การครองตน ครองคน และครองงาน
06:14:00
“การครองตน ครองคน และครองงาน”
โดยอรุณ บุญชม
การครองตน
อิสลามมีหลักในการครองตนดังต่อไปนี้
(1)
หลัก มุรอกอบะห์ (المراقبة) คือมีสำนึกอยู่เสมอว่าตนถูกพระเจ้าติดตามและเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีสำนึกอย่างนี้ก็จะทำแต่ความดีไม่กล้าทำความผิด และละอายที่จะทำบาปเพราะพระเจ้ารู้และเห็นการกระทำของตนทั้งในที่ลับและเปิดเผย ดังพระองค์ได้ตรัสว่า {وَهُوَ مَعَكُمْ أَيْنَمَا كُنْتُمْ} الحديد : 4 “พระองค์จะอยู่กับพวกท่านไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม”
(2)
หลัก อะมานะห์(الأمانة) คือความซื่อสัตย์สุจริต ในการทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ท่านศาสดาได้กล่าวไว้ว่า " لاَ إيمانَ لِمَنْ لاَ أمَانةَ له " “ไม่มีศรัทธาสำหรับผู้ที่ไม่มีความซื่อสัย์” ความซื่อสัตย์กับความศรัทธาในศาสนาจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นมุสลิม (ผู้นับถือศาสนาอิสลาม)
จะต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ หากเขาไม่มีความซื่อสัตย์ เขาก็ขาดคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นมุสลิมของเขา
(3)
หลัก มัสอูลียะห์(المسئولية) คือความรับผิดชอบต่อหน้าที่ มุสลิมตระหนักในความรับผิดชอบต่อหน้าที่เพราะเป็นสิ่งที่ท่านศาสดาได้กำหนดไว้ให้แก่ทุกคนอย่างชัดเจนว่า
"ألا
كلكم راعٍ، وكلكم مسئولٌ عن رعيته ؛ فالأمير الذي على الناس راعٍ، وهو مسئولٌ عن
رعيته، والرجل راعٍ على أهل بيته، وهو مسئولٌ عنهم، والمرأة راعيةٌ على بيت بعلها
وولده، وهي مسئولةٌ عنهم، والعبد راعٍ على مال سيده، وهو مسئولٌ عنه، ألا فكلكم
راعٍ، وكلكم مسئول عن رعيته" رواه مسلم.
“พึงทราบเถิดว่าท่านทั้งหลายมีหน้าที่ และท่านทั้งหลายต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่นั้นกล่าวคือผู้นำ มีหน้าที่ปกครองประชาชน เขาจะต้องรับผิดชอบทุกข์สุขของประชาชนของเขา ผู้ชายมีหน้าที่ดูแลครอบครัวของเขา และเขาต้องรับผิดชอบครอบครัวของเขา ผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้านของสามี และบุตร และนางต้องรับผิดชอบพวกเขา คนรับใช้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของผู้เป็นนาย และเขาจะต้องรับผิดชอบทรัพย์สินนั้น พึงทราบเถิดว่าพวกท่านทุกคนมีหน้าที่และจะต้องถูกสอบถามถึงหน้าที่ที่รับผิดชอบ” ดังนั้นเมื่อมุสลิมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบไม่ว่าในเรื่องใด เขาจะต้องทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มความสามารถและดีที่สุด เพราะเขาจะต้องรับผิดชอบและถูกตรวจสอบทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
(4)
