6.อิบรอฮีมในเรื่องพระเจ้าของเขา

12:11:00

ผู้ที่โต้แย้งกับอิบรอฮีมในเรื่องพระเจ้าของเขา

นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) จะหักล้างหลักฐานด้วยหลักฐาน  พระองค์อัลเลาะห์จะช่วยเหลืออิบรอฮีมตลอดเวลาให้สามารถได้หลักฐานที่ชัดเจน  เป็นหลักฐานที่เด็ดขาดมีน้ำหนักที่ใช้ยืนยันการมีอัลเลาะห์  ยืนยันเอกภาพของพระองค์  และยืนยันเดชานุภาพของอัลเลาะห์ทั้งในด้านการสร้าง และการทำลาย  และยืนยันว่าพระองค์เป็นอมตะไม่มีวันดับสูญ

หลังจากที่อิบรอฮีมได้ทำให้พวกพ้องของเขาต้องยอมจำนน  และได้อธิบายให้พวกเขาทราบว่ารูปปั้นของพวกเขาไม่สามารถจะพูดได้ และไม่สามารถป้องกันตัวเองได้  และหลังจากหลักฐานของอิบรอฮีมทำให้พวกพ้องของเขาไม่อาจโต้ตอบได้ในเรื่องนี้  พวกเขาได้นำตัวอิบรอฮีมไปเข้าพบกษัตริย์นัมรูด  และพวกเขาได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้แก่กษัตริย์ฟัง  นัมรูดได้กล่าวแก่อิบรอฮีมว่า :

ใครคือพระเจ้าของเจ้า  ที่เจ้าได้เชิญชวนผู้คนให้กราบไหว้ ...ยังจะมีพระเจ้านอกจากข้าอีกหรือ ?
อิบรอฮีมตอบด้วยความมั่นใจและหนักแน่นว่า  ถูกแล้ว พระเจ้าของฉัน และพระเจ้าของท่านคืออัลเลาะห์ ผู้อภิบาลสากลโลก  พระองค์เป็นผู้สร้างฉัน  สร้างท่าน และสร้างจักรวาลนี้ทั้งหมด  และพระองค์เพียงผู้เดียวเป็นผู้บริหารกิจการของสรรพสิ่งทั้งปวง

นัมรูด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยถากถางและดูแคลนอิบรอฮีมว่า :
พระเจ้าของเจ้าองค์นี้เข้มแข็งกว่าข้า หรือครองอำนาจเช่นเดียวกับข้าหรือเปล่า ?
อิบรอฮีมกล่าวว่า :
ถูกแล้ว ! พระเจ้าของฉันเป็นผู้ให้มีชีวิตขึ้น และเป็นผู้ให้ตาย
นัมรูดกล่าวขึ้นอย่างยโสโอหังว่า :
ข้าเอง  ก็สามารถทำให้เป็นและทำให้ตายได้
นัมรูดสั่งทหารให้นำชายสองคนที่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตออกมา แล้วเขาก็ออกคำสั่งให้เพชณฆาตนำตัวคนหนึ่งไปประหารชีวิต  และสั่งให้ปล่อยตัวไปคนหนึ่ง  เขาหันไปทางอิบรอฮีมแล้วพูดขึ้นว่า :

เจ้าจงมองดู  เห็นไหมว่าข้าสั่งให้ประหารชีวิตไปคนหนึ่ง  ก็เท่ากับข้าทำให้เขาตาย และข้าได้สั่งปล่อยตัวไปคนหนึ่งทั้งที่เขามีโทษถึงประหารชีวิต  มันก็เท่ากับข้าทำให้เขามีชีวิต ... เจ้าเห็นหรือยังว่าข้าก็มีความสามารถทำให้เป็น และทำให้ตายได้ ?

อิบรอฮีม พูดขึ้นด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่นว่า :

แท้จริงอัลเลาะห์สามารถทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก  ท่านจงทำให้มันขึ้นมาทางทิศตะวันตกเถิด

นัมรูด จนความคิด  พูดไม่ออก  เขาไม่สามารถตอบอิบรอฮีมได้  นี่คือหลักฐานที่เด็ดขาด  เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนัก  โดยจะไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกได้นอกจากผู้ที่สร้างมันขึ้นมา  และทำให้มันโคจรอยู่ในเส้นทางของมัน  จนถึงเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น

อัลกุรอานได้เล่าให้พวกเราได้ทราบถึงเหตุการณ์นี้ไว้ว่า :

โอ้ มุฮำหมัด  เจ้าไม่ได้พิจารณาถึงผู้ที่โต้แย้งกับอิบรอฮีม  ในเรื่องพระเจ้าของเขาหรือ ที่อัลเลาะห์ได้ประทานอำนาจแก่เขา  ขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า  พระเจ้าของฉันนั้นคือผู้ทรงให้เป็น  และผู้ทรงให้ตาย  เขาได้กล่าวว่า  ข้าก็ให้เป็นและให้ตายได้  อิบรอฮีมกล่าวว่า แท้จริงอัลเลาะห์นั้นทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นมาจากทิศตะวันออก  ดังนั้นท่านจงทำให้มันขึ้นมาทางทิศตะวันตกเถิด  แล้วผู้ปฏิเสธก็ได้รับความมึนงง  และอัลเลาะห์จะไม่ชี้นำแก่พวกที่ฉ้อฉล  (อัลบะกอเราะห์  :  258)

ไฟ...เย็นและปลอดภัย

กษัตริย์ นัมรูด ถอนหายใจหลังจากได้ประจักษ์หลักฐานอันหนักแน่นและเด็ดขาด ที่ยืนยันว่าตนเองเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีอำนาจควบคุมใดๆเลยในจักรวาล  และได้ประจักษ์ว่ากิจการทั้งปวงในจักรวาลเป็นของอัลเลาะห์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  ต่อมานัมรูด ก็ตัดสินใจจะจัดการกับอิบรอฮีมขั้นเด็ดขาดเพื่อขจัดเสี้ยนหนาม ที่จะเป็นภัยกับตนเองจากคำประกาศเชิญชวนของเขา  เขาจึงได้ป่าวร้องให้ประชาชนมารวมตัวกัน และประกาศขึ้นว่า :

พวกเจ้าทั้งหลายรูปไหมว่าเด็กหนุ่มอิบรอฮีม  ผู้นี้ต้องการอะไร ?  ความจริงเขาดูหมิ่นความคิดของพวกเจ้า  เขาเหยียดหยามพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า  และพระผู้เป็นเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเจ้า  เขาต้องการเป็นผู้นำในหมู่พวกเจ้า  พวกเจ้าเห็นอะไรจะกำจัดเขาให้พ้นไปจากพวกเราด้วยวิธีใด ?

มีคนหนึ่งเสนอความคิดเห็นว่า  ผู้ที่ดูหมิ่นความคิดของพวกเรา และเหยียดหยามพระผู้เป็นเจ้าของพวกเรานั้นไม่มีอะไรจะสาสมกับความผิดของเขานอกจากนำตัวเขามาเผาในกองไฟเท่านั้น

นัมรูด จึงฉวยโอกาสในขณะที่ประชาชนกำลังโกรธจัด  โดยกล่าวว่า :

ถูกแล้ว  ถูกแล้ว พวกเจ้าจงไปนำตัวเขามาเผาไฟ  พวกเจ้าจงช่วยกันรวบรวมฟืนที่เป็นไม้แห้งมาให้ได้มากๆ  จากทุกแห่งหน  จากนั้นจงจุดไฟขึ้นให้ท่วมฟ้า  และจับเขาโยนลงไปในกองไฟนั้น ...ถูกแล้ว  พวกเจ้าจงเผาอิบรอฮีมเสียทั้งเป็น  และช่วยเหลือพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าให้พ้นจากการดูหมิ่นเหยียดหยามของเขา

ประชาชนทั้งผู้ชาย  ผู้หญิง  และพวกเด็กๆ  ต่างร่วมมือกันไปเก็บไม้ฟืนมากองรวมกันเข้าเป็นภูเขาเลากา  พวกเขาได้จุดไฟขึ้น  จับอิบรอฮีม (อ.ล.) มัดอย่างแน่นหนา  พวกเขาได้มัดมือมัดเท้าทั้งสองของอิบรอฮีมด้วยเชือก  และจับเขาโยนลงไปนกองเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่นั้น ...ทันใดนั้นเอง  ญิบรีล (อ.ล.) ได้มาหาอิบรอฮีมและกล่าวแก่เขาว่า :

ในสถานการณ์อย่างนี้  ท่านต้องการอะไร  โอ้อิบรอฮีม ท่านไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือ ?

