ทำบุญให้คนตายถึงหรือไม่
06:33:00
ทำบุญถึงคนตาย
ปัญหาหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมาเป็นเวลานานแล้ว
และยังคงเป็นปัญหาคาใจของใครบางคนอยู่ก็คือ การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ? อ่านอัลกุรอาน
ให้คนตายได้ไหม และอีกมากมายหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงไปในทางที่ดี ในทางที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างสรรค์
จึงขอนำปัญหาดังกล่าว
มาตีแผ่ให้เห็นถึงแนวทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่มีต่อปัญหาดังกล่าวว่าสำนักใดมีทรรศนะว่าอย่างไร
รู้แล้วจะได้เกิดความสบายใจไม่ต้องมาถกเถียงกันให้เสียเวลา
เพื่อจะได้มีเวลาเหลือไปทำความดีอย่างอื่น การนำเสนอปัญญานี้ไม่ได้มีเจตนาจะใช้เป็นเครื่องมือทิ่มตำฝ่ายใด
เพียงแต่มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลในปัญหานี้เท่านั้น.
อิบาดะห์ประเภทต่าง
ๆ
อิบาดะห์ที่ศาสนาใช้ให้มุสลิมปฏิบัตินั้นจำแนกออกได้เป็นสามประเภทกล่าวคือ
:
1 อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายเพียงอย่างเดียว เช่นละหมาด การถือศีลอด การเอียะอ์ติกาฟ
การอ่านอัลกุรอาน และการซิกรุ้ลเลาะห์
2 อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว
เช่นซะกาต และซอดาเกาะห์
3 อิบาดะห์
ที่ผสมกันทั้งร่างกายและทรัพย์สินคือฮัจญ์ (ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินคือเสบียง
และ ยานพาหนะ ในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายก็คือ การวุกูฟ การตอวาฟ การสะแอ
และการขว้างเสาหิน) เป็นต้น
แนวทางของมัซฮับต่างๆ
มัซฮับฮานาฟีและอัมบาลี
อนุญาตให้ยกผลบุญของอะมั้ล(ความดี)ที่ตนทำให้แก่ผู้อื่นได้ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกาย หรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือผสมกันระหว่างร่างกายกับทรัพย์สิน.
มีระบุในตำราของมัซฮับฮานาฟี
(เช่นอัซซัยละอีย์, อัลบะฮร์, อัลฮิดายะห์ และฟัตฮุ้ลกอดีร) ว่าคนที่ทำอิบาดะห์
ไม่ว่าจะเป็นละหมาด การถือศีลอด
การจ่ายซะกาต การอ่านอัลกุรอาน การซิก
รุ้ลเลาะห์
การตอวาฟ ทำพิธีฮัจญ์ ทำพิธีอุมเราะห์ หรือความดีอย่างอื่น
อนุญาตให้เขายกผลบุญของอิบาดะห์เหล่านั้นให้แก่ผู้อื่นได้
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้วก็ตาม
และผลบุญของการทำอิบาดะห์นั้นก็จะถึงผู้ที่ถูกยกให้
และไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่างคนที่ตั้งเจตนา (เนียต)ขณะทำความดีนั้นว่าทำให้แก่ผู้อื่นหรือทำเพื่อตัวเอง
แล้วหลังจากนั้นจึงยกผลบุญให้แก่ผู้อื่น..
ระบุอยู่ในตำรา
อัลมุฆนีย์ ของอิบนุกุดามะห์ ของ มัซฮับฮัมบะลีว่า ความดีใดๆ ที่มนุษย์ได้กระทำ
และยกผลบุญของการกระทำนั้นให้แก่ผู้ตายที่เป็นมุสลิม การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นประโยชย์แก่ผู้ตายด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะห์
ตาอาลา.. อิบนุ้ลกอยยิม นักวิชาการของมัซฮับฮัมบาลี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่ออัรรูฮ์ว่า :
( สิ่งประเสริฐที่สุดที่จะยกให้แก่ผู้ตายก็คือ การทำซอดาเกาะห์ การขออภัยโทษ(อิสติฆฟาร)
และการขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ตาย
และการทำฮัจญ์แทนให้ผู้ตาย
ส่วนการอ่านอัลกุรอานและยกผลบุญการอ่านนั้นให้แก่ผู้ตายโดยสมัครใจไม่มีค่าจ้างตอบแทน
การกระทำนี้ผลบุญจะไปถึงผู้ตาย
เช่นเดียวกับผลบุญของการถือศีลอดและฮัจญ์ก็จะไปถึงผู้ตาย ) ….