หลัก มุญาฮะดะห์ (المجاهدة) คือการทุ่มเทให้แก่การปฏิบัติภารกิจ โดยอาศัยหลักการจากอัล กุรอานที่ว่า {فَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًا
يَرَهُ } الزلزلة : 7 “ ผู้ใดทำความดีแม้เล็กเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน” เมื่อเป็นดังนี้มุสลิมจึงต้องทุ่มเทในการสร้างผลงานที่ดีและปฏิบัติภารกิจอย่างสุดความสามารถ เพราะมีความเชื่อมั่นว่าเขาจะได้เห็นผลงานนั้น แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
(5) หลัก อัซซอบร์(الصبر) คือความอดทน มุสลิมมีความเชื่อมั่นว่าในการทำงานต้องพบกับอุปสรรค และความล้มเหลว แต่ต้องมีความอดทนในการต่อสู้และหาแนวทางฟันฝ่าอุปสรรคนั้นไปให้ได้ โดยไม่ท้อแท้และหมดกำลังใจเพราะอัลเลาะห์เจ้าได้แจ้งแก่ศาสดาให้บอกข่าวดีแก่พวกที่มีความอดทนว่า {وَبَشِّرِ
الصَّابِرِينَ} البقرة : 155 “ เจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่พวกที่มีความอดทนเถิด” และ {لا تَقْنَطُوا مِن رَّحْمَةِ اللَّهِ} الزمر : 53 “พวกเจ้าอย่าหมดหวังในความเมตตาของอัลเลาะห์” มุสลิมมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อพบกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว มุสลิมจะต้องยืนหยัดต่อสู้หาหนทางแก้ไข และจะต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด อย่าท้อทอยหรือหมดกำลังใจ แล้วอัลเลาะห์จะช่วยเหลือให้รอดพ้น มีตัวอย่างมากมายในหน้าประวัติศาสตร์ที่ยืนยันในเรื่องนี้เช่นประวัติของพระนางฮาญัร ที่เดินหาน้ำให้แก่ลูกน้อยอิสมาอีล ขณะเมื่อเสบียงอาหารและน้ำดื่มหมด พระนางได้ขึ้นไปบนภูเขาซอฟา เพื่อมองดูกองคาราวานที่จะเดินทางผ่านมาแล้วขอความช่วยเหลือ แต่ไม่พบ จึงเดินไปขึ้นบนภูเขามัรวะห์ ที่อยู่ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร แต่ก็ไม่พบเห็นผู้ใด พระนางได้เดินไปมาเช่นนั้นถึงเจ็ดเที่ยวรวมระยะทางได้เกือบห้ากิโลเมตรท่ามกลางแสงแดดของท้องทะเลทรายอันร้อนระอุ และพื้นที่ขรุขระจนนางหมดแรง อัลเลาะห์จึงช่วยนางโดยให้มีน้ำผุดขึ้นมาจากผืนทรายที่เรียกว่าน้ำซัมซัม ซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน นี่คือแบบอย่างของการอดทนและต่อสู้อย่างถึงที่สุด เพราะหากอัลเลาะห์จะช่วยเหลือนางให้ได้พบน้ำตั้งแต่การเดินเที่ยวแรก พระองค์ก็สามารถกระทำได้ แต่เพื่อเป็นบทเรียนของความอดทนและการต่อสู้ว่าจะต้องให้ถึงที่สุดเสียก่อน แล้วความช่วยเหลือของอัลเลาะห์จึงจะมีมา พระองค์จึงให้ความช่วยเหลือเมื่อพระนางได้เดินไปมาถึงเจ็ดเที่ยวและหมดเรี่ยวแรง
(6)
หลัก “ตะวักกุล” (التوكل) คือการมอบหมายความสำเร็จในการทำงานให้แก่อัลเลาะห์เจ้า โดยยึดหลักจากคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่า
