ท่านอะลี
01:56:00
ท่านอะลี (Ali).
ท่านอะลี (ฮศ.36-41
/ คศ.656-661)
ชีวิตเบื้องต้น
ท่านอะลี
เป็นเคาะลีฟะฮ์ระหว่างปี ฮ.ศ. 35-40 หรือ ค.ศ.
656-661 ท่านอะลี มีชื่อเต็มว่า อะลี บุตร อบู ฏอลิบ บุตร อับดุลมุฏฏอลิบ
บุตร ฮาชิม มารดาของท่านชื่อฟาตีมะฮ์ บุตรี อะซัด ท่านเป็นคนในตระกูลบนูฮาชิม ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับท่านนบีและมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่านนบี
(ศ็อล) ท่านอะลีเกิดภายในกะอ์บะฮ์ เมืองมักกะฮ์
ท่านเกิดปี ค . ศ . 600 ท่านมีอายุน้อยกว่าท่านศาสดา
30 ปี อะลี บุตร อบูตอลิบ มีชื่อเล่นว่า " อบู หะซัน " ท่านศาสดามุฮัมมัดเรียกชื่อท่านว่า
" อบู ตุรอบ "
ท่านเป็นคนหนึ่งที่ได้รับข่าวดีเกี่ยวกับสวรรค์
ท่านอะลีได้รับการเลี้ยงดูจากท่านศาสดาตั้งแต่เด็กท่านศาสดารักอะลีเสมือนบุตรของท่านเอง
นอกจากนี้ท่านศาสดายังได้ยกท่านหญิงฟาฏีมะฮ์ บุตรสาวให้แต่งงานกับท่านอะลีอีกด้วย ท่านอะลีไม่เคยเคารพบูชารูปปั้นเลยสักครั้ง
อะลี เป็นเด็กคนแรกที่เข้ารับอิสลาม ขณะอายุ 10 ขวบ ท่านกล่าวว่า
" ท่านรอซูล (ศ็อล) . ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนบีในวันจันทร์ ฉันได้เข้ารับนับถือศาสนาอิสลามในวันอังคาร
"
งานรับใช้อิสลามของท่านก่อนจะรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์
1.ท่านอะลีเป็นผู้มีความใกล้ชิดต่อท่านศาสดา
ทุกครั้งที่อายะฮ์กุรอานถูกประทานลงมา ท่านจะท่องจำทั้งหมด ท่านกล่าวว่า
" ขอสาบานด้วยอัลลอฮ์ ไม่มีอายะฮ์หนึ่งถูกประทานมา เว้นแต่ว่าฉันจะรู้ว่า
ด้วยสิ่งใดที่ถูกประทานมา ถูกประทานมาที่ไหน ถูกประทานมาเกี่ยวกับผู้ใด แท้จริงพระเจ้าของฉันได้ทรงประทานให้ฉันมีหัวใจที่จดจำแม่นยำ
และลิ้นที่พูดได้ฉะฉาน " ด้วยเหตุนี้อะลีจึงเปรียบเสมือนประตูแห่งวิชาการ
ท่านอะลีมีความสามารถในการตัดสินคดีความ จนกระทั่งท่านศาสดาได้กล่าวยอมรับว่า
" ผู้ตัดสินคดีที่ดีที่สุด คือ ท่านอะลี ”
2. การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่ท่านศาสดาอพยพจากมักกะฮ์สู่นครมะดีนะฮ์ ในช่วงที่ชาวมักกะฮ์ล้อมบ้านของท่านศาสดาอยู่นั้น
ท่านอะลีได้เสียสละนอนแทนที่ของท่านศาสดา เพื่อให้ศาสดาอพยพไปมะดีนะฮ์อย่างปลอดภัย
3. ท่านอะลีเป็นผู้แทนของท่านศาสดา เล่าจากสะอัด บุตร อบีวักกอส ได้กล่าวว่า
: ท่านรอซูล ซ . ล . ได้แต่งตั้งอะลี
บุตร อบูตอลิบ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนในสงครามตะอ์บูก ( สงครามกับโรมันที่ซีเรียในปี
ฮิจญเราะฮ์ศักราชที่ 9 )
ท่านอะลีได้กล่าวว่า " โอ้ท่านรอซูลของอัลลอฮ์ ท่านทิ้งข้าพเจ้าไว้กับผู้หญิงและเด็กๆหรือ
? ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านไม่พอใจหรือ การที่ท่านกับข้าพเจ้าก็เหมือนฮารูนกับมูซา
เว้นแต่จะไม่มีนบีอีกหลังจากข้าพเจ้า " รายงานโดย บุคอรี
มุสลิม และติรมิซีย์
4. ท่านอะลีเป็นนักรบ ท่านอะลีเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ ท่านร่วมรบกับท่านศาสดาทุกครั้ง
ยกเว้นสงครามตะอ์บูกที่ต้องเป็นผู้สำเร็จราชการแทนท่านศาสดา ในสงครามบะดัร ท่านเป็นผู้ถือธงรบของกองทหารมุสลิม
ท่านทำการต่อสู้ตัวต่อตัวกับวะลีด บุตร อุกบะฮ์ ในสงครามอุฮุด ท่านรับคำท้าของ อบู
สะอัด และสามารถมีชัยต่อเขาได้ ในสงครามคูเมือง ( คอนดัก
) อับดุวูด ท้าทายต่อกองทหารมุสลิม ซึ่งในตอนแรกไม่มีใครกล้ารับคำท้าของเขา
เนื่องจากอับดุวูด มีร่างกายใหญ่โต แข็งแรง มีเพียงอะลีเท่านั้นที่รับคำท้า เขาทั้งสองต่อสู้กัน
แม้ว่าในตอนแรกท่านอะลีถูกฟัน แต่ในที่สุดอะลีก็สามารถมีชัยต่ออับดุวูดได้ จากวีรกรรมครั้งนี้
ท่านอะลีจึงได้รับสมญานามว่า " อะซะดุลเลาะฮ์
" " สิงโตแห่งพระเจ้า "
5. ท่านอะลีเป็นนักปราชญ์ ท่านอะลีไม่ใช่เป็นเพียงนักรบอย่างเดียวเท่านั้น แต่ท่านก็ยังเป็นนักปราชญ์อีกด้วย
ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวเกี่ยวกับอะลีว่า " ฉันคือคลังแห่งวิชาความรู้
และอะลีเป็นประตูสู่วิชาความรู้ " ท่านศาสดาเคยแต่งตั้งให้อะลีเป็นผู้พิพากษาที่เยเมน
ท่านอะลีเป็นคนกล้าหาญ
เนื่องจากความกล้าหาญและวีรกรรมของท่านอะลีในการเข้าร่วมรบในสงครามศาสนา ท่านอาลีจึงได้รับสมญานามว่า " อะซะดุลเลาะฮ์ " ( The Lion of Allah ) ( สิงโตแห่งพระเจ้า
)
เมื่อท่านอุษมานเสียชีวิต
ทุกสิ่งทุกอย่างก็สับสนวุ่นวายไปหมด เกิดการจลาจลขึ้นในมะดีนะฮ์ ในบรรดากบฏทั้งสามกลุ่มนั้น
พวกอียิปต์เป็นพวกที่มีอำนาจมากที่สุด หลังจากท่านอุษมานสิ้นชีวิตได้ห้าวัน หัวหน้ากบฏกลุ่มอียิปต์คือ
อิบนุ สะบา ก็สนับสนุนท่านอะลีโดยถือว่าท่านศาสดาเคยยกตำแหน่งนี้ให้ท่าน ท่านจึงเป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ถูกต้องที่สุด
ในวันที่
23 มิถุนายน คศ.656 ท่านอะลีได้รับคำปฏิญานตนจากกลุ่มพวกกบฏ
และต่อมาประชาชนก็ยอมรับ เมื่อท่านอะลีเข้ารับตำแหน่งเป็นเคาะลีฟะฮ์ บทบาทใหม่ในอิสลามก็เริ่มขึ้น
หลังจากเลือกตั้งท่านอะลีแล้วพวกกบฏก็คืนกลับถิ่นของตน ในขณะเดียวกันเรื่องการฆาตกรรมท่านอุษมานก็กระพือไปไกล
เสียงร้องให้แก้แค้นให้ท่านอุษมานก็ดังไปทั่วอารเบีย ฏ็อลฮะฮ์และสุบัยร์ได้ร้องทุกข์ต่อท่านอะลีให้ลงโทษผู้ที่ฆ่าท่านอุษมาน
แต่ท่านอะลีทราบดีว่าสภาพทางการเมืองในอารเบียโดยเฉพาะในบัศเราะฮ์ คูฟะฮ์และฟุสฏอฏเป็นอย่างไร
จึงปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำร้องนั้น และบอกคนเหล่านั้นว่าท่านจะจัดการตามขั้นตอนที่จำเป็นหลังจากทำให้อาณาจักรสงบลงได้แล้ว
