ท่านอุษมาน
01:54:00
ท่านอุษมาน
('Uthman).
(ฮศ.
24-36 / คศ. 644-656)
ชีวิตในเบื้องต้น
ท่านอุษมานถือกำเนิดเมื่อปีคศ.573
ในตระกูลกุร็อยช์แห่งเผ่าบนูอุมัยยะฮ์ ท่านเรียนการอ่านการเขียนมาตั้งแต่ในวัยเด็ก
เป็นคนซื่อสัตย์และโอบอ้อมอารี ท่านเป็นคนฐานะดีคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนในอารเบีย
อบูบักร์เป็นเพื่อนสนิทขอท่าน ท่านได้แต่งงานกับบุตรสาวของท่านศาสดาถึงสองคน
ท่านเข้ารับอิสลามเมื่ออายุ 34 ปี
เมื่อมุสลิมในมักกะฮ์ได้รับการกดขี่ข่มเหงอย่างมาก
ท่านศาสดาได้สั่งให้มุสลิมอพยพไปอยู่อบิสสิเนีย ท่านอุษมานกับภภรยาของท่านก็ได้อพยพไปด้วย
หลังจากนั้นอีกสองปีต่อมาท่านก็ได้กลับมายังมักกะฮ์และต่อมาก็ได้อพยพไปยังมะดีนะฮ์อีก
งานที่ทำเพื่อรับใช้อิสลาม
ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เสียสละเงินทองของท่านเพื่อประโยชน์ของอิสลามเป็นอย่างมาก
ท่านมีส่วนร่วมในสงครามอุฮุด และมีตำแหน่งในสมัยของท่านอบูบักร์และท่านอุมัร
เคาะลีฟะฮ์ทั้งสองท่านมักจะปรึกษาหารือท่านอุษมานในเรื่องต่างๆเสมอ
การเลือกตั้งท่านอุษมาน
เมื่อท่านอุมัรใกล้จะสิ้นชีวิต
ท่านได้ทิ้งเรืองการหาเคาะลีฟะฮ์สืบต่อไว้ให้สภาที่ปรึกษาอันประกอบด้วยท่านอะลี
อุษมาน ซัยด์ ฏ็อลฮะฮ์ ซุบัยร์และอับดุรเราะฮ์มาน บินเอาฟ์
แต่ในระหว่างท่านเหล่านั้นก็ไม่มีใครดีเด่นยิ่งหย่อนไปกว่าใครอย่างเด่นชัดเหมือนอย่างท่านอบูบักร์และท่านอุมัร
ฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะเลือกเอาท่านหนึ่งท่านใดเป็นเคาะลีฟะฮ์
ในขณะที่อุมัรยังมีชีวิตนั้นท่านได้หมายตาเอาไว้ว่าจะให้ อบูอุบัยดะฮ์บินญัรรอห์เป็นผู้สืบตำแหน่งต่อไป
แต่ท่านผู้นั้นก็ได้สิ้นชีวิตไปก่อน ผู้ที่ควรจะได้รับเลือกตั้งก็คือ
อับดุรเราะห์มาน แต่ท่านผู้นี้ก็ไม่เต็มใจที่จะรับภาระอันยิ่งใหญ่นี้
ในที่สุดก็เลือกได้ท่านอุษมานโดยคะแนนเสียงส่วนใหญ่
ในขณะนั้นฏ็อลฮะฮ์ไม่ได้อยู่ในมะดีนะฮ์ เมื่อฏ็อลฮะฮ์กลับมาท่านอุษมานก็ขอร้องให้ท่านรับตำแหน่งแทน
แต่เขาปฏิเสธ ดังนั้นท่านอุษมานจึงเป็นเคาะลีฟะฮ์ท่านที่ 3 แห่งอาณาจักรอิสลาม
การพิชิตหัวเมืองตะวันออก
เมื่อท่านอุมัรสิ้นชีวิตได้หกเดือน
กษัตริย์ยัซดิเกิร์ตแห่งเปอร์เชีย ซึ่งกำลังถูกเนรเทศได้ยุยงให้เกิดการกบฏขึ้นในประเทศ
ท่านอุษมานจึงได้ทำการปราบปรามกบฏลง
อาณาจักรเปอร์เชียอื่นๆก็ตกมาอยู่ใต้อำนาจของอิสลาม ผู้ครองนครอิสรัฟ กาบูล กัซนา
บัลค์ และเตอรกิสถาน ต่างก็ยอมอ่อนข้อแก่มุสลิม
เมืองต่างๆส่วนมากของคูราซานอย่างเช่น นิชาปูร์ ตุส และมาร์ฟ
ก็ตกมาอยู่ในมือของมุสลิมในปี คศ.650 หรือ ฮศ. 30
ท่านได้ขยายเขตแดนออกไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออกอย่างมากอีกด้วย
ซีเรียทั้งหมดก็ตกมาอยู่ในมือของมุอาวิยะฮ์ซึ่งท่านอุมัรได้มอบตำแหน่งให้เป็นผู้ครองแคว้นดามัสกัส
จักรพรรดิ์แห่งโรมได้จับตาดูดินแดนแห่งนี้ ฉะนั้นในปีที่สองที่ท่านอุษมานขึ้นเป็นเคาะลีฟะฮ์
