ท่านศาสดา ณ เมืองมักกะฮ์.
03:06:00ท่านศาสดา ณ เมืองมักกะฮ์.
การพิชิตมักกะฮ์
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโอกาสให้ชนเผ่าคุซาอะฮฺสามารถประกาศตัวเจริญไมตรีเป็นพันธมิตรกับฝ่ายท่านศาสดามุหัมมัด
ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พวกกุร็อยซฺอย่างเงียบๆ และพยายามหาทางกลั่นแกล้งพวกเขาตลอดเวลา
ในคืนวันหนึ่ง ปลายปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช พวกกุร็อยซฺร่วมกับชนเผ่าบนูบักร์ซึ่งเป็นพันธมิตรของพวกเขาได้เข้าจู่โจมที่พักของเผ่าคุซาอะฮ
ฺที่ตำบลวาดิร และได้สังหารคนเหล่านั้นตายไปหลายคน ผู้แทนสี่สิบคนจากเผ่าคุซาอะฮฺ จึงเข้าพบท่านศาสดาและแจ้งข่าวให้ท่านทราบพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากท่าน
ท่านศาสดาจึงได้ส่งทูตสันติไปเจรจากับฝ่ายกุร็อยช์โดยมีข้อเสนอดังนี้
• พวกกุร็อยซฺและเผ่าบักร์จะต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่เผ่าคุซาอะฮฺตามสมควร
• พวกกุร็อยซฺต้องตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับชนเผ่าบนูบักร์ หรือ
• ประกาศว่าสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโมฆะ
พวกกุร็อยชฺเลือกข้อเสนอที่ 3 คือ ยกเลิกสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ
ถึงแม้ว่าต่อมาพวกเขาได้สำนึกผิด กระทำไปโดยไม่ได้คิดอย่างรอบคอบซึ่งอาจเกิดผลร้ายต่อพวกเขาในภายหน้า
พวกเขาได้ส่งท่านอบูซุฟยาน มาเจรจาต่อรองกับท่านศาสดาเพื่อให้สนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺมีผลใช้บังคับต่อ
แต่ก็ถูกท่านศาสดาปฏิเสธ หลังจากอบูซุฟยานเดินทางกลับยังนครมักกะฮฺอย่างผิดหวังแล้ว
ท่านนบีได้บอกให้ชาวมุสลิมทั้งหลายเตรียมตัวเดินทางไปยึดนครมักกะฮฺ เพื่อเป็นการลงโทษฝ่ายกุร็อยซฺฐานละเมิดสัญญา
ในเดือนรอมฎอน ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช
ท่านศาสดาได้เคลื่อนทัพซึ่งมีจำนวนพล 10,000 คน ไปยังนครมักกะฮฺ
เมื่อชาวมักกะฮฺเห็นกองทัพของฝ่ายมุสลิม ต่างก็ตกใจและเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เพราะว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะต่อสู้และต้านกองกำลังฝ่ายมุสลิมได้ ท่านศาสดาได้ประกาศให้ชาวมักกะฮฺอยู่ในความสงบ
ท่านต้องการพิชิตและเข้าสู่นครมักกะฮฺแห่งนี้ โดยสันติไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด และขอให้ทุกคนอยู่ในบ้านของตนเอง
หรืออยู่บริเวณลานกะอฺบะฮฺ หรือบริเวณบ้านของอบูซุฟยาน แล้วพวกเขาจะได้รับความปลอดภัยทุกประการ
ชัยชนะที่ฝ่ายมุสลิมได้รับต่อชาวมักกะฮฺในครั้งนี้ นำความปลาบปลื้มปิติยินดีมาสู่พวกมุสลิมเป็นอย่างมาก
สิบปีที่พวกเขาได้อพยพไปในครั้งนั้นได้กลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอย่างอบอุ่น
ศาสดาได้พำนักอยู่ที่มักกะฮฺเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ชาวมักกะฮฺต่างก็พากันเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก
เมื่อชาวมักกะฮฺเข้ารับอิสลามความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันก็หมดหายไป ถึงแม้ว่าท่านศาสดาและบรรดาสาวกของท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตาม
แต่เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงแต่ความเมตตาและอภัยโทษให้แก่พวกเขา การประนีประนอมเช่นนี้เป็นนโยบายของท่านศาสดาตลอดมา
และการพิชิตมักกะฮฺได้นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ของอิสลาม
การสู้รบที่หุนัยน์ (Hunayan)
หลังจากพิชิตมักกะฮฺ์ได้แล้ว และประกาศให้การอภัยแก่พวกมักกะฮฺนั้น สามารถเอาชนะบรรดาชาวมักกะฮฺเป็นจำนวนมาก
พวกเขาสามารถร่วมชีวิตกับชาวมุสลิมอย่างเท่าเทียมกันเมื่อพวกเขาเข้ารับอิสลาม อย่างไรก็ตามชาวอาหรับเข้ารับอิสลามมี 2 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ ลักษณะแรกนั้นเข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ
ส่วนลักษณะที่สองเข้ารับอิสลามเพราะเกรงกลัวอำนาจของชาวมุสลิม บรรดาเผ่าต่างๆ ที่อยู่ชานเมืองเมื่อทราบข่าวการยึดเมืองมักกะฮฺ
ของชาวมุสลิม ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวว่าชะตากรรมเช่นนี้อาจต้องประสบแก่พวกเขาในภายหน้า
ดังนั้นอาหรับเผ่าฮะวาซิน และเผ่าษะกีฟได้ร่วมตัวกันเพื่อที่จะต่อต้านฝ่ายมุสลิม พวกเขาประกาศเป็นศัตรูกับฝ่ายมุสลิมอย่างเปิดเผย
หัวหน้าของพวกเขาชื่อว่า มาลิก อิบนุ เอาฟ์ ได้รวบรวมกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิม
เมื่อท่านนบีทราบข่าวถึงการเคลื่อนไหวของเผ่าฮะวาซิน และบรรดาพันธมิตรของพวกเขา ท่านนบีจึงมีคำสั่งให้รีบเร่งเตรียมกำลังที่จะโจมตีข้าศึกโดยสามารถรวบรวมรี้พลได้จำนวน
12,000 คน และมีมุสลิมใหม่จากชาวมักกะฮฺร่วมสบทบอีก 2,000 คน ท่านนบีได้เคลื่อนทัพมุ่งสู่สถานที่ที่พวกเผ่าฮะวาซิน และพันธมิตรของพวกเขาตั้งค่ายอยู่
ในระหว่างเดินทัพไปสู่สถานที่พวกเขาอยู่นั้น ต้องผ่านชัยภูมิที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน
และต้องผ่านหุบเขาต่างๆ ชัยภูมิเช่นนี้ทำให้ข้าศึกได้เปรียบเหนือฝ่ายมุสลิมเป็นอย่างมาก
พวกเขาได้ดักโจมตีกองกำลังมุสลิม ทำให้กองทัพมุสลิมเกิดความโกลาหลอลหม่านอย่างฉับพลัน
และแตกกระจัดกระจายกันไป ฝ่ายมุสลิมต้องสูญเสียนักรบเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรดานักรบฝ่ายมุสลิมสามารถตั้งสติได้
พวกเขาได้รวบรวมกำลังใหม่และเข้าโจมตีข้าศึกอย่างไม่คิดชีวิต กองทัพฝ่ายศัตรูต้านการจู่โจมของฝ่ายมุสลิมไม่ได้จึงต้องถอยร่นหลบเข้าไปในป้อมปราการในนครฎออีฟอย่างรีบเร่ง
ป้อมปราการที่นครฎออีฟเป็นป้อมที่แข็งแรงและมั่นคงมาก ถึงแม้ว่าฝ่ายมุสลิมพยายามโหมโจมตีอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถตีป้อมปราการนั้นให้แตกได้
กองทัพมุสลิมได้ปิดล้อมป้อมเป็นเวลา 20 วัน ก็ไม่มีท่าที่ว่าจะชนะได้
เพราะว่าในป้อมปราการนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายและมีเสบียงอาหารที่อยู่ได้อีกนาน
ประกอบกับย่างเข้าฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์ ท่านนบีจึงมีคำสั่งให้ถอยทัพไว้ก่อนโดยที่ยังไม่สามารถบังคับให้ข้าศึกวางอาวุธได้
และท่านประกาศว่าจะทำสงครามกับเผ่าฮะวาซิน และพันธมิตรของพวกเขาใหม่เมื่อหมดฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์
ในสงครามครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมสามารถยึดทรัพย์สินสงครามได้เป็นจำนวนมาก กล่าวคือ