ด้วยหัวใจที่มีศรัทธามั่นคงเด็ดเดี่ยวต่อความพอใจของอัลเลาะห์ในการกระทำของตน  อิบรอฮีมได้พูดขึ้นว่า :

สำหรับความช่วยเหลือจากท่านนั้นฉันไม่ต้องการ ... ส่วนความช่วยเหลือจากอัลเลาะห์นั้น พระองค์ทรงแลเห็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับฉันอยู่แล้วในขณะนี้ ...

อิบรอฮีม ไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากผู้ใด  นอกจากพระองค์อัลเลาะห์เท่านั้น

และแล้วคำบัญชาจากอัลเลาะห์ก็ได้มีมา ...เป็นคำบัญชาที่มาจากเบื้องบน มายังไฟว่า โอ้  ไฟ ! เจ้าจงเป็นไฟที่เย็นและปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด

ซุบฮานั้ลลอฮ์ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงพลานุภาพ  พระองค์บัญชาให้ไฟ กลายเป็นไฟเย็นและปลอดภัยแก่อิบรอฮีม  ไม่ใช่เป็นความเย็นที่กัดผิดจนเป็นอันตราย ...แต่เป็นทั้งความเย็นและความปลอดภัย  โดยไม่มีอันตรายใดๆ และไม่มีเหตุใดๆที่จะทำให้ร่างกายเกิดความเจ็บปวด หรือทำให้วิญญาณตื่นตระหนก

สำหรับวิธีการที่พวกเขาสามารถจับอิบรอฮีมโยนลงไปในกองไฟที่กำลังลุกโชน มีความร้อนแรงอย่างที่สุด  และมีขนาดสูงใหญ่เท่าภูเขาเลากาได้นั้น  มีเรื่องที่นักรายงานได้เล่าไว้ดังนี้ว่า  ขณะที่ประชาชนพยายามจับอิบรอฮีมโยนลงในกองไฟนั้น  พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้กองไฟได้เพราะความร้อนแรงของไฟที่พวกเขาก่อขึ้น  ชัยตอนได้แปลงร่างมาเป็นชายคนหนึ่ง  และได้สร้างเครื่องดีดขึ้นมา  เพื่อใช้ในการดีดตัวอิบรอฮีม (อ.ล.) ลงในกองเพลิง

ประชาชนพากันแสดงความโห่ร้องยินดี  พวกเขามั่นใจว่าที่พวกเขาทำเช่นนั้นคือการช่วยพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา

อิบรอฮีม อยู่ในกองเพลิงนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง  จนประชาชนคิดว่าอิบรอฮีมถูกไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว และพวกเขาคงจะหาซากเรือนร่างของอิบรอฮีมไม่พบ ภายหลังจากไฟได้ทำให้มันป่นกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว ...

ภายหลังจากกองไฟมอดลงแล้ว  ประชาชนได้มารายล้อมอยู่รอบๆ กองเถ้าถ่านเพื่อค้นหาซากเรือนร่างของอิบรอฮีม  แต่พวกเขาก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าอิบรอฮีมนั่งอยู่ เขากำลังดื่มกินอาหาร โดยที่ไฟไม่ได้ทำให้เขาได้รับอันตรายใดๆทั้งสิ้น  เขายังคงมีร่างกายที่สมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยจากความร้อนของไฟแต่อย่างใด  เรือนร่างของเขางดงาม มีสง่าราศี  ไฟเพียงแต่ไหม้เชือกที่มัดเขาไปเท่านั้น  ไฟเชื่อฟังคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า มันได้กลายสภาพเป็นไฟที่มีความเย็นและปลอดภัยแก่อิบรอฮีม

นัมรูด เห็นความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ณ เบื้องหน้าของเขา  เขาตกตะลึงกับภาพที่แลเห็น และมั่นใจว่าศาสนาที่อิบรอฮีมนำมาประกาศแก่ประชาชนนั้นคือศาสนาที่แท้จริง  แต่เขามีความยโสโอหังจนไม่สามารถจะยอมรับความจริงได้  เขาจึงสั่งระงับการคุกคามต่ออิบรอฮีม  และปล่อยให้เขามีอิสระในการเผยแพร่ศาสนาของเขาได้ตามต้องการ

ส่วนประชาชนนั้นทั้งที่ได้ประจักษ์ความจริง  และเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา  แต่พวกเขาก็ไม่ได้ศรัทธาต่ออิบรอฮีมและไม่ยอมรับศาสนาของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร นอกจากลูต (อ.ล.) ซึ่งเป็นบุตรชายของพี่ชายของเขาที่ชื่อ ฮารูน  บุตร ตาริฮ์  ลูตศรัทธาต่อคำประกาศของอิบรอฮีม  และภายหลังจากนั้นอัลเลาะห์ก็ได้ติดต่อสื่อสารกับเขาและได้แต่งตั้งเขาให้เป็นนบี  ทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนให้มาสู่มารยาทที่ดีงาม  และความประพฤติที่ดี

ต่อมาอิบรอฮีมได้สมรสกับ ซาเราะห์ บุตรีของลุงของเขาชื่อ ฮารอน  ซึ่งเป็นคนโต  ซาเราะห์ศรัทธาต่ออิบรอฮีม  และเชื่อมั่นในการเป็นศาสนทูตของเขา  เช่นเดียวกับที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งศรัทธาต่อเขา  แต่พวกเขาปกปิดความศรัทธาของพวกเขา เพราะกลัวนัมรูด และพวกที่ไร้ศรัทธาจะทำร้ายและลงโทษ

เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมด พวกเราสามารถอ่านได้จากคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า :

เมื่อหลักฐานของพวกเขาฟังไม่ขึ้น  และสัจธรรมปรากฏชัดเจนขึ้น  พวกเขาได้หันไปใช้อำนาจของพวกเขา โดยกล่าวขึ้นว่า  พวกเจ้าจงเผาอิบรอฮีมด้วยไฟ  เพราะเขาชิงชังพระเจ้าของพวกท่าน  ถ้าหากพวกเจ้าจะช่วยเหลือพระเจ้าทั้งหลายของพวกเจ้า พวกเขาได้จุดไฟขึ้นกองโต แล้วโยนอิบรอฮีมเข้าไป   อัลเลาะห์ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ศาสนทูตของพระองค์ และพระองค์ได้กล่วแก่ไฟว่า  ไฟเอ๋ย  จงเย็นลงและให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีมเถิด  ไม่ปรากฏว่าอิบรอฮีมได้รับภัยอันตรายใดๆ ขณะอยู่ในกองเพลิงนั้น  พวกเขาประสงค์จะทำร้ายอิบรอฮีม  แต่อัลเลาะห์ได้ทำลายแผนการร้ายของพวกเขา  และทำให้พวกเขาพ่ายแพ้และตกต่ำ  และเราได้ช่วยให้อิบรอฮีม และลูต  ผู้มีศรัทธาต่อเขาที่มาจากอิรัก   รอดพ้นไปสู่ดินแดนชาม ซึ่งเราได้ให้มีความจำเริญอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินนั้นอีกทั้งให้มีนบีเป็นจำนวนมากอยู่ในดินแดนนั้น  เพื่อประชาชาติทั้งหลาย  (อัลอันยิบาฮ์  :  68-71)

และอัลกุรอานยังได้เล่าให้พวกเราได้รับทราบถึงเหตุการณ์อื่นอีก อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า  :