มัซฮับชาฟิอีและมาลิกี
:
ส่วนมัซฮับชาฟิอีและมาลิกีนั้นทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขามีว่า
อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายอย่างเดียวเช่นละหมาด การถือศีลอด และการอ่านอัลกุรอาน
ผลบุญของอิบาดะห์นี้จะไม่ถึงผู้ตาย
ต่างกับอิบาดะห์อื่นๆ เช่นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างเดียว
เช่นซะกาตและการทำซอดาเกาะห์ หรืออิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายกับทรัพย์สินเช่นฮัจญ์
ผลบุญของอิบาดะห์ประเภทนี้จะถึงผู้ตาย.
นักวิชาการยุคหลัง
ของมัซฮับชาฟิอีและมาลิกี
แต่นักวิชาการยุคหลังของทั้งสองมัซฮับ
ได้เลือกเอาแนวทางที่ว่า ผลบุญของอิบาดะห์ทุกชนิดจะไปถึงผู้ตาย
เช่นการอ่านอัลกุรอานเป็นต้น, ประโยชน์ของการอ่านอัลกุรอานอาจเกิดจากผลบุญของการอ่านอัลกุรอานไปถึงผู้ตาย
หรือบะรอกะห์(ความดีที่เพิ่มพูน) ของการอ่านไปถึง.
ส่วนพวกมัวะอ์ตะซิละห์ (พวกที่มีความคิดนอกรีตในศาสนาอิสลาม) มีทรรศนะว่า
ไม่ยินยอมให้ใครยกผลบุญจากการทำ (อะมั้ล) ความดีของตนให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายหรือทรัพย์สินหรือที่ผสมกันจากร่างกายและทรัพย์สิน.
มัซฮับ มัวะอ์ตะซิละห์
มีทรรศนะที่ต่างกับมัซฮับฮานาฟี
และต่างกับกลุ่มที่มีทรรศนะตรงกับมัซฮับฮานาฟี ที่เป็นอะห์ลิซซุนนะห์.
หลักฐานของพวกมัวะอ์ตะซิละห์
:
พวกมัวะอ์ตะซิละห์
อ้างหลักฐานเรื่องนี้ด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า :
" มนุษย์จะไม่ได้รับอะไร นอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้กล่าวในการใช้อายะห์นี้มาอ้างเป็นหลักฐานว่า
: อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้บอกไว้ในอายะห์นี้ว่า มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขาได้พากเพียรเอาไว้และเป็นผลงานของเขา
ส่วนการพากเพียรของผู้อื่น ไม่ใช่เป็นการพากเพียรและผลงานของเขา.
การโต้ตอบกับพวกมัวะอ์ตะซิละห์ด้วยหลักฐาน
:
พวกมัวะอ์ตะซิละห์
ถูกโต้ตอบด้วยข้อความที่ท่านกามาล บุตร ฮัมมาม กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อฟัตฮุ้ลกอดีร
(ในบทที่ว่าด้วยเรื่องการทำฮัจญ์แทนให้แก่ผู้อื่น) ว่า
:
ความหมายของอายะห์ที่ว่า
"
มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
หมายถึง " ในกรณีที่ผู้ทำความดีไม่ได้ยกผลบุญให้แก่ผู้อื่น
" แต่ถ้าหากเขาทำความดีแล้วเขาได้ยกความดีนั้นให้แก่ผู้อื่น ความดีนั้นก็จะไปถึงผู้ที่เขายกให้
ทั้งนี้เพราะมีฮะดีษซอเฮียะฮ์ที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิมว่า :
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล) ได้เชือดแกะสองตัวที่มีสีขาวมีขนดำแซม
เป็นอุดฮียะห์(กุรบาน) โดยตัวหนึ่งท่านทำเพื่อตัวท่านเอง
อีกตัวหนึ่งท่านทำแทนให้แก่ประชาชาติของท่าน ..