สามารถยึดอูฐได้ 24,000 ตัว แพะ 40,000 ตัว และทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนหนึ่ง
พร้อมกับสามารถจับเชลยศึกได้อีก 6,000 กว่าคน หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นาน
ชนเผ่าฮะวาซินได้ส่งตัวแทนเข้าไปพบกับท่านนบี พวกเขาได้ขออภัยต่อการกระทำของพวกเขา
และขอร้องให้ท่านนบีคืนทรัพย์สินสงครามและเชลยศึกของพวกเขาโดยที่พวกเขาพร้อมที่จะรับศาสนาอิสลาม
ท่านนบีก็ตกลงและรับข้อเสนอของพวกเขา ต่อมามาลิก อิบนุ เอาฟ์ หัวหน้าเผ่าษะกีฟในฎออีฟก็เดินทางมาพบกับท่านนบีและเข้ารับศาสนาอิสลาม
พร้อมกับแจ้งว่าชาวฎออีฟยินดีที่จะรับศาสนาอิสลาม
การสู้รบที่ตะบูค (Tabuk)
สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนระญับ ปีที่ 9 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช
ณ สถานที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่า ตะบูก สาเหตุของสงครามกล่าวคือ จักรพรรดิ ฮีราคลิอุส
(Heraclius) แห่งโรมันไม่พอใจกับอิทธิผลของศาสนาอิสลามที่ขยายอย่างรวดเร็วในแหลมอาราเบีย
พวกเขาได้เตรียมที่จะรุกรานเมืองมะดีนะฮฺ โดยรวบรวมกำลังพล 40,000 กว่าคน เมื่อข่าวนี้ทราบถึงท่านศาสดา ท่านจึงมีคำสั่งให้เตียม กำลังพลซึ่งรวบรวมได้
30,000 คน โดยที่ท่านนบีนำทัพไปเองสู่สถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าตะบูก เมื่อจักรพรรดิฮีราคลิอุสทราบข่าวการนำทัพของท่านนบี
ก็รู้สึกตื่นตระหนกและเลิกคิดที่จะบุกมะดีนะฮฺ พร้อมกับถอยทัพกลับไป หลังจากที่ท่านนบีพักอยู่ที่ตะบูคได้สองสามวันท่านก็ยกทัพกลับมะดีนะฮ
ฺอย่างปลอดภัย
ผลของสงครามตะบูคชี้ให้เห็นว่ากองทัพอิสลามไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้าและท้าอำนาจกับจักรพรรดิโรมันเลย
เมื่อกลับมาจากตะบูคแล้ว ก็ได้มีผู้แทนจากแคว้นใกล้ไกลมาแสดงความจงรักภักดีต่อท่านชาวอาหรับเผ่าแล้วเผ่าเล่าได้เข้ารับนับถืออิสลามเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย
ๆ
การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่านศาสดา
ในวันที่ 25 เดือนซุลเกาะอฺดะฮฺ ปีที่ 10 แห่ฮิจเราะฮฺศักราช ศาสดามุฮัมมัด ( ศ็อลฯ ) และบรรดาภรรยาของท่านได้ออกเดินทางไปมักกะฮฺติดตามด้วยประชาชนจำนวนราว
90,000 คน มุ่งสู่นครมักกะฮฺด้วยหัวใจที่ปลื้มปิติยินดีที่จะได้ประกอบพิธีฮัจญ์
และเมื่อเดินทางถึงซุลฮุลัยฟะฮ (Dhul Hulaifa) ในตอนสิ้นแสงตะวันพวกเขาได้ค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้สวมใส่ชุดอิหรอมเดินทางต่อไปยังมักกะฮฺในขณะที่ชาวมุสลิมเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์นั้น
อะลี อิบนุ อบีฎอลิบได้เดินทางกลับมาจากยะมันจึงได้เดินทางไปสมทบในพิธีฮัจญ์ด้วย
คำสอนครั้งสุดท้ายของศาสดามุฮัมมัด ( ศ็อลฯ )
ในวันที่ 8 ซุลฮิจญะฮศาสดามุหัมมัดและบรรดามุสลิมได้ไปพักอยู่ที่ตำบลมินาและค้างอยู่ที่นั่น
วันรุ่งขึ้นท่านได้ขึ้นอูฐเดินทางไปยังภูเขาอะรอฟะฮฺได้ตั้งกระโจมพักอยู่ที่นั่น ในตอนเที่ยงท่านได้เดินทางไปถึงภูเขานูร
ณ ที่นี้เองท่านได้นั่งบนหลังอูฐและเริ่มเทศนาสั่งสอนชาวมุสลิมด้วยเสียงอันดังโดยมี
เราะบีอะฮ อิบนุ อุมัยยะฮฺ อิบนุ เคาะลัฟ คอยพูดซ้ำทีละประโยค ศาสดาเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นพระเจ้าขอบคุณพระองค์แล้วท่านก็กล่าวสุนทรพจน์