และจงรำลึกเถิด โอ้ มูฮำหมัด  ขณะที่อิบรอฮีม (อ.ล.)  ได้กล่าวแก่บิดาของเขา คือ อาซัร  ว่า  ท่านจะยึดถือเอารูปปั้นเหล่านี้เป็นที่เคารพสักการะอื่นไปจากอัลเลาะห์อย่างนั้นหรือ  แท้จริงฉันเห็นว่าท่านและกลุ่มชนของท่านนั้นอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง  และเช่นเดียวกับที่เราได้ชี้นำอิบรอฮีมสู่หนทางที่ถูกต้อง  เราก็จะให้อิบรอฮีมเห็นอำนาจอันยิ่งใหญ่  และเดชานุภาพอันเกรียงไกรในชั้นฟ้า  และแผ่นดิน  เพื่อเขาจะได้เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้เชื่อมั่นทั้งหลาย  ครั้นเมื่อเวลากลางคืนเข้าปกคลุมเขา  เขาได้โต้เถียงกับพวกพ้องของเขาเพื่อหาความจริง  เพื่อให้ปรากฏชัดว่าศาสนาของพวกเขาเป็นศาสนาที่จอมปลอม  โดยที่พวกเขาเคารพสักการะดวงดาว อิบรอฮีมเห็นดาวดวงหนึ่ง  เขาได้กล่าวเพื่อลวงล่อพวกพ้องของเขาให้จนคำพูดและยอมรับศาสนาที่ถูกต้อง  ว่านี่คือพระเจ้าของฉัน  เมื่อมันลับไป เขาก็กล่าวว่า  ฉันไม่ชอบบรรดาสิ่งที่ลับไป ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงจันทร์ขึ้นมา เขาก็กล่าว  เพื่อลวงล่อพวกพ้องของเขา ว่านี่คือพระเจ้าของฉัน แต่เมื่อมันลับไปเขาก็กล่าว  แสดงความต้องการการชี้นำจากพระเจ้า  ว่า  ถ้าพระเจ้าของฉันมิได้ทรงแนะนำฉันแล้ว  แน่นอนฉันก็กลายเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชนที่หลงผิด  ครั้นเมื่อเขาเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นมา  เขาก็กล่าวว่า  นี่คือพระเจ้าของฉัน  นี่ใหญ่กว่าดวงดาวและดวงจันทร์ แต่เมื่อมันได้ลับไป  เขาก็กล่าวว่าโอ้กลุ่มชนของฉัน  แท้จริงฉันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเจ้าตั้งภาคีจากการเคารพสักการะรูปปั้นและดวงดาวอื่นไปจากอัลเลาะห์  แท้จริงฉันขอผินหน้าของฉันสู่การสักการะอัลเลาะห์เพียงผู้เดียว  พระองค์คือ ผู้ที่ทรงสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดิน  โดยเบือนหนีออกจากการตั้งภาคีมาสู่การศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  และฉันจะไม่นำสิ่งใดๆมาร่วมเป็นภาคีกับอัลเลาะห์  และกลุ่มชนของเขาได้โต้เถียงเขาในเรื่องศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดียว  เขาได้กล่าวว่า  พวกท่านจะโต้เถียงฉันในเรื่องศรัทธาต่ออัลเลาะห์องค์เดียวกระนั้นหรือ  และแท้จริงพระองค์ได้ทรงชี้นำฉันให้รู้จักพระองค์แล้วว่ามีพระองค์เดียว  และถ้าพวกท่านนำเอาพระเจ้าของพวกท่านมาข่มขู่ฉันให้กลัวว่าจะทำอันตรายฉัน  ฉันจะไม่กลัวพระเจ้าของพวกท่านหรอก  เพราะไม่มีทางที่จะทำอันตรายกับฉันได้  นอกจากพระเจ้าของฉันจะประสงค์ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น  พระเจ้าของฉันนั้นมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่ง  แล้วพวกเจ้าไม่ไตร่ตรองกันหรือ  ถ้าหากพวกเจ้าไตร่ตรองก็จะได้รู้ว่าอัลเลาะห์เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นพระเจ้าที่สมควรเคารพสักการะ แล้วทำไมฉันจะต้องเกรงกลัวรูปปั้นที่พวกท่านสักการะ  โดยที่พวกท่านไม่เกรงกลัวพระเจ้าของฉันที่เป็นผู้สร้างพวกท่านและรูปปั้นที่พวกท่านนำมาเป็นคู่ภาคีกับพระองค์  โดยไม่มีหลักฐานใดๆทั้งสิ้น  แล้วฝ่ายใดเล่าในสองฝ่ายนั้นคือฝ่ายผู้ตั้งภาคี  และฝ่ายผู้ศรัทธาพระเจ้าองค์เดียว เป็นฝ่ายที่สมควรได้รับความสงบทางใจ  และความปลอดภัยจากการลงโทษของอัลเลาะห์ยิ่งกว่ากัน  หากพวกท่านรู้ว่าสิ่งที่ฉันนำมาบอกกล่าวแก่พวกท่านเป็นความจริง บรรดาผู้ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ และปฏิบัติตามศาสนทูตของพระองค์ โดยพวกเขามิได้นำเอาการตั้งภาคีมาปะปนอยู่ในการศรัทธาของพวกเขา  ชนเหล่านี้แหละที่จะได้รับความสงบทางจิตใจ  และได้รับความปลอดภัย  อีกทั้งยังเป็นพวกที่ได้รับการชี้นำสู่หนทางที่ถูกต้อง  และหลักฐานที่อิบรอฮีมนำมาหักล้างกับพวกพ้องของเขาในการโต้เถียงหาความจริงนั้นคือหลักฐานของเราที่ได้ชี้นำให้แก่อิบรอฮีม  เพื่อตัดหลักฐานของพวกเขา  เราจะยกฐานะของผู้ที่เราประสงค์ให้สูงส่งทั้งในโลกนี้และโลกหน้าหลายชั้น  แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น  เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้  (อัลอันอาม  :  74-83)

และพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร  ได้ตรัสว่า  :

โอ้ มูฮำหมัดเจ้าจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีม  ได้กล่าวแก่บิดาและหมู่ชนของเขาว่า  พวกท่านเคารพสักการะสิ่งใดกัน  พวกท่านปรารถนาสิ่งมดเท็จอื่นไปจากอัลเลาะห์อย่างนั้นหรือ  พวกท่านคาดคิดอย่างไรต่อองค์อภิบาลสากลโลก  อิบรอฮีมได้มองดูดวงดาวขณะหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่าฉันป่วยจริงๆ  พวกพ้องของเขาจึงหันหลังให้เขาและกลับออกไป  แล้วอิบรอฮีมก็มุ่งหน้าไปยังรูปปั้นที่พวกเขานับถือเป็นพระเจ้าแล้วพูดขึ้นว่า พวกเจ้าไม่กินอาหารที่คนเหล่านั้นนำมาถวายบ้างหรือ  ทำไมพวกเจ้าจึงไม่พูดเล่า  อิบรอฮีม จึงกระหน่ำตีรูปปั้นเหล่านั้นด้วยมือขวาที่มีขวานอยู่  หลังจากนั้นประชาชนได้มาหาเขา อิบรอฮีมจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า  พวกท่านเคารพสักการะสิ่งที่พวกท่านแกะสลักขึ้นมากระนั้นหรือ  ทั้งที่อัลเลาะห์ทรงสร้างพวกท่านและสิ่งที่พวกท่านทำขึ้นมา ประชาชนพากันกล่าวว่า จงสร้างเตาเผาสำหรับเขาเถิด  และโยนเขาลงไปในกองไฟที่ลุกโชน  พวกเขาวางแผนร้ายแล่นงานเขา  แต่เราได้ทำให้พวกเขากลายเป็นพวกที่ต่ำต้อย  และอิบรอฮีมได้กล่าวว่า ฉันจะไปหาพระเจ้าของฉัน  แน่นอนพระองค์จะทรงแนะนำทางที่ถูกต้องให้แก่ฉัน  (อัซซอฟฟาต  :  83-99)

และอัลเลาะห์ได้ตรัสไว้อีกว่า  :

โอ้ มูฮำหมัด  เจ้าจงเล่าเรื่องราวของอิบรอฮีมให้แก่พวกผู้ไร้ศรัทธาฟังเถิด  ขณะที่เขาได้กล่าวแก่บิดาและหมู่ชนของเขาว่า  พวกท่านเคารพสักการะสิ่งใดกัน  พวกเขาตอบว่าพวกเราเคารพสักการะรูปปั้นพระเจ้าของพวกเรา และเรายังคงยึดมั่นอยู่กับรูปปั้นตลอดไป  อิบรอฮีม กล่าวว่า  รูปปั้นจะได้ยินไหมขณะที่พวกท่านวิงวอน ?  หรือรูปปั้นเหล่านั้นสามารถให้คุณหรือโทษแก่พวกท่านได้ไหม  พวกเขากล่าวว่าแต่พวกเราพบว่าบรรพบุรุษของพวกเรากระทำเช่นนี้  อิบรอฮีมกล่าวว่า พวกท่านได้ใคร่ครวญแล้วหรือในสิ่งที่พวกท่านเคารพสักการะทั้งที่มันไม่ได้ยิน ไม่ให้คุณและไม่ให้โทษ  ทั้งตัวของพวกท่านเองและบรรพบุรุษก่อนๆ  ของพวกท่าน  ความจริงรูปปั้นที่พวกท่านสักการะเป็นพระเจ้านั้นคือศัตรูของฉัน  นอกจากองค์อภิบาลสากลโลกเท่านั้น  ที่พระองค์ทรงสร้างฉันขึ้นมา  และชี้นำฉันสู่หนทางที่ถูกต้อง  และพระองค์เป็นผู้ประทานอาหารและน้ำดื่มให้แก่ฉัน  และเมื่อฉันป่วยพระองค์จะเป็นผู้ทำให้ฉันหายป่วย  พระองค์เป็นผู้ให้ฉันตาย  และชุบชีวิตฉันขึ้นมาอีก  พระองค์เป็นผู้ที่ฉันหวังว่าจะให้อภัยความผิดของฉันในวันตอบแทน  ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันขอได้โปรดประทานความรู้  และให้ฉันตามทันพวกที่มีคุณธรรมทั้งหลาย  และได้โปรดให้ฉันได้รับการกล่าวขานถึงเป็นอย่างดีในหมู่ชนยุคหลัง  และได้โปรดให้ฉันอยู่ในหมู่ชนที่รับมรดกสวนสวรรค์อันบรมสุข  และขอได้โปรดยกโทษให้แก่บิดาของฉัน เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งที่หลงผิด  และโปรดอย่าให้ฉันได้รับความอับยศในวันที่พวกเขาถูกให้ฟื้นคืนชีพ  วันที่ทรัพย์สมบัติและลูกหลานจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย  (อีชชุอะรออ์  :  69-89)