ฮะดีษนี้ท่านนบีได้ทำความดีแทนให้แก่ประชาชาติของท่าน
การกระทำของท่านนบีชี้ว่าสามารถยกความดีให้แก่ผู้อื่นได้.
ฮะดีษนี้มีซอฮาบะห์หลายท่านได้รายงานและมีนักวิชาการฮะดีษได้นำออกเผยแพร่
หลายสาย และทุกสายรายงานก็จะมีข้อความตรงกันว่า ท่านนบี(ซ.ล) ได้เชือดสัตว์อุดฮียะห์(กุรบาน)
แทนให้แก่ประชาชาติของท่าน
จนข้อความนี้เป็นที่แพร่หลายและรู้กันทั่วไป
และสามารถที่จะนำไปเป็นเงื่อนไขของอายะห์ที่กล่าวมาแล้วได้. นอกจากนั้นก็ยังมีฮะดีษอีกหลายฮะดีษที่ชี้ว่าเมื่อทำความดีแล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้เช่นฮะดีษที่รายงานโดยดารุกุตนีว่า
:
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี
(ซ.ล) แล้วถามขึ้นว่า : ฉันมีบิดามารดาที่ฉันได้เคยปรนนิบัติเขาทั้งสองขณะที่เขาทั้งสองมีชีวิตอยู่
แล้วฉันจะทำความดีให้แก่เขาทั้งสองได้ไหมภายหลังจากเขาทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว
? ท่านนบี(ซ.ล)
ได้ตอบเขาว่า : " แท้จริงการทำความดีให้แก่บิดามารดาภายหลังจากตายไปแล้วคือการที่ท่านละหมาดให้แก่เขาทั้งสองพร้อมกับการละหมาดของท่าน
และท่านถือศีลอดให้แก่เขาทั้งสองพร้อมกับการถือศีลอดของท่าน "
..
และฮะดีษที่ดารุกุตนีได้รายงานไว้อีกเช่นกันจากอิหม่ามอะลี
(กัรร่อมั้ลลอฮุวัจฮะฮ์) จากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้กล่าวว่า :
"
ผู้ใดผ่านสุสานและเขาได้อ่าน "กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด"
สิบเอ็ดจบ แล้วยกผลบุญการอ่านให้แก่คนตาย เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับจำนวนคนตาย "
..
และฮะดีษที่รายงานจากท่านอะนัส
บุตร มาลิก (ร.ด) ว่า :
"
เขาได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล)ว่า : โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
: พวกเราจะทำทาน (ซอดาเกาะห์) แทนคนตายของพวกเราได้ไหม, และเราจะทำฮัจญ์แทนพวกเขา
และขอดุอาอ์ให้พวกเขาได้ไหม ? และผลบุญการทำเช่นนั้นจะไปถึงพวกเขาไหม ? ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
ตอบว่า : " ถูกแล้วมันจะไปถึงพวกเขา และความจริงพวกเขาจะดีใจกับสิ่งที่ได้รับ
เหมือนที่คนใดจากพวกท่านดีใจที่มีผู้นำถาดอาหารมามอบให้แก่เขาเป็นของขวัญ "
..