เพราะการขัดแย้งกับพวกกบฏในเวลานั้นก็เท่ากับจะทำให้อาณาจักรปั่นป่วนไปหมดนั่นเอง การฆาตกรรมท่านอุษมานนั้นไม่ใช่งานของคนเพียงคนสองสามคนจะได้ปราบปรามหรือลงโทษได้ง่าย
แต่มีผู้หนุนหลังอยู่มากมายในทั้งสามกลุ่มของพวกกบฏ ดังนั้นท่านจึงเห็นว่าไม่สมควรจะทำอะไรในช่วงเวลานี้
ในระยะนั้นท่านได้เปลี่ยนตัวผู้ครองแคว้นและเจ้าเมืองทุกคน
โดยหวังว่าพวกกบฏจะพอใจในพวกผู้ครองเมืองใหม่จะได้เลิกแข็งข้อต่อไปในระยะยาว สหายของท่านหลายคนได้เตือนไม่ให้ทำเช่นนั้น
โดยเฉพาะมุอาวิยะฮ์นั้น บรรดาสหายของท่านก็เตือนว่าอย่าไปยุ่งเพราะการแต่งตั้งมุอาวิยะฮ์นั้น
ไม่ใช่ทำโดยท่านอุษมานแต่แต่งตั้งโดยท่านอุมัร ทั้งๆที่สหายของท่านได้เตือนไว้แล้วแต่ท่านอะลีก็ยังอยากจะถอดมุอาวิยะฮ์ออกจากการเป็นผู้ครองซีเรีย
เพราะในเมื่อคิดจะถอดถอนเจ้าเมืองผู้ครองแคว้นต่างๆแล้วกรณีของมุอาวิยะฮ์ก็ไม่ควรยกเว้น
ผู้ครองคูฟะฮ์และซีเรียได้รับคำขอร้องให้ออกจากตำแหน่ง ผู้ครองคูฟะฮ์ยอมสละตำแหน่งแต่โดยดี
แต่มุอาวิยะฮ์ผู้ครองซีเรียไม่ยอมทำตาม ดังนั้นจึงเกิดการพิพาทและแตกแยกกันในระหว่างท่านอะลีและมุอาวิยะฮ์
ในที่สุดก็ได้มีการเตรียมทำสงครามกันในระหว่างสองฝ่ายนี้
สงครามอูฐ
ฏ็อลฮะฮ์และซุบัยร์ที่เคยร้องขอให้อะลีลงโทษผู้ที่ฆ่าท่านอุษมาน
แต่เมื่อท่านปฏิเสธไม่ยอมทำตาม คนทั้งสองจึงได้ไปยังเมืองบัศเราะฮ์เพื่อรวบรวมพล และได้พบกับพระนางอาอิชะฮ์
ภริยาคนสุดท้ายของท่านศาสดาซึ่งเพิ่งกลับจากทำฮัจญ์ และได้เล่าเรื่องต่างๆในมะดีนะฮ์ให้นางฟัง
นางจึงเข้าสมทบกับฏ็อลฮะฮ์และซุบัยร์เพื่อต่อต้านท่านอะลีด้วย จุดประสงค์ของคนทั้งสามก็เพื่อจะลงโทษผู้ที่ฆ่าท่านอุษมาน
เมื่อการตระเตรียมทัพเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็เดินทัพจากมักกะฮ์มายังบัศเราะฮ์ เมื่อข่าวมาถึงท่านอะลี
ท่านก็ได้มีจดหมายแจ้งให้ผู้ครองบัศเราะฮ์คืออิบนุหะนีฟทราบ แต่พวกกบฏได้เข้ายึดเมืองและจับตัวอิบนุหะนีฟไว้ได้
และยึดอำนาจการปกครองรัฐไว้ในมือ
ท่านอะลีเข้าใจสถานการณ์ได้ดี
ท่านต้องการจะหลีกเลี่ยงการสงครามท่านจึงขอเจรจาโดยสันติกับฏ็อลฮะฮ์และซุบัยร์ แต่ฝ่ายที่เลือกท่านอะลีเป็นเคาะลีฟะฮ์ไม่ยอมให้ท่านเจรจาและพวกเขาได้เข้าโจมตีกองทัพของพระนางอาอีชะฮ์ในขณะที่ทุกคนกำลังหลับในตอนเช้า
แต่มีผู้แจ้งให้นางทราบนางจึงขี่อูฐออกไป สงครามนี้จึงได้ชื่อว่าสงครามอูฐ ฏ็อลฮะฮ์และซุบัยร์ออกจากสนามรบไปตามที่ตกลงกันไว้แต่ถูกพวกนั้นจับฆ่าระหว่างทาง
คราวนี้พระนางอาอีชะฮ์จึงตกเป็นเป้าหมายที่พวกข้าศึกจะเข้าโจมตี แล้วการต่อสู้ที่ดุเดือดก็เกิดขึ้น
พระนางอาอิชะฮ์สู้อย่างกล้าหาญแต่ท่านอะลีเป็นฝ่ายชนะ สงครามอูฐนี้เป็นการสิ้นสุดแห่งสงครามกลางเมืองครั้งหนึ่ง