อิบรอฮีมผู้อพยพในเส้นทางของอัลเลาะห์

อิบรอฮีมได้ละทิ้งถิ่นกำเนิดของตน  และออกเดินทางพร้อมด้วยภรรยาของเขาคือ ซาเราะห์ และลูกพี่ลูกน้องของเขาอีกคนหนึ่งคือ ลูต  ไปยังดินแดนชาม  ภายหลังจากสิ้นหวังแล้วว่าพวกพ้องของเขาจะรับคำประกาศศาสนาของเขา  อิบรอฮีมมุ่งหน้าสู่ดินแดนของชาวกัลดาน  

หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังฮารอน  แล้วไปสิ้นสุดที่ดินแดนปาเลสไตน์  ทั้งหมดนั้นเป็นการเดินทางในวิถีทางของอัลเลาะห์  และการประกาศเชิญชวนสู่การเคารพสักการะต่อพระเจ้าองค์เดียว  

ซึ่งต่อมานักประวัติศาสตร์ได้ขนานนามให้ท่านว่า  นบีนักเดินทาง  อิบรอฮีมได้พำนักอยู่ที่เมือง  ชะกีม  ซึ่งปัจจุบันก็คือเมือง  นาบลุส  ท่านได้ตระเวนไปในแผ่นดินปาเลสไตน์  ต่อมาเมื่อแผ่นดินปาเลสไตน์ประสบกับความแห้งแล้ง และอดอยาก อิบรอฮีม ก็ได้อพยพออกไปยังอียิปต์

อิบรอฮีมมาถึงอียิปต์ในยุคของ  เฮกโซซ  ซึ่งพวกเขาเคยถูกเรียกว่า  กษัตริย์ของอะมาลีก พร้อมด้วยภรรยาของเขาคือ ซาเราะห์  ซึ่งเป็นหญิงรูปงามทั้งที่ขณะนั้นนางอยู่ในวัยเจ็ดสิบปี  

เมื่อกษัตริย์ทราบข่าวจากรายงานถึงความงามของซาเราะห์  กษัตริย์ได้ถามอิบรอฮีมถึงนาง  อิบรอฮีมได้ตกลงกับซาเราะห์ว่า เมื่อถูกถามให้ ซาเราะห์ตอบว่าเป็นน้องสาวของอิบรอฮีม  เพื่อกษัตริย์จะได้ไม่เอาตัวนางไว้  ถูกแล้ว ซาเราะห์ก็คือน้องสาวของอิบรอฮีมในทางศาสนา  ด้วยเหตุนี้ทั้งอิบรอฮีมและซาเราะห์จึงไม่ใช่คนโกหกที่ตอบเช่นนั้น

กษัตริย์ได้มีบัญชาให้นำซาเราะห์เข้าพบ  ทหารนำนางเข้าพบกษัตริย์อิบรอฮีมได้ละหมาดและขอพรต่ออัลเลาะห์ให้ปกปักรักษาภรรยาของตน  เช่นเดียวกับ ซาเราะห์ก็ได้พร่ำวิงวอนต่ออัลเลาะห์ให้ปกป้องคุ้มครองตัวเธอให้พ้นจากความชั่วร้ายหรือกลอุบายที่กษัตริย์หมายปอง  กษัตริย์พยายามลวนลามเธอ เขายื่นมือไปสัมผัสนาง  

ทันใดนั้นเองมือของเขาก็ลีบและแข็งเป็นอัมพาต กษัตริย์ตกใจกลัว และรู้ว่าเบื้องหลังของสตรีนางนี้มีพลังลึกลับที่คอยปกป้องคุ้มครองนาง  กษัตริย์จึงขอร้องนางให้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าของนางได้โปรดให้มือของเขาหายจากอาการลีบและแข็งเป็นอัมพาตด้วย ซาเราะห์ได้วิงวอนขอ และอัลเลาะห์ก็ได้รับคำวิงวอนของเธอ  มือของกษัตริย์หายเป็นปกติดี  ไม่มีอาการลีบ และไม่มีอาการเป็นอัมพาตเหลืออยู่เลย

กษัตริย์ยังไม่จดจำบทเรียนที่เขาได้รับ  เขาได้พยายามอีกครั้งที่จะลวนลามซาเราะห์  และมือของเขาก็ลีบและกลายเป็นอัมพาตอีกครั้งหนึ่ง  ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้และเขาก็ได้ขอร้องนางอีกครั้งหนึ่งให้วิงวอนขอต่อพระเจ้าของนาง  ซาเราะห์ก็ได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง  และมือของเขาก็ได้กลับคืนสู่สภาพเดิม

กษัตริย์มีความมั่นใจแล้วว่า มีพลังลึกลับอยู่เบื้องหลังของนางที่จะคอยดูแลปกป้องนางให้ปลอดภัย และเขาจะไม่สามารถทำร้ายใดๆต่อนางได้เลย  เขาจึงสั่งการให้ทหารปล่อยตัวนางเป็นอิสระ  และกษัตริย์มีทาสหญิงชาวอาหรับอยู่คนหนึ่ง  มาจากภาคใต้ของอียิปต์  นางชื่อ ฮาญัร  กษัตริย์ได้ยกนางให้เป็นของขวัญแก่ซาเราะห์  และได้มอบวัวและแพะฝูงหนึ่งให้แก่อิบรอฮีม (อ.ล.)

ทั้งหมดได้เดินทางกลับไปยังชามอีกครั้งหนึ่ง  อัลเลาะห์ได้ปกปักรักษานบีของพระองค์และภรรยาของเขาให้ปลอดภัย  ขณะนั้นอิบรอฮีมมีอายุได้แปดสิบปี  ส่วนซาเราะห์มีอายุเจ็ดสิบปี  แม้จะมีอายุยืนยาวแต่ทั้งสองคนก็ยังไม่มีบุตร และคนทั้งสองก็ใฝ่ฝันอยู่เสมอว่าจะมีบุตร

อิบรอฮีมแต่งงานกับ ฮาญัร

ภายหลังจากอิบรอฮีมได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ในดินแดนชาม โดยไม่มีบุตร  ซาเราะห์ก็คิดในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน  นางรู้ตัวเองดีว่านางไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้  เพราะนางเป็นหมัน นางหวังอยู่เสมอว่าอัลเลาะห์จะให้อิบรอฮีมได้มีบุตรทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาต่อจากเขา นางจึงยกทางหญิงของนางคือ ฮาญัร ให้แก่เขา  พร้อมกับกล่าวว่า  :

ฉันเห็นว่าฮาญัรนั้นเป็นหญิงที่ในใบหน้าของนางมีรัศมี  หวังว่าอัลเลาะห์จะประทานบุตรที่เกิดจากนางให้แก่ท่านสักคนหนึ่ง

อิบรอฮีมได้พร่ำวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์อย่างมากมายให้พระองค์ได้ประทานบุตรให้แก่เขา  อัลเลาะห์ได้ตอบสนองคำวิงวอนของนบี ซึ่งเป็นคนสนิทของพระองค์  อิบรอฮีมได้แต่งงานกับฮาญัร  ชาวอียิปต์  และได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งคือ  อิสมาอีล (อ.ล.)  ทั้งที่ซาเราะห์เป็นผู้มอบฮาญัรให้แก่อิบรอฮีมเอง  แต่ความหึงหวงซึ่งเป็นธรรมชาติในตัวของผู้หญิงก็เกิดขึ้น  นางได้ขอร้องอิบรอฮีมให้หาที่อยู่ใหม่แก่ฮาญัรและบุตรน้อยของนาง  ให้ห่างไกลจากนาง


อิบรอฮีมได้นำเอาฮาญัรและบุตรชายออกเดินทางไปในทะเลทราย  โดยเขามีความมั่นใจว่าอัลเลาะห์จะเป็นผู้ชี้นำทางสู่สถานที่ที่มีความปลอดภัย  ซึ่งคนทั้งสองจะได้พำนักอาศัยอยู่  ในที่สุดอิบรอฮีมก็ได้แหล่งพำนักที่เป็นหลักแหล่งคือ  ฟารอน  ซึ่งต่อมาในภายหลังก็คือนครมักกะห์  อยู่ใกล้กับกะอ์บะห์  ซึ่งพังทลายลงเหลือเพียงรากฐานใต้พื้นดินที่ไม่มีใครแลเห็น  ณ  ที่นั้นดินแดนที่แห้งแล้งและกันดาร อิบรอฮีม ได้ปล่อยฮาญัรและอิสมาอีล ไว้  ส่วนตนเองได้เดินทางกลับชาม  เมื่อฮาญัรมั่นใจว่าอิบรอฮีม จะปล่อยตนและลูกน้อยอิสมาอีลไว้ในสถานที่ดังกล่าว นางจึงได้ถามอิบรอฮีมว่า :

โอ้  อิบรอฮีม  ท่านจะปล่อยเราทั้งสองคนไว้ในสถานที่นี้เพียงลำพังหรือ  อัลเลาะห์ใช้ให้ท่านทำอย่างนี้หรือ ?