และฮะดีษที่ว่า
:
"
ท่านทั้งหลายจงอ่านซูเราะห์ยาซีนให้แก่คนตายของพวกท่าน " (รายงานโดย อะบูดาวูด)
ตัวบทเหล่านี้แม้จะมีตัวบทหลากหลายแต่มีเนื้อหาตรงกันที่ว่า" ผู้ใดที่ยกความดีของตนให้แก่ผู้อื่น ผลบุญของมันก็จะไปถึงผู้ที่ถูกยกให้
และอัลเลาะห์ก็จะให้เขาได้รับประโยชน์ด้วยความดีนั้น ".. ซึ่งเนื้อหาตรงจุดนี้ถึงขั้นเป็นมุตะวาติร (คือมีผู้รายงานมากในแต่ชั้นของสายรายงาน)
และในอัลกุรอานก็มีคำบัญชาจากอัลเลาะห์ให้ขอดุอาอ์แก่บิดามารดา
ดังปรากฏในคำดำรัสที่ว่า :
"
และท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันได้โปรดเมตตาบิดามาดา
เหมือนกับที่เขาทั้งสองได้ดูแลฉันมาตั้งแต่เยาวัย "
และอัลกุรอานยังได้บอกกล่าวถึงเรื่องที่มะลาอิกะห์วิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มีศรัทธา
ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาในซูเราะห์ ฆอฟิรว่า :
"
บรรดามะลาอิกะห์ที่แบกอะรัช (บัลลังก์)
ของอัลเลาะห์ และมะลาอิกะห์ที่อยู่รายรอบ อะรัชกล่าวถวายความบริสุธิ์
พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาลของพวกเขา และศรัทธาต่อพระองค์
และพวกเขาวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มีศรัทธาว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของเราความเมตตาและความรู้ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทุกสิ่ง
ขอได้โปรดอภัยโทษให้แก่พวกที่สำนึกผิด และปฏิบัติตามแนวทางของท่าน
และโปรดปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษในนรกที่ร้อนแรง ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา
และขอได้โปรดให้พวกเขาได้เข้าสู่สวรรค์ อัดน์ ซึ่งท่านได้สัญญาไว้กับพวกเขา
และแก่ผู้ที่มีคุณธรรมจากบรรพบุรุษของพวกเขา คู่ครองของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขา
แท้จริงท่านเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงหยั่งรู้
และได้โปรดปกป้องพวกเขาให้พ้นจากความชั่วร้าย
และผู้ใดที่ท่านปกป้องเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายในวันนั้น แน่นอนท่านก็ได้ให้ความเมตตาแก่เขาแล้ว
และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ "
(ฆอฟิร : 7-9)
ในซูเราะห์
อัชชูรอ อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :
"
และมวลมะลาอิกะห์ จะกล่าวถวายความบริสุธิ์
พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาลของพวกเขา
และวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ผู้ที่อยู่ในผืนแผ่นดิน พึงทราบเถิดว่าแท้จริงอัลเลาะห์นั้นพระองค์ทรงอภัยยิ่งอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
"
อายะห์เหล่านี้เป็นหลักฐานที่เด็ดขาดว่า
มีการได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้อื่น
ซึ่งขัดกับอายะห์ที่พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้ยกมาเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นท่านกามาล
บุตร ฮัมมาม ยังได้กล่าวอีกว่า : การที่เราสามารถหักล้างทรรศนะของพวกมัวะอ์ตะซิละห์ลงได้ด้วยหลักฐานที่นำมานั้น
มันก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธทรรศนะของชาฟิอีและมาลิกี (รอฮิมะฮุมั้ลลอฮ์)
ไปด้วยในที ซึ่งทรรศนะของอิหม่ามทั้งสองกล่าวว่า
ความดีที่เกี่ยวกับร่างกายนั้นจะยกให้ผู้อื่นไม่ได้ เพราะมีหลัก ฐานจากฮะดีษต่างๆ
ที่ได้กล่าวมาแล้วที่มีเนื้อความต้องกันว่าเมื่อทำความดีแล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้
...
และพวกมัวะอ์ตะซิละห์ยังได้ยกฮะดีษมาเป็นหลักฐานสนับสนุนทรรศนะของพวกเขาที่ว่าจะยกผลบุญของความดีที่ทำไว้ให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ด้วยฮะดีษที่ว่า
:
"
เมื่อมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของอาดัมเสียชีวิตลง
การทำความดีของเขาก็ขาดตอนลง ยกเว้นสามประการคือ การอุทิศถาวรวัตถุไว้ (วะกัฟ), หรือวิชาการที่มีประโยชน์, หรือบุตรที่มีคุณธรรมวิงวอนขอดุอาอ์ให้เขา " ...