ท่านอะลีปฏิบัติต่อท่านหญิงอาอิชะฮ์อย่างให้เกียรติ และส่งกลับไปยังมะดีนะฮ์โดยให้มุฮัมมัดบินอบูบักร์น้องชายของท่านหญิงเองเป็นผู้พาไป
การสู้รบที่ซิฟฟิน
ในปีฮศ. 36 หรือคศ.656 ท่านอะลีได้ย้ายเมืองหลวงจากมะดีนะฮ์ไปอยู่ที่คูฟะฮเพื่อความสะดวก
เมื่อถึงคูฟะฮ์แล้วท่านได้เขียนสาส์นไปเกลี้ยกล่อมให้มุอาวิยะฮ์ยอมแพ้เพื่อประโยชน์แห่งอิสลาม
แต่มุอาวิยะฮ์ไม่ยอม และยังปลุกเร้าประชาชนโดยเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของท่านอุษมานและนิ้วมือของนางนาอิละฮ์ภรรยาของท่านที่ถูกตัดมาโฆษณาให้ผู้คนดู
ชาวซีเรียซึ่งจงรักภักดีต่อมุอาวิยะฮ์ต่างก็ร้องไห้สลดใจในเรื่องที่เกิดขึ้นและเข้าข้างเป็นฝ่ายมุอาวิยะฮ์
พวกเขาตั้งใจจะแก้แค้นแทนท่านเคาะลีฟะฮ์อุษมาน ในระยะนี้เองที่มุอาวิยะฮ์อาจจะคิดตั้งตัวเป็นเคาะลีฟะฮ์เสียเอง
ในเมื่อมีชาวซีเรียที่มีพลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ถ้าท่านอะลีมีไหวพริบดีท่านก็อาจะใช้ให้ชาวซีเรียผู้เกรี้ยวกราดเหล่านั้นช่วยแก้แค้นผู้ที่ฆ่าท่านอุษมานและช่วยบดขยี้เผ่าต่างๆที่แข็งข้อขึ้นได้
ท่านน่าจะตัดไฟอำนาจของมุอาวิยะฮ์เสียแต้ต้นลมและป้องกันมิให้พวกอุมัยยะฮ์มีอำนาจได้
แต่ท่านกลับเดินนโยบายไปอีกทาง ชาวซีเรียรู้ถึงความอ่อนแอของท่านเคาะลีฟะฮ์จึงประกาศแก้แค้นแทนท่านอุษมาน
เพื่อที่จะได้เห็นความโกรธแค้นที่เพิ่มขึ้นของชาวซีเรีย มุอาวิยะฮ์จึงกักตัวทูตของอะลีไว้สองสามวันแล้วจึงปล่อยตัวไปพร้อมกับคำตอบว่า
เขาจะยอมแพ้ต่อท่านอะลีถ้าหากจับตัวผู้ฆ่าท่านอุษมานมาลงโทษได้ เมื่อท่านอะลีมองไม่เห็นทางอื่นจึงจำต้องประกาศสงครามกับมุอาวิยะฮ์
ท่านอะลียกทัพซึ่งประกอบด้วยคนจำนวนห้าหมื่นคนไปยังซีเรีย
ในตอนแรกประชาชนไม่ค่อยใยดีที่จะเข้าร่วมกับท่านนัก แต่ในที่สุดก็ยอมเข้าร่วม มุอาวิยะฮ์ก็ยกกองทัพออกมาปะทะกับกองทัพของท่านอะลี
ณ สถานที่ที่เรียกว่าซิฟฟิน ท่านอะลีไม่ต้องการให้มุสลิมต้องหลั่งเลือดท่านจึงส่งผู้แทนไปเจรจากับมุอาวิยะฮ์ขอให้เขายอมจำนนเพื่อประโยชน์ของอาณาจักรอิสลาม
มุอาวิยะฮ์ตอบมาว่าขอให้ท่านอะลีนำตัวฆาตกรฆ่าท่านอุษมานมาลงโทษก่อน แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกปฏิเสธอีก
ในที่สุดการสู้รบก็เริ่มขึ้น ในวันที่สองของการต่อสู้มุอาวิยะฮ์เห็นท่าจะแพ้ จึงนำคัมภีร์อัลกุรอานมาผูกกับปลายหอกของทหารแถวหน้าแล้วชูขึ้นเป็นเครื่องหมายให้ยุติสงคราม
การสู้รบจึงยุติลง และได้ตกลงกันว่าจะตั้งกรรมการตัดสินสองท่าน ท่านหนึ่งมาจากฝ่ายท่านอะลี
อีกท่านหนึ่งมาจากฝ่ายมุอาวิยะฮ์ ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงตามคำตัดสินของกรรมการสองท่านนี้