ดังต่อไปนี้ :
“ โอ้ ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังคำพูดของฉันเพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะได้พบกับพวกท่านในโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไร
โอ้ท่านทั้งหลายชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดจะมาล่วงละเมิดมิได้
จนกว่าพวกท่านจะได้พบกับผู้อภิบาลเสมือนกับวันบริสุทธิ์นี้ และเดือนนี้เป็นเวลาที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่านและเมืองนี้ก็เป็นเมืองต้องห้ามสำหรับพวกท่านทั้งหลาย
พวกท่านทั้งหลายจะต้องได้รับการสอบสวนจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านในกิจการงานทุกอย่างที่พวกท่านได้กระทำไว้
โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรีและฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย
ดังนั้นพวกท่านจงได้ปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า
พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความศรัทธาเชื่อมั่นให้คงไว้ในจิตใจของพวกท่านและจงหลีกเลี่ยงออกห่างจากเรื่องบาปกรรมและความชั่ว
ดอกเบี้ยหรือการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับลูกหนี้ให้ส่งคืนเฉพาะเงินในจำนวนที่ยืมมาและเรื่องของดอกเบี้ยที่จำเป็นจะต้องถูกยกเลิกคือ
ดอกเบี้ยของอับบาส อิบนุ อบูฎอลิบ (Abbas Ibn Abutalib)
นับแต่นี้ต่อไปเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือดเช่นในสมัยของยุคป่าเถื่อนเป็นเรื่องต้องห้าม
การอาฆาต จองล้างตองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดลงเสียที เริ่มต้นด้วยเรื่องการฆาตกรรมของอิบนุเราะบีอะฮ
อิบนุ ฮาริษ (Ibn Rabia-hibn Harith )
โอ้ประชาชนทั้งหลายบรรดาข้าทาสคนใช้ของท่านที่อยู่ในความดูแลของพวกท่านนั้นจงเลี้ยงดูพวกเขาเช่นอาหารที่พวกท่านรับประทาน
และให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาด้วยเครื่องนุ่งห่มที่พวกท่านใช้ หากพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดชนิดที่ท่านไม่ปรารถนาที่จะอภัยให้พวกเขาก็จงแยกทางกับเขาเสียอย่าทำร้ายเฆี่ยนตีทำทารุณพวกเขา
เพราะเขาต่างก็เป็นบ่าวของพระองค์เช่นเดียวกับพวกเรา
โอ้ประชาชนทั้งหลายมารร้ายนั้นได้หมดสิ้นความหวังทั้งมวลที่จะได้รับการเคารพบูชาในดินแดนของพวกท่านแล้ว
แต่กระนั้นก็ตามมันยังเป็นห่วงที่จะกำหนดการกระทำอันต่ำต้อยของพวกท่านอยู่ เพราะฉะนั้นจงระวังมันไว้เถิด
เพื่อความปลอดภัยแห่งตัวท่านและศาสดาของท่าน
โอ้ ประชาชนทั้งหลายพวกท่านจงรำลึกและจดจำในสิ่งที่ฉันพูดพวกท่านต้องรำลึกเสมอว่ามุสลิมทุกคนนั้นมีฐานะเป็นพี่น้องกัน
พวกท่านทั้งหลายต่างมีความพอใจในสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่เรามีอยู่เสมอหน้ากัน
พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกันจงปกป้องตัวของท่านให้ห่างไกลจากความอยุติธรรมในทุกกรณี
ขอให้บุคคลที่อยู่ที่นี้จงนำสิ่งที่ได้ยินจากฉันไปบอกเล่าแก่บุคคลที่เขาไม่ได้มาอยู่
ณ ที่นี้เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่ได้รับการบอกเล่านั้นอาจมีความจดจำได้ดีกว่าบุคคลที่ได้ยินไปจากฉันโดยตรงก็เป็นได้
และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจเขาจะต้องไม่ให้ผู้ที่ไว้วางใจเขาต้องประสบความผิดหวัง
โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่าได้หันกลับไปต่อสู้เป็นศัตรูหลั่งเลือดกัน
เหมือนอย่างเช่นสมัยแห่งความโง่เขลา ดังที่ได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลายซึ่งหากพวกท่านยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว
ท่านทั้งหลายจะไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็นอันขาด สิ่งนั้นคืออัลกุรอาน และสุนนะฮของฉัน
โอ้ ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีพระองค์เดียว
ต้นตระกูลของพวกท่านก็สืบมาจากเชื้อสายเดียวกัน นั่นคืออาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ที่มีความยำเกรงมากกว่าเท่านั้น
โอ้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟังถ้อยคำของฉันให้ดี จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมนั้น
ย่อมเป็นพี่น้องกันและจงรู้เถิดว่า บรรดามุสลิม ก็คือภราดรภาพอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีสิ่งไดที่เป็นของพี่น้องมุสลิมด้วยกันจะเป็นของมุสลิมโดยถูกต้องนอกจากว่าเขาผู้นั้นจะให้โดยเต็มใจและไม่คิดมูลค่าเพราะฉะนั้นจงอย่ากระทำการอยุติธรรมต่อตัวของท่านเอง
โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ได้ประกาศสัจธรรมออกเผยแพร่แล้ว
โอ้องค์พระผู้อภิบาล ขอได้ทรงโปรดเป็นพยานให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ”
เมื่อศาสดาเสร็จจากการให้โอวาทครั้งนี้แล้ว ท่านได้ลงจากหลังอูฐ ซึ่งเป็นพาหนะของท่านเพื่อทำละหมาดซุฮร์
และท่านได้นมาซอัศร์ด้วย ท่านศาสดาได้สำนึกในพระเมตตาจากองค์พระผู้อภิบาลที่ได้ทรงประทานความดีงามอันมากมายให้แก่ตัวท่านและผลงานของท่านและได้ให้เกียรติต่อการเป็นศาสนทูตของท่าน
และท่านได้อ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลมาอิดะฮ อายะฮฺที่ 4 ซึ่งมีข้อความว่า
“ ในวันนี้ข้าได้ให้ศาสนาของข้าแก่พวกเจ้าไว้อย่างครบครัน ได้มอบกรุณาธิคุณของข้าให้แก่พวกเจ้าไว้อย่างครบถ้วน
และข้ายินดีเลือกเฟ้นให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้า ”
ท่านอบุบักร์เมื่อได้ยินท่านศาสดาอ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอานท่านก็เกิดความเข้าใจและทราบความหมายเป็นอย่างดีจากอายะฮที่นำมานี้เป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้าแล้วว่าท่านได้มาถึงช่วงปลายของชีวิต
อบูบักร์รู้สึกไม่สบายใจ ท่านได้แอบร้องไห้อยู่เงียบๆโอวาทของท่านแม้จะเป็นโอวาทที่สั้น
แต่เป็นสิ่งที่มีค่าบรรจุด้วยถ้อยคำตักเตือนที่ทรงคุณมหาศาลชาวมุสลิมเรียกสุนทรพจน์ครั้งนี้ว่า “ คำสั่งเสียครั้งสุดท้าย ”
ศาสดามุฮัมมัด ( ศ็อลฯ ) ได้ออกจากทุ่งอารอฟะฮไปค้างคืนที่มุซดะลีฟะฮในตอนเช้าท่านจึงเดินทางเข้าสู่มินา
เพื่อเตรียมตัวที่จะขว้างเสาหิน อันเป็นสัญญลักษณ์ของชัยฏอนมารร้าย เมื่อมาถึงกระโจมที่พักท่านได้ทำกุรบ่าน
การทำฮัจญ์ครั้งนี้บางครั้งมีผู้เรียกว่า “ การทำฮัจญ์อำลา
”( ฮัจญะตุลวะดาอฺ )” อันที่จริงนี่เป็นการทำฮัจญ์ใหญ่ครั้งเดียวของท่าน
ที่เรียกดังนี้เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านได้เห็นนครมักกะฮฺ