{فَإِذَا
عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى اللَّه}ِ آل عمران : 159
“ ดังนั้นเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายความสำเร็จให้แก่อัลเลาะห์” หมายความว่าเมื่อได้มีการศึกษาโครงการ ประชุมปรึกษาหารือกัน มีการวางแผนการเป็นอย่างดีแล้วจนถึงขั้นตัดสินใจอนุมัติโครงการ และลงมือปฏิบัติ โดยที่เราไม่รู้หรอกว่าโครงการนั้นจะสำเร็จหรือล้มเหลว ดังนั้นให้เรามอบหมายความสำเร็จของโครงการนั้นให้แก่อัลเลาะห์ ส่วนเรามีหน้าที่ปฏิบัติอย่างเต็มกำลังความสามารถ หากโครงการนั้นสำเร็จ ถือว่าความสำเร็จนั้นมาจากอัลเลาะห์ หากโครงการนั้นล้มเหลวก็จะต้องหาหนทางแก้ไขด้วยความอดทนและต่อสู้ให้ถึงที่สุด โดยไม่สิ้นหวังและท้อแท้ เพราะถือว่าอัลเลาะห์เจ้าได้กำหนดให้เกิดขึ้นเช่นนั้น
การครองคน
อิสลามมีหลักในการครองคนดังต่อไปนี้ โดยอาศัยบุคลิกภาพของท่านศาสดา
ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานว่า
{ فَبِمَا
رَحْمَةٍ مِّنَ اللَّهِ لِنتَ لَهُمْ وَلَوْ كُنتَ فَظًّا غَلِيظَ الْقَلْبِ
لاَنفَضُّواْ مِنْ حَوْلِكَ فَاعْفُ عَنْهُمْ وَاسْتَغْفِرْ لَهُمْ وَشَاوِرْهُمْ
فِي الأَمْرِ فَإِذَا عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى اللَّهِ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ
الْمُتَوَكِّلِينَ } آل عمران : 159
“ เนื่องด้วยความเมตตาจากอัลเลาะห์ ท่านจึงเป็นผู้ที่สุภาพอ่อนโยนต่อพวกเขา และถ้าหากท่านเป็นผู้ที่มีความหยาบคาย และมีใจแข็งกระด้างแล้ว แน่นอนพวกเขาก็คงปลีกตัวออกไปจากท่าน ดังนั้นท่านจงให้อภัยพวกเขา จงวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกเขา จงปรึกษาหารือกับพวกเขาในการทำงาน และเมื่อท่านได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายความสำเร็จให้แก่อัลเลาะห์เถิด เพราะความจริงอัลเลาะห์ทรงโปรดปรานผู้มอบหมายทั้งหลาย” (อาลิอิมรอน 159)
(1)
ความสุภาพอ่อนโยน (الرفق) ไม่ใช้วาจาหยาบคาย ท่านศาสดามุฮำหมัดจะเป็นผู้ที่มีความสุภาพอ่อนโยนต่อคนรอบข้างทุกคน ท่านไม่เคยใช้วาจาหยาบคายกับผู้ใด ท่านไม่เคยดุว่าคนรับใช้ ท่านไม่เคยตำหนิอาหารหากท่านชอบ ท่านจะรับประทาน หากท่านไม่ชอบท่านก็จะไม่รับประทาน ท่านจะกล่าวสลามทักทายเด็กๆ เมื่อท่านเดินผ่านพวกเขา ท่านได้กล่าวแก่อาอิชะห์ภรรยาของท่านว่า
( إِنَّ اللَّهَ رَفِيقٌ يُحِبُّ الرِّفْقَ ، وَيُعْطِي عَلَى الرِّفْقِ
مَا لاَ يُعْطِي عَلَى الْعُنْفِ) رواهُ مُسْلِم
“ อัลเลาะห์สุภาพอ่อนโยน ทรงรักความสุภาพอ่อนโยนพระองค์จะมอบให้แก่ความอ่อนโยน อย่างที่ไม่เคยมอบให้แก่ความรุนแรง” รายงานโดยมุสลิม
(2)
ความเมตตาสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (الرحمبة) ท่านศาสดามุฮำหมัดเป็นผู้ที่มีใจกรุณา เมตตาและสงสารผู้อื่น มีหญิงชราชาวเมืองมะดีนะห์พาท่านไปที่บ้านเพื่อให้ท่านทำธุระให้แก่นาง ซึ่งท่านก็ไปทำให้แต่โดยดี ด้วยความสงสาร
ท่านได้กล่าวเตือนผู้เป็นนายว่า จะต้องไม่บังคับใช้งานบ่าวในสิ่งที่เกินกำลังความสามารถ และท่านได้กำชับผู้เป็นนายให้ให้อาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่บ่าว ด้วยอาหารและเครื่องนุ่งห่มที่นายรับประทานและสวมใส่ ท่านได้เตือนนักปกครองที่ใช้มาตรการรุนแรงและสร้างความยุ่งยากไว้ในคำวิงวอนของท่านว่า “ ข้าแด่อัลเลาะห์ ผู้ใดที่ปกครองประชาชนของฉันในเรื่องหนึ่ง แล้วเขาทำให้ประชาชนต้องยุ่งยากลำบาก ขอพระองค์จงให้เกิดความยุ่งยากลำบากแก่เขา”
แม้กระทั่งในเรื่องสัตว์ท่านได้กล่าว ผู้เอาน้ำให้สุนัขที่กระหายน้ำว่าอัลเลาะห์ขอบคุณเขาและให้เขาได้เข้าสวรรค์ แล้วมีผู้ถามท่านว่า
( وإن لنا في
البهائم لأجراً.فقال : في كل ذات كبد رطبة أجر ). متفق عليه
“ พวกเราจะได้รับผลบุญในการการทำความดีแก่สัตว์หรือ? ท่านตอบว่าการทำความดีแก่สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ได้รับผลบุญทั้งสิ้น” และท่านได้กล่าว่า
“หญิงคนหนึ่งเข้านรกในเรื่องแมวที่นางได้กักขังมันไว้ โดยไม่ให้อาหารและไม่ปล่อยมันให้จับสัตว์เป็นอาหารเอง”
(3) การให้อภัยไม่ถือโทษ (العفو) อัลเลาะห์บัญชาให้ให้อภัยไม่ถือโทษ และนับว่าการให้อภัยเป็นอาวุธของผู้ที่เข้มแข็งโดยพระองค์ได้ตรัสว่า
آل عمران : 131 {وَسَارِعُواْ إِلَى مَغْفِرَةٍ مِّن رَّبِّكُمْ}
“ และพวกเจ้าจงรีบเร่งไปสู่การอภัยจากองค์อภิบาลของพวกเจ้า”
อัลเลาะห์ ทรงเชิญชวนบ่าวของพระองค์สู่การให้อภัย พระองค์ตรัสว่า
{
خُذِ الْعَفْوَ وَأْمُرْ بِالْعُرْفِ وَأَعْرِضْ عَنِ الْجَاهِلِينَ } الأعراف : 199
“ (โอ้ มูฮำหมัด) เจ้าจงยึดถือไว้ซึ่งการให้อภัย และจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ดีงาม และจงผินหลังให้แก่ผู้โฉลดเขลาทั้งหลายเถิด”
{
وَالْكَاظِمِينَ الْغَيْظَ وَالْعَافِينَ عَنِ النَّاسِ
وَاللّهُ يُحِبُّ الْمُحْسِنِينَ {آل
عمران : 134
และพระองค์ตรัสว่า “(บรรดาผู้ยำเกรง) คือบรรดาผู้ข่มโทสะ และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ และอัลเลาะห์นั้นทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย ”
ท่านอับดุลเลาะห์ บุตรมัสอูด (ร.ด) กล่าวว่า : ฉันมองดูท่าน นบีมูฮำหมัด
(ซ.ล) ขณะท่านกำลังเล่าถึงนบีท่านหนึ่งที่ถูกพวกพ้องของพวกเขาทำร้ายจนเลือดออก เขาใช้มือลูบเลือดที่เปื้อนใบหน้า พลางก็กล่าวว่า :
( اللهم اغفر
لقومي فإنهم لا يعلمون) رواه البخاري