มุอาวิยะฮ์จึงได้รับการขู่เข็ญจากกองทัพที่มาจากเอเซียไมเนอร์ซึ่งเขาไม่มีทางที่จะสู้ได้
ท่านอุษมานจึงส่งกองทัพไปช่วยจนมุอาวิยะฮ์สามารถเอาชนะพวกโรมันได้
และได้เลยไปตีเอเซียไมเนอร์มาได้ด้วย นอกจากนั้นเกาะไซปรัสก็ยังตกเป็นของมุสลิม
และประชาชนในเกาะไซปรัสก็ตกลงจะจ่ายค่าบรรณาการให้แก่มุสลิมเหมือนที่เคยจ่ายให้โรมันด้วย
การพิชิตด้านตะวันตก
มรณะกรรมของท่านอุมัรทำให้เกิดความปั่นป่วนจลาจลขึ้น
ชาวโรมันและชาวเปอร์เชียลุกขึ้นแข็งข้อต่อมุสลิม ในปีฮศ.26 หรือคศ.646
ทหารโรมันได้ยกทัพมายังเมืองอเล็กซานเดรียและยึดเมืองนั้นไว้ อัมร์
บินอาสซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนั้นได้ขับไล่ทหารโรมันออกไปและตีท่าเรือคืนมาได้
ในระหว่างนั้นได้เกิดการพิพาทขึ้นระหว่างอัมร์
กับอับดุลลอฮ์ซึ่งเป็นน้องเลี้ยงของท่านอุษมาน
ในเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับการบริหารท่านอุษมานได้ถอดอัมร์ออกจากตำแหน่งและตั้งอับดุลลอฮ์น้องเลี้ยงของท่านเป็นเจ้าเมืองแทน
ต่อมาในปี ฮศ.31หรือ คศ. 651 จักรพรรดิ์โรมันได้ส่งกองทัพเรือประกอบด้วยเรือ 500
ลำ มารุกรานอียิปต์ อับดุลลอฮ์ก็ยกกองทัพเรือของมุสลิมไปตีจนฝ่ายโรมันพ่ายแพ้
ดังนั้นมุสลิมจึงมีชื่อเสียงทางด้านกองทัพเรือด้วย อำนาจของมุสลิมเริ่มเพิ่มขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ
ข้อกล่าวหาท่านอุษมาน
ในระหว่างหกปีแรกของการเป็นเคาะลีฟะฮ์
ท่านอุษมานปกครองอย่างมีชื่อเสียงเป็นอย่างดี
และเป็นที่รักของฝ่ายกุร็อยช์มากกว่าท่านอุมัร
ท่านได้ชัยชนะในการรบหลายต่อหลายครั้ง เขตแดนของมุสลิมก็มีตั้งแตโมร็อคโคมาจนถึงกาบูล
แต่ในตอนหลังท่านได้ถูกกล่าวหาในหลายเรื่องซึ่งเราควรจะได้พิจารณาดังนี้
ข้อกล่าวหาว่าท่านได้ถอดถอนเจ้าเมืองผู้มีความสามารถออกเพื่อจะแต่งตั้งญาติของตนแทนนั้น
เป็นข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์ แต่ถ้าพิจารณากันอย่างยุติธรรมแล้วข้อกล่าวหานั้นก็หาความจริงอะไรไม่ได้เลย
ข้อกล่าวหาที่ว่าท่านแต่งตั้งมุอาวิยะฮ์เป็นผูปกครองซีเรียนั้น
ความจริงมุอาวิยะฮ์ได้รับแต่งตั้งอยู่ก่อนแล้วโดยท่านอุมัร
และดำรงตำแหน่งต่อมาจนถึงสมัยท่านอุษมาน ส่วนซะอ์ด์
ผู้พิชิตเปอร์เชียก็ได้รับการแต่งตั้งโดยท่านอุมัรเหมือนกัน แต่ถูกถอดถอนด้วยข้อกล่าวหาเล็กน้อย
และมุฆีเราะฮ์ได้เข้ามาแทนที่
แต่ท่านอุมัรได้แสดงความจำนงไว้ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิตว่า
ควรจะให้ซะอ์ด์กลับมารับตำแหน่งใหม่
ท่านอุษมานจึงได้แต่งตั้งให้ซะอ์ด์กลับเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อเกิดการพิพาทขึ้นระหว่างซะอ์ด์กับอิบนุมัสอูด
เจ้าหน้าที่กองคลังแห่งคูฟะฮ์นั้น ซะอ์ด์ก็ถูกถอดออกจากตำแหน่งอีก และวะลีด
บินอัฆบา ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน วะลีด
บินอัฆบานั้นเป็นญาติสนิทของท่านอุษมาน