ฝ่ายท่านอะลีได้แต่งตั้งอบูมูซาอัซอะรี และฝ่ายมุอาวิยะฮ์ได้แต่งตั้งอัมร์บินอาสเป็นตัวแทน
ถ้ากรรมการสองท่านตกลงกันไม่ได้ก็จะต้องให้คนจำนวนแปดร้อยคนตัดสินโดยการลงคะแนนเสียง
ความคิดนี้ของท่านอะลีซึ่งยอมเจรจาในขณะที่ได้เปรียบในการรบทำให้ทหารกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ
กองทหารจำนวน
12,000 คน ซึ่งเรียกว่า "คอวาริจญ์"ได้ทิ้งท่านอะลีไป แต่อย่างไรก็ตามกรรมการทั้งสองได้พบกันและตกลงกันว่าทั้งท่านอะลีและมุอาวิยะฮ์จะต้องเลิกคิดว่าตนเป็นเคาะลีฟะฮ์
แต่การตัดสินนี้ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายเดียวเพราะมุอาวิยะฮ์ไม่ได้เป็นเคาะลีฟะฮ์การตัดสินนี้จึงไม่เป็นที่ยอมรับ
ในทันทีที่พวกคอวาริจญ์รู้คำตัดสินนั้นก็แข็งข้อขึ้นอย่างเปิดเผย
คนเหล่านั้นได้ออกมาจากเมืองบัศเราะฮ์และคูฟะฮ์และเริ่มก่อความเดือดร้อนไปทั่วอาณาจักรในที่สุดพวกเขาก็พบกันที่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า
นะฮ์รอวัน ท่านอะลีรู้สึกว่าการตัดสินไม่ยุติธรรมท่านจึงเตรียมจะยกทัพไปตีซีเรีย แต่เมื่อได้ทราบข่าวเรื่องพวกคอวาริจญ์เข้า
ท่านก็ยกทัพไปตีพวกนี้แทนที่จะไปตีซีเรีย พวกคอวาริจญ์ได้ยอมยุติการต่อสู้แต่ก็ได้หว่านพืชแห่งความเดือดร้อนลงไว้ในอียิปต์
ท่านอะลีได้แต่งตั้งให้ ก็อยส์เป็นผู้ปกครองอียิปต์แต่เมื่อคิดว่าเขาจะจัดการกับสถานะการณ์ไม่ได้
ท่านจึงแต่งตั้งมุฮัมมัดบินอบูบักร์เข้าทำหน้าที่แทน มุอาวิยะฮ์ได้สั่งให้อัมร์บินอาสยกทัพเข้าบุกอียิปต์
ผู้ปกครองอียิปต์พ่ายแพ้ในการต่อสู้ อิยิปต์จึงตกเป็นของฝ่ายมุอาวิยะฮ์ การสูญเสียอียิปต์ไปเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของท่านอะลี
หลังจากนั้นก็ได้มีการกบฏเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
เมื่อท่านอะลีเห็นว่าสถานะการณ์เข้าขั้นร้ายแรง จึงยอมตกลงทำสนธิสัญญากับมุอาวิยะฮ์
โดยตกลงว่ามุอาวิยะฮ์ได้อียิปต์และซีเรียไป ส่วนอาณาจักรที่เหลือจะยังเป็นของท่านอะลี
ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายก็ถึงที่สุดลง
สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ของท่านอะลี
ความพ่ายแพ้ของท่านอะลี
อาจเกิดจากสาเหตุหลายสาเหตุคือ
ข้อแรก ท่านอะลีต้องต่อสู้กับฝ่ายฏ็อลฮะฮ์
ซุบัยร์และพระนางอาอิชะฮ์ ซึ่งร่วมกันต่อต้านท่าน เมื่อฏ็อลฮะฮ์ และซุบัยร์ถูกฆ่าตายโดยพรรคพวกของท่านอะลี
ก็เป็นโอกาสให้ฝ่ายมุอาวิยะฮ์มีอำนาจแข็งแกร่งขึ้นและฝ่ายอะลีกลับอ่อนแอลง
ข้อสอง มีการกบฏมากมายเกิดขึ้นในอาณาจักร
โดยเฉพาะที่บัศเราะฮ์ อียิปต์และเปอร์เชีย และการประกาศตั้งตัวเป็นอิสระของแคว้นเหล่านี้ก่อความลำบากแก่ท่านอะลีเป็นอย่างมาก