“ ข้าแด่องค์อภิบาลได้โปรดให้อภัยแก่พวกพ้องของฉันด้วยเถิด เพราะความจริงพวกเขาไม่รู้” อิสลามอบรมมุสลิมให้ยึดถือความหมายอันยิ่งใหญ่และสูงส่งนี้จนถึงกับทำให้ท่านอุมัร อิบนุ คอตตอบ กล่าวว่า “ ประชาชาติของฉันทุกคนได้รับการอภัยจากฉัน” ในความหมายเดียวกันนี้ เราจะรู้สึกได้ในคำพูดของอิบนุมัสอูด
(ร.ด) ขณะที่เขานั่งอยู่ในตลาดเพื่อซื้ออาหาร เมื่อเขาต้องการจะจ่ายเงินค่าอาหาร เขาพบว่ามันได้ถูกขโมยไปเสียแล้ว ประชาชนเมื่อทราบเช่นนั้นก็ประกาศหาตัวคนที่ขโมยเงินของเขาไป อับดุลเลาะห์ บุตร มัสอูด ได้ยกมือวิงวอนว่า : “ข้าแด่อัลเลาะห์ ถ้าหากความจำเป็น เป็นแรงผลักดันให้เขาต้องเอาเงินไป ขอพระองค์ได้โปรดเพิ่มพูนมันแก่เขา แต่ถ้าหากเขาเอามันไปโดยไม่เกรงกลัวบาป ขอพระองค์ได้โปรดให้มันเป็นบาปสุดท้ายของเขาด้วยเทอญ”
คนที่ให้อภัยผู้อื่นย่อมเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง และงดงาม มีความมุ่งมั่นสูง มีขันติธรรม และมีความอดทน มุอาวิยะห์ได้กล่าวว่า : “พวกท่านจงมีความขันติธรรม และอดทน จนกว่าพวกท่านจะมีโอกาส และเมื่อพวกท่านมีโอกาส พวกท่านจงให้อภัย และให้ความกรุณา”
(4)
ประชุมปรึกษาหารือ (المشاورة) อัลเลาะห์ได้บัญชาให้ท่านนบีมุฮำหมัดประชุมปรึกษาหารือกับเพื่อร่วมงานดังมีความว่า
{وَشَاوِرْهُمْ
فِي الأَمْرِ } آل عمران : 159
“ จงปรึกษาหารือกับพวกเขาในการทำงาน” และยังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอานอีกว่า
{وَأَمْرُهُمْ
شُورَى بَيْنَهُمْ} الشورى : 38
“ และกิจการงานของพวกเขาคือการปรึกษาหารือกันในหมู่พวกเขา” ประโยชน์ของการประชุมปรึกษาหารือก็คือผู้ร่วมงานทุกคนได้แสดงความคิดเห็นและนำเอาแนวทางที่ดีที่สุดหรือมติในที่ประชุมนั้นไปปฏิบัติ ผู้ร่วมงานทุกคนจะมีความรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมในแนวทางนั้นหรือมตินั้น ก็จะเกิดความร่วมมือในการผลักดันให้งานนั้นบรรลุความสำเร็จ
(5)
ตัดสินใจและมอบหมายความสำเร็จให้แก่อัลเลาะห์ (العزم والتوكل) เมื่อทุกคนมีส่วนร่วมในการประชุมปรึกษาหารือและตัดสินใจร่วมกันแล้ว ก็ให้มอบหมายความสำเร็จนั้นไว้ในอำนาจของอัลเลาะห์ พระองค์ได้ตรัส ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
{ وَمَنْ يَتَوَكَّلْ عَلَى اللَّهِ
فَهُوَ حَسْبُهُ } الطلاق : 3
“ผู้ใดมอบหมายความสำเร็จในการทำงานไว้ให้แก่อัลเลาะห์ พระองค์ผู้เดียวก็พอแล้วสำหรับเขา” โดยเพื่อนร่วมงานทุกคนมุ่งมั่นทำงานเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ และถ้าหากงานนั้นเกิดความล้มเหลว ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ได้กำหนดไว้เช่นนั้น ก็จะไม่เสียใจและหมดหวัง แต่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยความอดทน และฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆอย่างถึงที่สุด