อิบรอฮีม ไม่ตอบ  ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ  ฮาญัรจึงกล่าวขึ้นว่า  ถ้าเช่นนั้น อัลเลาะห์จะไม่ทำให้เราต้องพบกับความพินาศ ตลอดไป

สำหรับเรื่องนี้มีรายละเอียดอีกมาก  เราจะขอนำไปเสนอในชีวประวัติของนบี  อิสมาอีล (อ.ล.)



อิบรอฮีมให้กำเนิดอิสหาก (อ.ล.)

เวลาผ่านไปไม่นานนักหลังจากอิบรอฮีมได้ตั้งรกรากที่ชามร่วมกับภรรยา คือ ซาเราะห์ ภายหลังจากได้นำฮาญัร และอิสมาอีลไปไว้ที่  ฟารอน  จนในที่สุดอัลเลาะห์ก็ได้ประทานบุตรชายให้แก่เขาอีกคนหนึ่งชื่ออิสหาก  จากภรรยาที่ชื่อซาเราะห์ซึ่งเป็นหมันไม่สามารถมีบุตรได้

มะลาอิกะห์ได้แปลงมาในร่างของมนุษย์ มาพักเป็นแขกของอิบรอฮีม (อ.ล.)  และได้แจ้งข่าวดีแก่คนทั้งสองว่า  เขาทั้งสองจะให้กำเนิดบุตรอีกคนหนึ่งชื่อ อิสหาก  ขณะนั้นซาเราะห์มีอายุได้เก้าสิบปี  มันเป็นทั้งข่าวดีและเรื่องมหัศจรรย์ในคราวเดียวกัน  แต่ข่าวดีนั้นยังขยายออกไปจนถึงยุคหลังจากอิสหากอีกด้วย  เพราะมะลาอิกะห์ได้กล่าวแก่ อิบรอฮีมว่า เขาจะทันได้เห็นหลานของเขาชื่อ ยะอ์กูบ  บุตรของอิสหาก (อ.ล.)

ซาเราะห์ประหลาดใจกับข่าวดีที่มะลาอิกะห์มาแจ้งให้ทราบ  นางถึงกับกล่าวว่า ประหลาดมาก ฉันจะมีบุตรหรือ ทั้งที่ฉันก็ชรามากแล้ว  และสามีฉันก็ชรา จนถึงวัยที่ไม่อาจมีบุตรได้แล้ว

มะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า  การงานของอัลเลาะห์ ไม่ใช่เรื่องประหลาดหรอก  อัลเลาะห์ให้ความเมตตาและเพิ่มพูนแก่พวกท่าน  พระองค์ควรแก่การสรรเสริญและสดุดี

อิบรอฮีมดีใจกับข่าวที่ได้รับ  เขามีความสุขอย่างเปี่ยมล้นที่ทำให้ข่าวดีนี้เป็นความจริง เมื่ออัลเลาะห์ได้ประทานบุตรชายชื่อ อิสมาอีลจากพระนางฮาญัร  และบุตรชายอีกคนหนึ่งชื่ออิสหากจากพระนางซาเราะห์  นบีอิบรอฮีมได้กล่าวคำสรรเสริญและสดุดีอัลเลาะห์อย่างมากมาย  เขามุ่งหน้าเข้าหาอัลเลาะห์กล่าวคำสรรเสริญและสดุดีพร้อมทั้งวิงวอนว่า  :

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์  ซึ่งได้โปรดประทานบุตรให้แก่ฉันคืออิสมาอีลกับอิสหาก ทั้งที่ฉันก็ชราภาพแล้ว  แท้จริงองค์อภิบาลของฉันทรงได้ยินคำวิงวอน ข้าแด่องค์อภิบาลขอได้โปรดให้ฉันและส่วนหนึ่งจากลูกหลานของฉันเป็นผู้ดำรงละหมาด  ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา  และได้โปรดรับคำวิงวอนของฉันด้วยเถิด  ข้าแด่องค์อภิบาลของเราได้โปรดอภัยโทษให้แก่ฉันและบิดามารดาของฉันแก่มวลผู้ศรัทธา  ในวันที่มีการสอบสวนด้วยเถิด  (อิบรอฮีม  :  39-41)



แนวทางของอัลเลาะห์ที่กำหนดให้แก่มนุษย์

ส่วนหนึ่งของแนวทางที่อัลเลาะห์ได้วางไว้ให้มนุษย์ได้ถือปฏิบัติ โดยผ่านทางอิบรอฮีม (อ.ล.)  ได้แก่ :

* แนวทางในการกล่าวบิสมิ้ลลาห์  ขณะเมื่อรับประทานอาหาร  และกล่าวอัลฮัมดุลาห์ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย

มีผู้กล่าวว่า  กลุ่มมะลาอิกะห์ ที่นำข่าวดีมาแจ้งแก่อิบรอฮีมนั้น อิบรอฮีมได้เชือดลูกวัวตัวหนึ่งที่อ้วนพีเพื่อทำเป็นอาหารเลี้ยงต้อนรับพวกเขา  พวกเขาได้กล่าวว่า  พวกเราจะไม่รับประทานอาหาร นอกจากเป็นอาหารที่มีสิ่งแลกเปลี่ยน

อิบรอฮีมได้กล่าวว่า  แท้จริงอาหารนี้ก็มีสิ่งแลกเปลี่ยน

พวกเขาถามว่า  สิ่งแลกเปลี่ยนของมันคืออะไร ?

อิบรอฮีม (อ.ล.)  ตอบว่า  พวกท่านจะต้องกล่าวนามอัลเลาะห์ขณะเมื่อเริ่มรับประทานและจะต้องกล่าวคำ
สดุดีอัลเลาะห์ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

มะลาอิกะห์มองกันแล้วกล่าวว่า  สมควรแล้วที่อัลเลาะห์จะเอาชายผู้นี้เป็น  คอลีล (คนสนิท)

* แนวทางในการคอตาน (ขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศชาย)
อัลเลาะห์ บัญชาให้อิบรอฮีมทำการคอตาน  ขณะนั้นเขามีอายุเก้าสิบเก้าปี อิสมาอีล อายุสิบสามปี  อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ทำการคอตาน และทาสของอิบรอฮีมทุกคนก็ได้ทำการคอตาน

* แนวทางการทำความสะอาด
อิบรอฮีมได้วางแนวทางในการทำความสะอาดแก่พวกเราไว้ห้าแนวทางในส่วนของศีรษะ และอีกห้าแนวทางในส่วนของร่างกาย

สำหรับห้าแนวทางในส่วนของศีรษะคือ  การขลิบหนวด  การบ้วนปาก  การสูดน้ำเข้าจมูกแล้วสั่งออก  การแปรงฟัน  และการไว้ผมแสกกลาง

สำหรับห้าแนวทางในส่วนของร่างกายได้แก่  การตัดเล็บ  การโกนขนใต้ร่มผ้า  การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย  การถอนขนรักแร้  และการชำระร่องรอยการปัสสาวะและอุจจาระด้วยน้ำ

* แนวทางอีกอย่างหนึ่งที่อิบรอฮีม (อ.ล.)  ได้ทำไว้ก็คือ  การอาบน้ำในวันศุกร์

* แนวทางต่างๆ ของนบีอิบรอฮีม (อ.ล.)  ในแผ่นดินที่เป็นเขตหวงห้าม  :
-  การเดินเวียนรอบกะอ์บะห์เจ็ดรอบ  โดยเริ่มต้นที่หินดำ
-  การเดิน (สะแอ)  ไปมาระหว่างภูเขาซอฟา  กับภูเขามัรวะห์เจ็ดเที่ยว เริ่มต้นที่ภูเขาซอฟา จบลงที่ ภูเขามัรวะห์
-  การขว้างก้อนหินที่เสาหินทั้งสามต้น  ในวันที่สิบ  สิบเอ็ด  สิบสอง  และสิบสามเดือนซุ้ลฮิจยะห์
-  การตอวาฟ  อิฟาเดาะห์  ในพิธีฮัจญ์