การสูญเสียอียิปต์ไปก็เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของท่าน
ข้อสาม มุอาวิยะฮ์นั้นอาศัยชาวซีเรียซึ่งจงรักภักดีต่อเขา
ในขณะที่ท่านอะลีต้องพึ่งชาวคูฟะฮ์ซึ่งจิตใจไม่มั่นคงและไม่สามารถยืนหยัดอยู่กับท่านได้ในยามที่ท่านตกอยู่ในอันตราย
นอกจากนั้นการที่พวกคอวาริจญ์ละทิ้งท่านไปในสงครามซิฟฟินและก่อความเดือดร้อนขึ้นในประเทศอย่างไม่หยุดหย่อน
ก็เป็นสิ่งที่ทำให้กำลังของท่านอะลีอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก
ข้อสี่ การต่อสู้ระหว่างพวกฮาชิมกับพวกอุมัยยะฮ์ก็เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนของท่านไม่น้อยเลย
เวลาอย่างนั้นย่อมช่วยฝ่ายมุอาวิยะฮ์เป็นอย่างดี เพราะพลังอำนาจของฝ่ายมุอาวิยะฮ์เพิ่มขึ้นในขณะที่ฝ่ายอะลีลดลงทุกที
ข้อห้า บุคลิกลักษณะของท่านอะลีก็เป็นสาเหตุข้อหนึ่ง
ท่านไม่ได้เป็นนักบริหารที่ดีและไม่ได้เป็นรัฐบุรุษที่มีสายตาไกลนัก นโยบายอันรีบร้อนของท่านในการเปลี่ยนตัวผู้ครองแคว้นก่อนจะสร้างอำนาจของท่านเองขึ้นให้แข็งแกร่งเสียก่อนนั้น
แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจทางด้านการเมือง ในขณะที่ลักษณะแบบนักการทูตของอัมร์บินอาส
และความมีสายตาไกลในด้านการเมืองของมุอาวิยะฮ์เป็นสาเหตุของชัยชนะของพวกเขา มุอาวิยะฮ์เป็นนักการเมืองที่ฉลาดและเจนโลก
ข้อสุดท้าย กลไกของพรรคพวกของอิบนุสาบะและการวางแผนโดยไม่สุจริตใจของผู้ลอบฆ่าท่านอุษมาน
ทำให้ทุกอย่างเลวลงสำหรับท่านอะลี และทำให้ความเป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านไม่ประสบความสำเร็จ
การประนีประนอมระหว่างท่านอะลีกับมุอาวิยะฮ์ทำให้ผู้ก่อความเดือดร้อนทั้งหลายตกที่นั่งลำบาก
คราวนี้พวกเขาจึงมุ่งที่จะปลิดชีวิตของท่านเคาะลีฟะฮ์เสีย ในวันที่ 17 เดือนรอมฏอน คศ.660 หรือ ฮศ. 40 ในขณะที่ท่านกำลังไปละหมาดที่มัสยิด พวกก่อความวุ่นวายจึงลอบเข้าทำร้ายท่าน
บาดแผลที่ท่านได้รับทำให้ท่านสิ้นชีวิตลงหลังจากดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ได้ 4
ปี กับ 9 เดือน
ประเมินบุคลิกลักษณะของท่านอะลี
ท่านอะลีเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีความเรียบง่ายและไม่เห็นแก่ตัว
ตลอดชีวิตของท่านท่านใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ ในบ้านของท่านไม่มีคนรับใช้ และฟาติมะฮ์ภรรยาของท่านต้องทำงานด้วยตัวเอง
เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวท่านทำงานได้ทุกอย่างแม้จะเป็นงานกรรมกร ชีวิตของท่านเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและความไม่เห็นแก่ตัว
ท่านไม่เคยอยากเป็นใหญ่เป็นโตแต่เมื่อภาระนั้นตกลงบนบ่าของท่านท่านก็พยายามรับไว้อย่างดีที่สุด