การครองงาน
(1) การทำงานเป็นอิบาดะห์ หมายถึงเป็นความดี โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการทำงานที่เป็นอิบาดะห์แท้ๆเช่นละหมาด หรือการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ อัลเลาะห์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า
{إِنَّ
الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ إِنَّا لا نُضِيعُ أَجْرَ مَنْ
أَحْسَنَ عَمَلا} الكهف : 30
“แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย เราจะไม่ให้การตอบแทนของผู้กระทำความดีสูญหายอย่างแน่นอน” การทำงานจึงเป็นสิ่งที่สูงส่งสำหรับมุสลิม
(2)
งานสุจริตเป็นงานที่มีเกียรติ (العمل هي العبادة) อิสลามใช้ให้มุสลิมแสวงหาปัจจัยที่ฮาลาล(ที่ศาสนาอนุมัติ) เพราะสิ่งที่นำมาบริโภคนั้นจะกลายเป็นเลือดเนื้อของเขา หากได้มาในทางที่ทุจริต หรือในทางที่ศาสนาไม่อนุมัติ เช่นลักขโมย ฉ้อโกง ก็จะมีผลทำให้ความดีที่เขากระทำไม่ได้รับการตอบสนอง ท่านนบี (ซ.ล.) ที่ได้กล่าวสนับสนุนการทำงานที่สุจริตไว้มีความว่า
( ما أكل أحد
طعاماً قط خيراً من أن يأكُل من عمل يديه ) رواه البخاري
“ ไม่มีผู้ใดได้รับประทานอาหารใด ที่ประเสริฐยิ่งกว่ารับประทานสิ่งที่เขาหามาได้ด้วยการทำงานของสองมือของเขา” และท่านได้กล่าวว่า
( لأن يحتطب
أحدكم حزمة على ظهره خير له من أن يسأل أحدا فيعطيه أو يمنعه) متفق عليه
“การที่คนใดจากพวกท่านหาฟืนแล้วแบกขึ้นบนหลังเอาไปขายนั้น ย่อมดีกว่าการเที่ยวขอจากผู้อื่น ซึ่งเขาอาจให้หรือไม่ให้ก็ได้ ”
(3)
ทำงานด้วยใจรักและประณีต (الإتقان في العمل) ท่านนบี
(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
( إن الله
يحب إذا عمل أحدكم عملا أن يتقنه) رواه البيهقي
“แท้จริงอัลเลาะห์รักเมื่อใครคนหนึ่งได้ทำงานใดๆ ด้วยความประณีต” การทำงานด้วยความประณีตคือการทำงานด้วยความพิถีพิถันและด้วยใจรัก เมื่อรักงานที่ทำก็จะทำด้วยความสุขและสนุกเพลิดเพลินไปกับการทำงานนั้น
(4)
มีความรู้ความสามารถในการทำงาน (العلم قبل العمل) อิสลามได้กำหนดหลักการไว้ชัดเจนว่าต้องมีความรู้ก่อนที่จะลงมือทำงาน หากลงมือทำงานโดยไม่มีความรู้ก็จะไม่มีผลตอบแทนใดๆ ให้แก่การทำงานนั้น และบางกรณีต้องรับผิดชอบและชดใช้ค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกด้วยดังท่านนบี
(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
( من تطبب وهو لا يعلم منه طب ، فهو ضامن) رواه أبوداود
“ผู้ใดทำการรักษาผู้ป่วยโดยไม่มีความรู้ เขาจะต้องชดใช้ความเสียหาย” มุสลิมจะต้องมีความตื่นตัวในการทำงาน การศึกษาและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ.
*************
0 ความคิดเห็น