นจำนวนมาก และมีอาหารสัตว์เหลือเฟือ มาถึงขั้นตอนนี้ ละอาซัร
มั่นใจแล้วว่าคุณสมบัติที่พึงประสงค์นั้นมีอยู่อย่างครบถ้วนแล้วในตัวของหญิงสาวคนนี้ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของนางไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพื่อนมนุษย์เท่านนั้นแต่มันยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์อีกด้วย
นี่ย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ดีที่มีอยู่ในเชื้อและสายตระกูลของนางได้เป็นอย่างดี.
หญิงสาวได้ล่วงหน้าไปที่บ้านก่อน
และได้เล่าเรื่องราวที่เธอได้บอกแก่ ละอาซัร ให้พี่ชายของเธอทราบ พี่ชายของเธอได้ไปหาละอาซัร ทันที
เชื้อเชิญเขาเป็นแขกพร้อมด้วยบริวารและสัตว์ ได้ให้เกียรติยกย่องเขาเป็นอย่างสูง
โดยไม่รู้ว่า ละอาซัรเป็นใคร.
ละอาซัร
ได้เล่าเรื่องให้พวกเขาทราบถึงเหตุผลในการมา และแจ้งว่านายของเขาคืออิบรอฮีม
ได้ส่งเขามาเพื่อค้นหาเจ้าสาวให้แก่อิสหากบุตรชายของเขา
โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าสาวต้องเป็นลูกหลานฝ่ายบิดาของเขา
เพราะอิบรอฮีมไม่ต้องการให้อิสหากแต่งงานกับหญิงสาวชาวกันอาน. และได้แจ้งให้พวกเขาทราบว่าเขาพอใจหญิงสาวคนที่เขาพบว่ามีความใจบุญอย่างยิ่ง.
และเขามั่นใจในเกียรติ และวงศ์ตระกูลของนางและครอบครัว. ดังนั้นเขาจึงตกลงที่จะสู่ขอ
รอฟเกาะห์ เพื่อให้ไปเป็นภรรยาของอิสหาก บุตร อิบรอฮีม (อ.ล) ซึ่งอิบรอฮีมมีศักดิ์เป็นลุงของพวกเขา, ญาติของรอฟเกาะห์ ดีใจมากกับการสู่ขอนี้ พวกเขาตอบตกลงทันที และตกลงให้
รอฟเกาะห์ แต่งงานกับอิสหาก.
ละอาซัร ได้มอบของขวัญที่นำมาจากอิบรอฮีมอย่างมากมายมอบให้แก่พวกเขา
ทั้งภาชนะทองคำ และเงิน เสื้อผ้าและของใช้ให้แก่ทุกคนในครอบครัว.
ทาส ละอาซัร ได้นำ
รอฟเกาะห์ ว่าที่เจ้าสาวที่อิสหาก (อ.ล) จะแต่งงานด้วย
เดินทางกลับไปพร้อมกับตน.
ความหวังอย่างหนึ่งของอิบรอฮีม
(อ.ล)
ได้เกิดเป็นความจริงขึ้นแล้ว
นั่นก็คือการที่อัลเลาะห์ให้เขาเป็นคนที่มีคุณธรรม ให้มีลูกหลานที่มีคุณธรรม
เกิดจากบิดามารดาที่มีคุณธรรม และนี่ก็เป็นสิ่งที่อิบรอฮีม
คนสนิทของอัลเลาะห์ปรารถนาอย่างที่สุด
นั่นก็คือการที่อิสหากผู้เป็นบุตรชายจะไปเกี่ยวดองกับตระกูลทางฝ่ายบิดาของเขา เพราะจะได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งของญาติทางฝ่ายบิดา
ไม่ใช่แต่งงานกับผู้หญิงชาวกันอาน.
รอฟะเกาะห์
เป็นภรรยาที่ดีของอิสหสก และเป็นเพื่อนคู่ใจของเขา ภายหลังจากซาเราะห์
มารดาของเขาเสียชีวิตไป.
อิสหากอพยพไปยังอียิปต์
เกิดความแห้งแล้งขึ้นบนหน้าแผ่นดิน ชาวชามได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า อิสหากพร้อมด้วยรอฟะเกาะห์ภรรยาได้เดินทางอพยพไปยังอียิปต์ ที่อียิปต์พวก
เขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากกษัตริย์ พวกเขาได้พำนักอยู่ในอียิปต์เป็นเวลานาน, และเมื่ออิสหากประสงค์จะเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนานั้น กษัตริย์ก็ได้มอบสิ่งของให้แก่เขาอย่างมากมายทั้งฝูงสัตว์
และข้าทาส อิสหากเดินทางกลับชาม อย่างเศรษฐีผู้มั่งคั่ง
และอัลเลาะห์ก็ได้ประทานความดีที่เพิ่มพูนแก่เขาทั้งข้าทาสและทรัพย์สินนั้น.
สัญลักษณ์ต่างๆ
ของอัลเลาะห์สำหรับอิสหาก
อัลเลาะห์ได้ส่งอิสหากมาเป็นนบี
จากบรรดาผู้มีคุณธรรม
เขาทำหน้าที่ประกาศเชิญชวนสู่การเคารพภักดีต่ออัลเลาะห์เพียงผู้เดียว
โดยไม่มีคู่ภาคีใดสำหรับพระองค์ พระองค์คือผู้สร้างจักรวาลนี้
พระองค์คือผู้อภิบาลสากลโลก ซึ่งไม่หลงไม่ลืม ไม่หลับไม่นอน
ไม่มีสิ่งใดในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะทำให้พระองค์ไร้ความสามารถได้เลย.
อิสหากเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด
มีสายตาที่สามารถทะลุทะลวงได้ เขามีความสามารถค้นหาน้ำที่อยู่ใต้ผืนดิน
และรู้ตำแหน่งน้ำได้อย่างแม่นยำ, เขามักจะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านและใช้ทาสของเขาให้ขุดบ่อน้ำ
ก็จะมีน้ำไสสะอาดรสจืดสนิทไหลออกมา เมื่อชาวตำบลนั้นต้องการจะครอบครองบ่อน้ำไว้
เขาก็จะจากตำบลนั้นไป และไปขุดบ่อน้ำในแหล่งอื่นๆ ต่อไป จนเขาได้ขุดบ่อน้ำไว้เป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้อัลเลาะห์จึงประทานความดีที่เพิ่มพูนให้แก่เขาทั้งในทรัพย์สินของเขา
และสิ่งที่เขาครอบครองทั้งเรือกสวนไร่นาและปศุสัตว์.
บรรดานบีที่เป็นลูกของอิสหาก
อิสหากและอิสมาอีลได้รับการสืบทอดตำแหน่งนบีมาจากผู้เป็นบิดาคือนบีอิบรอฮีม
(อ.ล)
คนสนิทของอัลเลาะห์.
สำหรับอิสมาอีลนั้นอัลเลาะห์
ได้แต่งตั้งนบีท่านสุดท้ายมาจากลูกหลานของเขานั่นคือท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล).
ส่วนอิสหาก นั้น
ลูกหลานของเขาส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี
ที่อัลเลาะห์ได้ส่งพวกเขามาก่อนท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล).
ซึ่งได้แก่ ยะอ์กูบ, ยูซุฟ, ซะกะรียา,
ยะห์ยา, อัยยูบ, มูซา
และยังมีนบีท่านอื่นๆ อีก ที่จะได้นำประวัติของพวกเขามาเล่าต่อไป.
นบีอิสหากเสียชีวิต
ภายหลังการเดินทางอันยาวไกล
และเปี่ยมล้นด้วยศรัทธาที่ฝังแน่น ในเส้นทางการเผยแพร่ศาสนาของอัลเลาะห์ ซึ่งกินเวลาประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบปี นบีอิสหาก
บุตรของนบีอิบรอฮีม (อ.ล) ได้เสียชีวิตลง และศพถูกฝังไว้ที่ฮับรูน (ซึ่งก็คือเมืองคอลีลในปัจจุบันนั่นเอง) ภายในถ้ำใก้ลๆ
กับศพของผู้เป็นบิดา และมารดาของเขาที่ได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลเลาะห์ก่อนหน้าเขา.
ชีวประวัติของนบีอิสหาก
(อ.ล)
ได้ให้บทเรียน อุทาหรณ์
และหลักฐานแก่พวกเราที่บ่งชี้ถึงเดชานุภาพของอัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
ให้พวกเราลองพิจารณาสภาพของผู้เป็นบิดาที่อยู่ในวัยหนึ่งร้อยปี และมารดาในวัยเก้าสิบปี
แต่ทั้งสองคนยังสามารถให้กำเนิดบุตรได้ มันไม่ใช่เป็นหลักฐานหรือ
ที่บ่งชี้ว่าไม่มีสิ่งใดในชั้นฟ้าและแผ่นดินทำให้พระองค์ไร้ความสามารถได้เลย.
หลังจากนั้นพระเจ้าองค์นี้แหละที่ทำให้ความหวังของอิบรอฮีม
(อ.ล)
และคำวิงวอนของเขาเกิดเป็นความจริงขึ้นมาอีก พระองค์ได้ประทานบุตรให้แก่เขาทั้งที่เขาอยู่ในวัยชรา
หลักฐานชิ้นนี้มันจึงกลายเป็นสองหลักฐานขึ้นมา.
ผู้ใดมีความประสงค์ในสิ่งใด
เขาจะต้องวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร โดยใจอันบริสุทธิ์
เพราะอำนาจอยู่ในมือของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว พระองค์เพียงผู้เดียวที่ทรงเดชานุภาพเมื่อประสงค์สิ่งใดพระองค์เพียงแต่กล่าวว่า
" จงเป็น "
สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นมา.
มหาบริสุทธิ์แด่เอกองค์อัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่
เมื่ออัลเลาะห์ตอบรับคำวิงวอนของบ่าวของพระองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด และช่วงใด
ขณะที่พวกเขาวิงวอนขอด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะห์.
เขาจะต้องกล่าวคำสรรเสริญและสดุดีต่ออัลเลาะห์
ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ภายหลังจากอัลเลาะห์ได้ตอบรับคำวิงวอนของเขาแล้ว
ทั้งนี้เป็นการปฏิบัติตามแบบอย่างที่นบีอิรอฮีม (อ.ล) ได้ปฏิบัติไว้
เพราะเขาได้กล่าวว่า :
" มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลเลาะห์
ผู้ประทานอิสมาอีล และอิสหากให้แก่ฉัน ทั้งที่ฉันชราภาพแล้ว
แท้จริงองค์อภิบาลของฉันได้ยินคำวิงวอนยิ่ง
ข้าแด่องค์อภิบาลของฉัน ได้โปรดให้ฉัน
และส่วนหนึ่งจากลูกหลานของฉันเป็นผู้ดำรงละหมาด ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา และขอได้โปรดรับคำวิงวอนของฉันด้วยเถิด.
ข้าแด่องค์อภิบาลของเราขอได้โปรดอภัยโทษให้แก่ฉัน บิดามารดาของฉัน
และแก่มวลผู้ศรัทธาในวันที่มีการสอบสวน " (อิบรอฮีม : 39-41) .
จบชีวประวัตินบีอิสหาก
(อ.ล)
0 ความคิดเห็น