พวกมัวะอ์ตะซิละห์กล่าวในการอ้างหลักฐานของพวกเขาว่า
: ท่านนบี (ซ.ล) บอกว่าคนตายจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เขาเป็นผู้ก่อไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
และสิ่งใดที่เขาไม่ได้ก่อไว้ มันก็ขาดตอนไปจากเขา.
การโต้ตอบพวกมัวะอ์ตะซิละห์
ในการนำเอาหะดีษนี้มาเป็นหลักฐานก็คือ : ท่านนบี (ซ.ล) ไม่ได้กล่าวว่า : การรับประโยชน์ของคนตายขาดตอนลง, แต่ท่านกล่าวว่า :
การทำความดีของเขาขาดตอนลง,
ส่วนการทำความดีของคนอื่น ก็ตกเป็นของผู้ที่กระทำ
ดังนั้นถ้าหากเขายกความดีนั้นให้แก่ผู้ตาย
ผลบุญจากความดีของผู้ที่ทำก็จะไปถึงคนตาย ซึ่งมันไม่ใช่ผลบุญจากการกระทำของคนตาย,
สิ่งที่ขาดตอนนั้นคือการกระทำของคนตาย เพราะเมื่อเขาตาย เขาจะทำความดีอะไรเองอีกไม่ได้แล้ว
ส่วนสิ่งที่ไปถึงคนตายนั้นคือผลบุญที่เกิดจากการกระทำของคนอื่นที่ยกให้เขา.
สรุปเรื่องการทำความดีแล้วยกผลบุญให้แก่คนตาย
มีสามมัซฮับ
1.มัซฮับฮานาฟี, ฮัมบาลี
และทรรศนะนักวิชาการของมัซฮับมาลิกีและชาฟิอีในยุคหลังที่มีความเห็นเหมือนกับมัซฮับฮานาฟี
และฮัมบาลี กล่าวว่า :
ผลบุญของความดีจากการกระทำของคนอื่นนั้นจะไปถึงคนตาย
โดยไม่คำนึงว่าความดีนั้นจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว
หรือเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอย่างเดียว
หรือเป็นอิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายและทรัพย์สิน.
2. มัซฮับมัซฮับมัวะอ์ตะซิละห์
กล่าวว่า :
ผลบุญไม่ถึงคนตายไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ประเภทใดก็ตาม.
3. มัซฮับมาลิกีและซาฟิอี ตามทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขา
ที่แยกรายละเอียดในเรื่องอิบาดะห์ โดยกล่าวว่า :
ถ้าหากเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว
ผลบุญของอิบาดะห์นั้นจะไม่ถึงคนตาย, แต่ถ้าหากอิบาดะห์นั้นเป็นประเภทที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว
หรือเป็นอิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างทรัพย์สินกับร่างกาย
ผลบุญของอิบาดะห์ประเภทนี้จะไปถึงคนตาย.
ส่วนแนวทางที่มีน้ำหนักและถูกเลือกว่าเป็นทรรศนะที่ดีคือ
มัซฮับที่หนึ่ง
เพราะมีหลักฐานที่มีน้ำหนักและแข็งแรงสนับสนุน .. และเป็นแนวทางที่ได้รับการปฏิบัติมาตั้งแต่ยุคของสะลัฟ (คือยุคของคนดีที่ท่านนบี (ซ.ล)
รับรองไว้เป็นเวลาสามร้อยปี) และได้ปฏิบัติมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้.
ข้อมูลจากหนังสือ : อัลฮะยาฮ์
อัลบัรซะคียะห์ ของมุฮำหมัด อับดุซซอฮิร คอลีฟะห์
โดยเรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น.
หารายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกในหนังสือ
อัลอะกีดะห์ อัตตอฮาวียะห์ ตั้งแต่หน้า
511 ถึงหน้า 518
0 ความคิดเห็น