เพื่อความสงบสุขของประชาชนท่านยอมตกลงประนีประนอมกับมุอาวิยะฮ์ ทั้งๆที่ท่านทราบดีว่าชีวิตของท่านไม่ปลอดภัยนักท่านก็ยังไม่เคยจัดทหารองค์รักษ์ไว้คอยปกป้องท่าน
ท่านไปละหมาดที่มัสยิดวันละห้าเวลา และหลังจากนั้นก็คอยรับฟังคำร้องทุกข์ของประชาชน
ท่านอะลีเคยเป็นผู้ติดตามท่านศาสดาตลอดมา
ในระหว่างสมัยต้นๆของอิสลามนั้นท่านได้แสดงความกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างมาก ในด้านความรู้และความกล้าท่านได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นหนึ่งในยามอิสลามยังอยู่ในระยะหน้าสิ่วหน้าขวาน
ในฐานะที่เป็นผู้รู้ท่านศาสดาจึงให้ท่านเป็นผู้คัดพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ท่านมีชื่อในการรักษาอัลหะดิษเพราะฉะนั้นท่านจึงถูกขนานนามว่า "คลังแห่งความรู้" ชีวิตทั้งหมดของท่านอุทิศให้แก่อิสลาม
แต่ทั้งๆที่ท่านมีคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้ ท่านก็ขาดความมีสายตาไกลและความเหมาะสมในตำแหน่งของท่าน
ความเป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านจึงถึงจุดจบอย่างน่าเศร้า
การขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านฮะซัน (Hasan)
เมื่อท่านอะลีสิ้นชีวิตลง
ฮะซันบุตรชายคนโตของท่านได้ขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์แทน พอข่าวรู้ถึงมุอาวิยะฮ์ เขาก็ฉวยโอกาสยกทัพมารุกรานอิรัก
ท่านฮะซันจำต้องส่งกองทัพมารับหน้า โดยมีกัยส์ (Qays)เป็นแม่ทัพ แต่เมื่อมีข่าวลือว่ากัยส์สิ้นชีวิตลง
กองทัพก็แตกตื่นและแข็งข้อต่อท่านฮะซัน ท่านรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์จึงได้ส่งสาส์นไปขอยอมจำนนต่อมุอาวิยะฮ์
ท่านยินยอมสละตำแหน่งให้มุอาวิยะฮ์โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อเขาสิ้นชีวิตลงต้องให้หุสัยน์
น้องชายของท่านเป็นเคาะลีฟะฮ์ต่อไป ท่านฮะซันกลับไปอยู่ที่มะดีนะฮ์และสิ้นชีวิตลงที่นั่น
โดยถูกภริยาคนหนึ่งของท่านวางยาพิษโดยคบคิดกับยะซีดบุตรชายของมุอาวิยะฮ์ นี่จึงเป็นจุดจบที่น่าเศร้าของฮะซันหลานชายของท่านศาสดา
การล้มเลิกตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์
ชาวอาหรับถูกกำหนดให้เป็นผู้เผยแพร่คำประกาศแห่งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าไปสู่มนุษยชาติ
พวกเขาได้ถือธงแห่งอิสลามและนำมันไปทั่วทุกมุมโลกอย่างแข็งขัน คำสอนของท่านศาสดาได้ให้ชีวิตใหม่แก่พวกเขา
ภายในเวลาสามสิบปีเท่านั้นเอง พวกเขาก็ได้สร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าอาณาจักรโรมันขึ้นได้
แต่แล้วความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรนั้นก็หนีไม่พ้นความไม่ลงรอยกันจนได้ ต่อไปนี้คือสาเหตุซึ่งนำไปสู่การล้มเลิกตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์