เพื่อให้หัวใจของฉันสงบนิ่ง

ความสงบนิ่งที่แท้จริง คือการศรัทธามั่นต่ออัลเลาะห์  ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรอย่างแท้จริง  จิตใจและสติปัญญายึดมั่นอยู่กับการให้เอกภาพต่ออัลเลาะห์ และศรัทธามั่นต่อพระองค์

นบีอิบรอฮีม (อ.ล.) มีศรัทธาที่มั่นคงต่ออัลเลาะห์  ตาอาลา  ภายหลังจากเขาได้เห็นสัญลักษณ์ต่างๆของอัลเลาะห์มาตั้งแต่เยาว์วัย  และอัลเลาะห์ได้สื่อให้นบีของพระองค์ทราบว่าพระองค์จะชุบชีวิตคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  ในวันกิยามะห์  เพื่อการตอบแทนความดีให้แก่คนดี  และตอบแทนความชั่วให้แก่คนที่ทำชั่ว  แต่อิบรอฮีมก็ต้องการให้หัวใจสงบนิ่งในเรื่องดังกล่าว  อิบรอฮีมจึงขอต่ออัลเลาะห์  ตาอาลาให้ได้เห็นคนตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง  อิบรอฮีมกล่าวว่า  ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันได้โปรดให้ฉันเห็นว่าท่านจะชุบชีวิตคนตายไปแล้วให้มีชีวิตอีกได้อย่างไร

อัลเลาะห์ได้กล่าวแก่อิบรอฮีมว่า  เจ้าไม่ศรัทธาหรือ อิบรอฮีม ?

เขาตอบอย่างรวดเร็ว  และด้วยสำเนียงของผู้มีศรัทธาว่า  หามิได้  ฉันมีความเชื่อมั่นศรัทธาอยู่แล้ว  แต่เพื่อให้หัวใจของฉันสงบนิ่ง

อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้กล่าวแก่เขาว่า  เจ้าจงนำนกมาสี่ตัว  จงเชือดมัน แล้วสับมันเป็นชิ้นเล็กๆ  และแบ่งมันออกเป็นหลายๆส่วน  หลังจากนั้นนำมันมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน แล้วจงเอาเนื้อและกระดูกของนกเหล่านี้ทั้งหมด  ไปวางไว้บนภูเขาหลายๆลูก  อิบรอฮีมได้ปฏิบัติตามที่อัลเลาะห์บัญชา  เขาแบ่งนกที่คลุกเคล้าปะปนกันแล้วออกเป็นหลายส่วน  และได้นำมันไปไว้บนภูเขาหลายลูก  ต่อมาอัลเลาะห์ได้ใช้เขาให้เรียกนกเหล่านั้น  อิบรอฮีมจึงได้เรียกโดยกล่าวขึ้นว่า  โอ้นกทั้งหลายจงมาที่นี่ตามคำบัญชาของอัลเลาะห์เถิด

อิบรอฮีมได้หันไปมองรอบๆตัวเอง  ทันใดนั้นชิ้นส่วนต่างๆ ของนก็บินเข้าไปรวมกัน และประกอบกันขึ้นเป็นอวัยวะในร่างใหม่  มีทั้งกระดูก  เนื้อและขน  และนกทุกตัวก็กลับคืนดีดังเดิม  และพวกมันได้บินมาหาเขาในสภาพที่มีชีวิตโดยอนุมัติของอัลเลาะห์  และหัวใจของอิบรอฮีม  ก็สงบนิ่งต่อเดชานุภาพของอัลเลาะห์  และเขาได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าอัลเลาะห์จะชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นได้อย่างไร

อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสว่า  :

และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวขึ้นว่า  ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันได้โปรดให้ฉันเห็นว่าท่านจะชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นได้อย่างไร  พระองค์ตรัสว่า  เจ้าไม่เชื่อมั่นศรัทธาหรือ  อิบรอฮีมกล่าวว่า  หามิได้  แต่เพื่อให้หัวใจของฉันสงบนิ่ง พระองค์ตรัสว่าเจ้าจงนำนกมาสี่ตัว จงเลี้ยงมันให้คุ้นเคยกับเจ้า  แล้วสับมันเป็นชิ้นเล็กๆ และแบ่งมันไปวางไว้บนภูเขาหลายๆลูก หลังจากนั้นเจ้าจงเรียกมัน มันก็จะมาหาเจ้าอย่างรีบด่วนและพึงรู้ไว้เถิดว่าแท้จริงอัลเลาะห์ทรงอำนาจ ทรงปรีชาญาณ  (อัลบะกอเราะห์  :  260)



การสร้างบัยตุ้ลเลาะห์ (กะอ์บะห์)

อัลเลาะห์  ตาอาลา ได้มีบัญชาให้อิบรอฮีม (อ.ล.) ยกฐานของบัยตุ้ลเลาะห์ ขึ้นใหม่ที่นครมักกะห์  ซึ่งถือเป็นอาคารแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อมวลมนุษยชาติแผ่นดินเพื่อเป็นสถานที่สักการะอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร  ซึ่งร่องรอยของกะอ์บะห์สูญหายไปภายหลังน้ำท่วมในยุคของนัวฮ์ (อ.ล.)

อิสมาอีล (อ.ล.) ใช้ชีวิตอยู่ในนครมักกะห์ ใกล้ๆกับกะอ์บะห์  หลังจากเขาได้รับคำบัญชาจากอัลเลาะห์  ตาอาลา  อิบรอฮีมได้เดินทางมายังนครมักกะห์ทันที ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขามักเดินทางมาเยี่ยมบุตรชายของเขาอยู่เสมอ  เมื่อเขามาถึงมักกะห์ได้พบกับบุตรชายกำลังนั่งเหลาลูกธนูอยู่  ทั้งสองได้พบกันด้วยความคิดถึงของบิดาที่มีต่อบุตรและบุตรที่มีต่อผู้เป็นบิดาของตน  อิบรอฮีมได้แจ้งบุตรชายทราบว่าอัลเลาะห์ได้บัญชาให้เขาทั้งสองก่อตั้งฐานของบัยตุ้ลเลาะห์  และสร้างกะอ์บะห์ขึ้นมา  

อิสมาอีล มีความยินดีที่จะตอบสนองคำบัญชานี้  และอิบรอฮีมจะทำหน้าที่วางก้อนหินลงในตำแหน่งของมัน  เมื่ออาคารกะอ์บะห์สูงขึ้น อิบรอฮีมได้วางหินก้อนหนึ่งลงกับพื้นเพื่อเขาจะได้ขึ้นไปยืนเพื่อวางก้อนหินในส่วนที่สูงขึ้นไปของกะอ์บะห์  ปัจจุบันหินก้อนนั้นตั้งอยู่ด้านหน้ากะอ์บะห์เรียกว่า  มะกอมอิบรอฮีม  ซี่งหมายถึงที่ยืนของนบีอิบรอฮีม ขณะที่เขาก่อสร้างกะอ์บะห์  และมีรอยเท้าทั้งสองข้างปรากฏอยู่ในก้อนหินอย่างชัดเจน  อิบรอฮีมและอิสมาอีลได้ร่วมกันสร้างกะอ์บะห์จนเสร็จสมบูรณ์  เพื่อเป็นอาคารแรกที่ก่อตั้งเพื่อมนุษยชาติในหน้าแผ่นดิน

หลังจากนั้นอิบรอฮีม ได้วอนขอจากอัลเลาะห์  ให้เขาได้เห็นวิธีการเตาวาฟ  วิธีการทำฮัจญ์  อัลเลาะห์จึงได้ส่งญิบรีล (อ.ล.)  มาเพื่อสอนอิบรอฮีมให้รู้จักวิธีการทำฮัจญ์  หลังจากนั้นอัลเลาะห์ได้ใช้ให้นบีอิบรอฮีมประกาศเรียกร้องมนุษยชาติมาประกอบพิธีฮัจญ์ที่บัยตุ้ลเลาะห์  อิบรอฮีม (อ.ล.)  ตกใจว่าเขาจะประกาศอย่างไรให้มนุษย์ทั้งหมดได้ยิน จากเบื้องหลังภูเขาสูงในนครมักกะห์ เพื่อให้มนุษย์เหล่านั้นมาทำพิธีฮัจญ์  และใครจะได้ยินคำประกาศของเขาบ้าง  และใครจะตอบรับคำประกาศของเขา  อัลเลาะห์ได้ทำให้อิบรอฮีม มั่นใจโดยผ่านทางวะฮีย์ว่า  โอ้ อิบรอฮีมเจ้ามีหน้าที่ประกาส  ส่วนเราจะทำหน้าที่ให้คำประกาศนั้นไปถึงผู้คน