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์แล้ว ท่านก็ได้เดินทางกลับมายังมะดีนะฮฺ ปีนี้นับเป็นปีที่สิบเอ็ดของศักราชอิสลาม
ศาสดามุฮัมมัด ( ศ็อลฯ ) เริ่มมีอาการป่วยไข้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ
แต่ท่านก็ไม่ได้หยุดยั้งในการคิดใคร่ครวญหาทางปกป้องศาสนาอิลามให้พ้นจากภัยของศัตรู
เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่าชาวโรมันกำลังตระเตรียมกองทัพขนาดใหญ่เพื่อที่จะเข้าโจมตีแว่นแคว้นอาณาจักรของมุสลิมแถบชายแดนซีเรีย
ท่านได้ออกคำสั่งแต่งตั้งอุซซามะฮ ลูกชายของท่านซัยด์ ซึ่งขณะ นั้นอายุเพียง
20 ปีทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ นำกองทัพไปเผชิญหน้ากับทหารไบแซนไตน์
ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ อาการอ่อนเพลียและไข้ได้กำเริบสูงขึ้นและอาการเริ่มทรุดลงตามลำดับ
ท่านทราบดีว่าเวลาที่ท่านได้กลับไปสู่พระผู้อภิบาลได้ใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดท่านก็ได้เสียชีวิตในวันจันทร์ที่สิบสองของเดือนเราะบิอุลเอาวัลในปีที่สิบเอ็ดหลังจากปีฮิจญเราะห์
ตรงกับวันที่ 8 เดือนมิถุนายน ปี ค . ศ
.632 รวมอายุได้ 63 ปี
เมื่อข่าวศาสดาสิ้นชีวิตแพร่ขยายออกไปบรรดามุสลิมต่างเร่งรีบมายังมัสญิด
เพื่อมาสืบให้รู้แน่ชัดว่าข่าวที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นความจริงแค่ไหน เพราะไม่มีใครอยากเชื่อว่าศาสดาได้จากไปแล้ว
สหายคนสนิทของท่านและเป็นพ่อตาของท่านคือ อุมัร อิบนุ อัล ค็อฎฎ็อบตกตะลึงต่อข่าวนี้ท่านถึงกับชักดาบออกมาจากฝักพลางร้องประกาศว่าใครขืนพูดว่าศาสดาตายฉันจะตัดคอคนพูดทันที
ขณะที่เกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายกันอยู่นี้ สาวกของศาสดาคนหนึ่งได้รีบนำข่าวการสิ้นชีวิตไปแจ้งให้อบุบักร์
ท่านก็ได้รีบรุดมายังบ้านของท่านศาสดา ท่านได้ออกไปยืนอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของมัสญิดและได้ประกาศแก่ผู้ชุมนุมว่า
“ หากพวกท่านมีความเคารพต่อศาสดามุฮัมมัด อย่างจริงใจพึงรู้เถิดว่ามุหัมมัดได้สิ้นชีวิตแล้ว
แต่ถ้าหากท่านมีความเคารพบูชาต่อพระผู้เจ้าแล้วขอให้รู้เถิดว่าพระเจ้าทรงยั่งยืนไม่มีการดับสลาย
”
แล้วท่านอบูบักร์ก็ได้อัญเชิญคัมภีร์ อัล กุรอาน เพื่อประกาศให้บรรดาคนทั่วไป
ณ ที่นั้นได้รำลึกและเตือนสติว่า “ และมุฮัมมัดไม่ใช่อื่นใด
นอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีบรรดาศาสนทูตที่ได้ล่วงลับไปแล้วเป็นจำนวนมาก
ฉะนั้นหากว่าเขาได้ตายลงหรือถูกฆ่าตายพวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะหันกลับไปสู่ศาสนาเดิม
”
( อัลกุรอาน ซูเราะฮ อาลิอิมรอน อายะฮ 144)
เมื่อคำประกาศนี้สิ้นสุดลง บรรดามุสลิมก็ได้คลายความสับสนว้าวุ่นทั้งๆ
ที่พวกเขาก็ต่างเคยได้ยินโองการนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่อบูบักร์จะอัญเชิญมาเตือนกันพวกเขายอมรับไม่ได้ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของศาสดาในเวลากระทันหันและรวดเร็วโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน
มาบัดนี้พวกเขาไม่สงสัยอีกแล้วว่าศาสดาได้จากพวกเขาแล้วอย่างไม่มีวันกลับเช่นเดียวกับบรรดาศาสดาอื่นๆในอดีต
0 ความคิดเห็น