ความเป็นปรปักษ์ระหว่างพวกฮาชิมกับพวกอุมัยยะฮ์เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่ง
ความอิจฉาริษยาและความเป็นศัตรูเช่นนี้มีอยู่ตั้งแต่ก่อนศาสดาเกิด แต่คำสอนของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ได้ทำให้มันสงบอยู่
ท่านอบูบักรและท่านอุมัรไม่ได้เป็นคนในเผ่าใดเผ่าหนึ่งในสองเผ่านี้ และเนื่องจากในสมัยของท่านเคาะลีฟะฮ์ทั้งสอง
พวกเขาต้องยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับชาวต่างชาติ ความเป็นปรปักษ์ระหว่างเผ่านี้จึงยังสงบอยู่ได้
แต่ในสมัยของท่านเคาะลีฟะฮ์อุษมาน ความรู้สึกไม่ลงรอยกันที่สงบอยู่ก็เริ่มไหวตัวขึ้น
เมื่ออำนาจของอุมัยยะฮ์กำลังจะเพิ่มขึ้นในสมัยของท่านอุษมาน พวกฮาชิมก็ไม่อาจจะทนเฉยอยู่ได้
จึงพยายามจะตัดรอนอิทธิพลของพวกอุมัยยะฮ์ พวกเขาจึงเข้าเป็นฝ่ายที่ต่อต้านท่านอุษมาน
ถ้าหากว่าพวกฮาชิมกับพวกอุมัยยะฮ์สามารถปรองดองสามัคคีกันได้ในช่วงวิกฤตการณ์เช่นนั้น
กลุ่มอาหรับที่ท้าทายอำนาจของท่านอุษมานอยู่ในขณะนั้นก็คงจะถูกบดขยี้ลงได้
แต่ความเป็นศัตรูกันระหว่างคนสองพวกนี้กลายเป็นเครื่องให้กำลังใจแก่ฝ่ายศัตรู
และเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านอุษมานต้องถูกฆ่าตาย เมื่อท่านเคาะลีฟะฮ์ถูกฆ่าตายความเป็นหนึ่งเดียวของมุสลิมก็สิ้นไป
และประตูแห่งสงครามกลางเมืองก็เปิดออก
ท่าอุษมานได้ถอดถอนผู้ปกครองแคว้น
และเจ้าเมืองรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำแหน่งสูงบางคนออกและแต่งตั้งคนของท่านเข้าแทนที่ ถึงแม้ว่าการถอดถอนนั้นจะเป็นไปโดยมีเหตุผล
และผู้ที่เข้าดำรงตำแหน่งแทนจะมีความสามารถก็ตามประชาชนก็ยังเข้าใจผิดในตัวท่านอยู่ดี
ชาวคูฟะฮ์อียิปต์และบัศเราะฮ์ได้รวมตัวกันเป็นฝ่ายต่อต้านที่แข็งแกร่งเอาชนะได้ยาก
พวกเขาพยายามยุยงประชาชนให้เกลียดชังท่านอุษมาน คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแต่นำเอาความพ่ายแพ้มาสู่ท่านอุษมานเท่านั้น
แต่การกระทำของพวกเขายังทำให้อาณาจักรอิสลามต้องอ่อนแอลงด้วย เมื่อท่านอะลีมาเป็นเคาะลีฟะฮ์ท่านก็ได้เปลี่ยนตัวผู้ครองแคว้นทั้งหมดที่ท่านอุษมานได้แต่งตั้งไว้
ท่านยังได้ละทิ้งสภาที่ปรึกษาและไม่ยอมรับการตัดสินใจที่เคาะลีฟะฮ์ก่อนหน้าท่านทำไว้อีกด้วย
นโยบายแบบนี้ของท่านอะลีก่อให้เกิดศัตรูขึ้น ซึ่งมุอาวิยะฮ์ผู้ปกครองแคว้นซีเรียได้ยืนหยัดขึ้นต่อต้านท่านอะลีอย่างแข็งขัน
และในที่สุดก็ได้ตั้งราชวงศ์อุมัยะฮ์ขึ้น ความขัดแย้งระหว่างท่านอะลีกับมุอาวิยะฮ์
เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ต้องเลิกล้มไป
0 ความคิดเห็น