อิบรอฮีมได้ขึ้นไปยืนบนภูเขาลูกหนึ่งของนครมักกะห์  และได้ประกาศว่า  ประชาชนทั้งหลาย  อัลเลาะห์ได้กำหนดพิธีฮัจญ์เหนือพวกท่าน  ดังนั้นพวกท่านจงไปทำพิธีฮัจญ์เถิด


อัลเลาะห์ให้คำประกาศนั้นไปถึงมนุษย์ทั้งมวล  ในทุกยุคและทุกแห่งหนแม้กระทั้งผู้ที่อยู่ในไขสันหลังของบิดาและที่อยู่ในมดลูกของมารดาก็ได้ยินคำประกาศนี้

เกี่ยวกับการสร้างกะอ์บะห์  มีเรื่องเล่าว่าภายหลังจากอิบรอฮีมได้สร้างกะอ์บะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว  เขาพบว่ากะอ์บะห์ยังมีช่องโหว่อยู่  และเขาขอให้อิสมาอีลไปหาก้อนหินมา อิสมาอีลไปนำหินมาให้  แต่เขาไม่พอใจ  อิสมาอีลจึงออกไปหาก้อนหินอีก  และนำมันมาให้บิดาของเขา  อิสมาอีลพบว่าอิบรออีมผู้เป็นบิดาของเขาได้วางก้อนหินสีดำลงไปในช่องโหว่นั้นแล้ว  อิสมาอีลถามว่า โอ้บิดาของฉัน  ใครนำก้อนหินนี้มามอบให้ท่าน ?  อิบรอฮีมกล่าวว่า  ญิบรีลได้นำมันมามอบให้ฉันจากฟากฟ้า

อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้กล่าวถึงเรื่องนี้  และเรื่องการที่อิบรอฮีมได้ประกาศเชิญชวนให้มนุษย์มาทำพิธีฮัจญ์ไว้ว่า  :

และจงรำลึกเมื่ออิบรอฮีมได้กล่าวว่า  ข้าแด่องค์อภิบาลของฉัน  ได้โปรดให้เมืองนี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย  ได้โปรดให้ตัวฉัน  และลูกหลานของฉันห่างไกลจากการที่พวกเราจะเคารพบูชารูปปั้น  ข้าแด่องค์อภิบาลของเราแท้จริงรูปปั้นเหล่านั้นได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงผิด  ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามฉัน  เขาก็เป็นพวกของฉัน  และผู้ใดฝ่าฝืนฉัน แท้จริงพระองค์ท่านทรงอภัยยิ่ง  ทรงเมตตายิ่ง  ข้าแด่องค์อภิบาลของเราแท้จริงฉันได้ให้ลูกหลานของฉันพำนักอยู่  ที่หุบเขาแห่งนี้  ซึ่งไม่มีพืชผลใดๆ  ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านของท่านที่เป็นเขตหวงห้าม  ข้าแด่องค์อภิบาลของเราเพื่อพวกเขาจะดำรงละหมาด  ดังนั้นขอพระองค์ท่านได้โปรดให้หัวใจของมนุษย์โหยหาไปยังพวกเขา  และได้โปรดประทานปัจจัยให้แก่พวกเขาจากพืชผล  เพื่อว่าพวกเขาจะขอบคุณ  (อิบรอฮีม : 35-37)

และอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสว่า  :

และเจ้าจงประกาศในหมู่มนุษย์ ให้มาทำพิธีฮัจญ์  พวกเขาจะมายังท่านทั้งพวกที่เดินเท้า  และที่ขับขี่อูฐที่ฝึกปรือไว้เป็นอย่างดีทุกตัว  ที่มันจะมาจากทุกสารทิศที่ห่างไกล  เพื่อพวกเขาจะได้ประจักษ์สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา  และเพื่อพวกเขาจะได้กล่าวนามของอัลเลาะห์ในวันที่รู้กันอยู่แล้ว  ตามที่พระองค์ทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาจากปศุสัตว์  ดังนั้นพวกท่านจงกินเนื้อของมัน  และให้เป็นอาหารแก่พวกที่ยากจนขัดสน  แล้วให้พวกเขาชำระให้สะอาดด้วยการโกนหรือตัด  และให้พวกเขาทำให้ครบถ้วนตามคำบนบานของพวกเขา  และให้พวกเขาจงตอวาฟรอบบ้านอันเก่าแก่ (บัยตุ้ลเลาะห์)  เช่นนั้นแหละ  ผู้ใดให้เกียรติแก่สิ่งหวงห้ามของอัลเลาะห์  มันเป็นความดีของพวกท่านเอง  ณ  ที่องค์อภิบาลของเขา  และปศุสัตว์ทั้งหลายนั้นเป็นที่อนุมัติแก่พวกท่าน เว้นแต่บางสิ่งที่ถูกแจ้งให้พวกท่านได้ทราบ  ดังนั้นพวกท่านจงปลีกให้พ้นจากความโสมม  และรูปเคารพทั้งหลาย และจงปลีกให้พ้นจากการกล่าวเท็จ  โดยเป็นผู้ยึดมั่นสัจธรรม เพื่ออัลเลาะห์ ไม่เป็นผู้ตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์  และผู้ใดตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์ เขาจะมีสภาพเหมือนร่วมลงมาจากฟากฟ้า  แล้วนกได้เฉี่ยวเอาเขาไป  หรือสายลมได้พัดพาเขาไปยังดินแดนที่ไกลโพ้น  ดังเช่นนั้นผู้ใดที่เชิดชูสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์  แท้จริงมันเป็นส่วนหนึ่งของความยำเกรงที่อยู่ในหัวใจ  ในปศุสัตว์นั้นมีคุณประโยชน์มากมายแก่พวกท่าน  จนถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้  และสถานที่เชือดของมันคือบริเวณบ้านอันเก่าแก่ (บัยตุ้ลเลาะห์)  (อัลฮัจญ์  :  27-33)


สาส์น (ศุฮุฟ)  ที่อิบรอฮีมได้รับจากอัลเลาะห์

อัลเลาะห์ได้ประทานสาส์นให้แก่นบีอิบรอฮีม (อ.ล.)  จำนวนสิบฉบับ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นปรัชญาและอุทาหรณ์ เช่น  :
·                   โอ้กษัตริย์ที่ใช้อำนาจกดขี่  ที่ถูกทดสอบในเรื่องการปกครอง ที่ถูกหลอกลวงจนลืมหน้าที่ที่มีต่ออัลเลาะห์  แท้จริงเราไม่ได้แต่งตั้งเจ้าเพื่อสะสมในโลกนี้  แท้ที่จริงเราแต่งตั้งเจ้าเพื่อปัดป้องให้พ้นไปจากเรา คำขอของคนที่ทุจริต  เพราะแท้จริงเราจะไม่ปฏิเสธคำขอของผู้ถูกทุจริต  แม้จะเป็นคำขอผู้ที่ไร้ศรัทธาก็ตาม
·                   คนที่มีสติปัญญา ตราบที่ยังครอบสติไว้ได้ เขาจะต้องแบ่งเวลาดังนี้ :
·                   ช่วงหนึ่งไว้เข้าเฝ้าพระเจ้าของเขา
·                   ช่วงหนึ่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่อัลเลาะห์สร้าง
·                   ช่วงหนึ่งไว้ตรวจสอบตัวเอง
·                   ช่วงหนึ่งไว้แสวงหาความต้องการของเขาที่ฮาลาลจากอาหารเครื่องดื่ม
·                   คนที่มีสติปัญญาจะไม่เดินทางเว้นแต่เดินทางเพื่อหาสามสิ่งนี้  :
·                   เตรียมเสบียงเพื่อโลกหน้า  เพื่อประกอบอาชีพ  เพื่อหาความสุขในสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม  ผู้ใดตรวจสอบคำพูดของตนจากการกระทำของเขา  เขาจะต้องพูดน้อยลงยกเว้นในสิ่งที่จะเกิดประโยชน์แก่เขาเท่านั้น
·                    
อัลเลาะห์ทรงสัจจะที่พระองค์ตรัสว่า  :

แท้จริงผู้ขัดเกลาตนเอง  ย่อมบรรลุความสำเร็จ  และเขารำลึกถึงพระนามขององค์อภิบาลของเขาและทำละหมาด  หามิได้แต่พวกเขาเลือกเอาการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่างหาก  ทั้งๆที่โลกหน้าอาคิเราะห์ดีกว่าและจีรังกว่า  แท้จริงข้อเตือนสตินี้มีอยู่ในสาส์นก่อนๆมาแล้ว  คือสาส์นของอิบรอฮีมและมูซา  (อัลอะอ์ลา  :  14-19)

การเสียชีวิตของอิบรอฮีม (อ.ล.)

นบีอิบรอฮีม (อ.ล.)  เสียชีวิตขณะที่ท่านมีอายุได้หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าปี                                อิสมาอีล และอิสหาก ได้ฝังศพบิดาของเขาไว้ในถ้ำภายในทุ่งของ  อัฟรูน  บุตรซอรซอร  อัลฮัซซีย์  เป็นถ้ำเดียวกับที่ฝังศพของซาเราะห์  ภรรยาของเขา  ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีรอยเท้าของอิบรอฮีมปรากฏอยู่ในเมือง  ฮับรูน  ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าเมือง  คอลีล  ที่ปาเลสไตน์  ชื่อเดิมของเมืองนี้คือ  ตำบล อัรบะอ์

ถูกแล้ว...อิบรอฮีม (อ.ล.)  ได้ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาของอัลเลาะห์จนครบถ้วนสมบูรณ์  และสมควรที่จะได้รับฉายานามว่า      คอลีลุ้ลเลาะห์      คนสนิทของอัลเลาะห์  และ   อะบุ้ลอัมบิยาอ์   บิดาของบรรดา
นบีทั้งหลาย  
           
อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ตรัสว่า  :

และจงรำลึกถึงขณะที่เราให้อาคารหลังนั้นเป็นสถานที่กลับมาสำหรับมนุษย์และเป็นที่ที่ปลอดภัย  และพวกท่านจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาดเถิด  และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีลว่า  เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดอาคารของเรา เพื่อบรรดาผู้ตอวาฟ  และพวกที่เอียะอ์ติกาฟ  และพวกที่ก้มรุกัวะอ์และสูหยูด  และจงรำลึกถึง ขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าววิงวอนว่า  ข้าแด่องค์อภิบาล ได้โปรดให้เมืองนี้เป็นเมืองที่ปลอดภัย  และโปรดประทานผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้นที่ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์  และวันสุดท้าย  พระองค์ตรัสว่าและผู้ใดปฏิเสธการศรัทธา  เราจะให้เขาได้รับความสุขชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ภายหลังเราจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การลงโทษในขุมนรก  และเป็นจุดหมายปลายทางที่ชั่วช้ายิ่ง  และจงรำลึกขณะที่อิบรอฮีมและอิสมาอีลได้ก่อฐานของอาคารหลังนั้นขึ้น  คนทั้งสองได้กล่าวคำวิงวอนว่า  ข้าแด่องค์อภิบาลของเราได้โปรดรับการกระทำของเรานี้ด้วยเถิด  แท้จริงท่านเป็นผู้ทรงได้ยิน  ทรงรอบรู้  ข้าแด่องค์อภิบาลของเราขอได้โปรดให้เราทั้งสองเป็นผู้ยอมจำนนต่อท่าน  และได้โปรดให้มีขึ้นจากลูกหลานของเราซึ่งประชาชาติที่ยอมจำนนกับท่าน  และได้โปรดให้พวกเราได้เห็นการทำฮัจญ์ของพวกเรา  และได้โปรดรับการสารภาพผิดของพวกเรา  แท้จริงท่านทรงรับการสารภาพผิดยิ่ง  ทรงเมตตายิ่ง  ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา  ได้โปรดส่งศาสนทูตคนหนึ่งจากพวกเขาไปยังพวกเขา  ซึ่งเขาจะอ่านโองการต่างๆของท่านให้พวกเขาฟัง  จะสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา  และจะขัดเกลาพวกเขาให้สะอาด  แน่แท้ท่านทรงเดชานุภาพ  ทรงปรีชาญาณ  (อัลบะกอเราะห์  :  125-129)

และพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้กล่าวว่า  :

แท้จริงอาคารหลังแรกที่ถูกต่อตั้งเพื่อมวลมนุษย์คืออาคารที่ตั้งอยู่ที่ บักกะห์ (มักกะห์)  เป็นที่ที่มีความจำเริญ  และเป็นที่แนะนำแก่ประชาชาติทั้งหลาย  ในอาคารนั้นมีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง  ส่วนหนึ่งคือ  มะกอมอิบรอฮีม  และผู้ใดเข้าไปในอาคารนั้น เขาเป็นผู้ที่ปลอดภัย  และเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ที่จะบังคับมนุษย์ให้ไปประกอบพิธีฮัจญ์  ณ  อาคารหลังนั้น  เฉพาะผู้ที่มีความสามารถจะเดินทางไปได้  และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธาแท้จริงอัลเลาะห์เพียงพอที่จะไม่ต้องพึ่งพาประชาชาติทั้งหลาย  (อาลิอิมรอน  :  96-97)

ท่านผู้อ่านทั้งหลายนบีอิบรอฮีมนั้นเป็นประชาชาติหนึ่งเดียว  ถูกแล้วศรัทธาของเขาเท่ากับศรัทธาของประชาชาติหนึ่งทีเดียว  เพราะเขาศรัทธาจากแก่นของหัวใจและจากสำนึกที่ฝังลึก  เขาศรัทธาต่ออัลเลาะห์ด้วยใจที่ใสซื่อ  เขาสักการะอัลเลาะห์ด้วยใจจริง  อัลเลาะห์ได้ให้โลกนี้กว้างขวางสำหรับเขา  และได้แต่งตั้งเขาให้เป็นคนสนิทของพระองค์  ได้ประทานปัจจัยให้แก่เขาอย่างมากมายอุดมสมบูรณ์  ได้ยกย่องเขาให้ได้รับเกียรติด้วยการรับใช้บัยตุ้ลเลาะห์  และก่อฐานรากของกะอ์บะห์  และได้ให้เขามีบุตรในวัยชรา

ถูกแล้วชีวประวัติของอิบรอฮีมยืดยาว  ซึ่งเราจะได้ศึกษาส่วนหนึ่งในชีวประวัติของนบีอิสมาอีล  นบีอิสหาก  และนบีลูต  ที่จะนำมาเสนอติดต่อกันไป

ชีวประวัติของอิบรอฮีม (อ.ล.)  มุ่งเน้นเรื่องประกาศเชิญชวนด้วยการผสมผสานความรู้  ความศรัทธา  และการปฏิบัติเข้าด้วยกัน  เพื่อให้เป็นพลัง  และเป็นแบบอย่างที่งดงามของการทำงานที่ประสบผลสำเร็จ

และชีวประวัตินี้ยังยืนยันว่าการมอบหมายต่ออัลเลาะห์  และไม่เกรงกลัวผู้ใดจะนำไปสู่การคุ้มครองและป้องกันของอัลเลาะห์ให้แก่ผู้นั้น  จะไม่มีสิ่งใดทำร้ายเขาได้นอกจากจะเป็นคำสั่งของอัลเลาะห์  ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร  อาทิเช่นไฟที่ไม่อาจเผาไหม้อิบรอฮีมได้  ขณะที่อัลเลาะห์กล่าวแก่ไฟว่า  :  “โอ้ไฟ  เจ้าจงกลายเป็นไฟเย็น  และปลอดภัยแก่อิบรอฮีม

ชีวประวัตินี้ยืนยันว่าจะต้องพูดแต่ความจริง  แม้จะพูดต่อหน้ากษัตริย์หรือผู้นำก็ตาม เพราะความจริงจะนำไปสู่ความสำเร็จ

คำสอนที่สำคัญในชีวประวัตินี้  คือยืนยันว่าการศรัทธาต่ออัลเลาะห์แต่เพียงผู้เดียว  โดยไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับพระองค์นั้นต้องอยู่เหนือกว่าความสัมพันธ์ทางเครือญาติ  และความเวทนาสงสารใดๆ  เช่นความเป็นพ่อและอื่นๆ  แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือการเชื่อฟังคำพูดของผู้เป็นบิดา  ถ้าหากเป็นผู้ที่มีศรัทธา  เป็นผู้ที่มีคุณธรรมและจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขา

และชีวประวัติของอิบรอฮีม (อ.ล.)  นี้ยืนยันว่ามนุษย์จะต้องมีความขันติ  มีใจกว้าง  มีความสุขุมรอบคอบ  เพื่อให้การทำหน้าที่ของเขาบังเกิดผลตามที่เขาต้องการ  ชีวประวัติของนบีทั้งหลายจะให้อุทาหรณ์เช่นนี้แก่เรามากมาย  ซึ่งสมควรที่นักเผยแพร่ศาสนาจะนำไปปฏิบัติตาม














You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

featured Slider

Popular Posts

Like us on Facebook

ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา

Flickr Images



บทเรียนสั้นๆเหล่านี้กล่าวถึงเรื่อง “อุลูมุ้ลกุรอาน” ที่เราต้องการนำเสนอแก่กุลบุตรกุลธิดาของเรา ก่อนที่พวกเขาจะศึกษาวิชา “ตัฟซีร” เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ข้อมูลที่นักวิชาการทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ได้นำเสนอไว้ เพื่อรับใช้อัลกุรอาน