แต่ท่านก็ได้แต่งตั้งเขาตั้งแต่ตอนต้นๆที่ท่านเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเคาะลีฟะฮ์ใหม่ๆ
ซึ่งตอนนั้นท่านยังไม่มีชื่อเสียงด่างพร้อยอะไร
และตอนที่วะลีดถูกกล่าวหาว่าดื่มเหล้า
เขาก็มิใช่แต่เพียงถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังถูกโบยตามกฏหมายอีกด้วย
ถ้าท่านอุษมานเป็นคนลำเอียงเข้าข้างญาติของท่านแล้ว
ท่านก็อาจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในเรื่องนี้เสียก็ได้ หลังจากวะลีด
บินอาสได้มาเป็นผู้ปกครองคูฟะฮ์แทนแต่ได้ทำผิดบางอย่าง อบูมูซาอัซอะรี
ซึ่งไม่ได้เป็นญาติกับท่านอุษมานก็ได้เป็นแทน เมื่อปีฮศ.34 หรือ คศ.654
บุคคลผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งโดยท่านอุมัร
แต่เมื่อประชาชนในบัศเราะฮ์กล่าวหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างฝ่ายกุร็อยช์ท่านอุษมานก็ถอดเขาออกจากตำแหน่ง
และแต่งตั้งคนที่ท่านเลือกเองแทน
ได้เกิดการจลาจลอย่างใหญ่โตขึ้นในอียิปต์ซึ่งอับดุลลอฮ์บินซะอ์ด์ได้รับแต่งตั้งแทนอัมร์
บินอาส บุคคลแรกนั้นเป็นน้องชายเลี้ยงของท่านอุษมาน
แต่เขาก็ได้ทำประโยชน์ให้แก่อิสลามเป็นอย่างมาก การที่เขาเอาชนะพวกโรมันได้และสร้างกองทัพเรือให้เข้มแข็งขึ้นนั้น
แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดและกล้าหาญ
และการที่ท่านอุษมานแต่งตั้งเขาก็ไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด
แต่เมื่อฝ่ายกบฏมาถึงเมืองมะดีนะฮ์ และต้องการให้ถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง
อับดุลลอฮ์บินซะอ์ด์ก็ยินยอมโดยดี และมุฮัมมัด บินอบูบักร์ก็ได้รับการแต่งตั้งแทน
ท่านอุษมานได้ถอดถอนผู้ปกครองเมืองหรือแคว้นคนเก่าๆออกก็จริง แต่ก็ทำไปโดยมีเหตุผล
แม้แต่ท่านอุมัรเองก็ยังต้องถอดถอนวีรบุรุษคนสำคัญๆออกเช่น คอลิด
มุฆีเราะฮ์และซะอ์ด์บินอบีวักกอสเป็นต้น ท่านต้องทำเช่นนั้นเพื่อประโยชน์ของอิสลามจึงไม่ควรสงสัยว่าท่านทำไปโดยไม่ซื่อสัตย์เลย
ข้อกล่าวหาต่อไปก็คือ
ท่านใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย
ท่านเอาเงินของรัฐไปให้ญาติของท่านและใช้จ่ายเงินกองคลังอย่างฟุ่มเฟือย
คำกล่าวหานี้ก็ไม่เป็นความจริงเพราะเป็นที่รู้กันว่า
ท่านอุษมานเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในอารเบีย
ท่านได้สละเงินทองมากมายให้แก่หนทางของอิสลามในสมัยของท่านศาสดา
เป็นคนที่เคยสละเงินทองจนกระทั่งเหลือเพียงอูฐสองตัว
ท่านได้ให้ทรัพย์หนึ่งในห้าที่ได้มาจากการสู้รบที่ทริโปลีแก่อับดุลลอฮ์บินอบีซัรฮ์
ก็เพราะท่านได้สัญญาไว้ว่าจะให้ถ้าเขาได้ชัยชนะมา แต่เมื่อมีผู้ร้องทุกข์ขึ้นท่านก็ได้ขอคืนมาจนหมด
นอกจากนั้นยังมีผู้กล่าวหาว่าเคาะลีฟะฮ์ได้สงวนทุ่งหญ้าไว้ใช้เองโดยไม่ยอมให้สาธารณชนเอาม้าและอูฐไปกินหญ้าในนั้น
ซึ่งคำสั่งนี้เป็นของท่านอุมัรและท่านอุษมานเป็นผู้ดำเนินการต่อมาเท่านั้น
คำกล่าวหาที่ว่าท่านได้สั่งเผาคัมภีร์อัลกุรอานนั้น
ความจริงเป็นเพราะสมัยนั้นอัลกุรอานยังไม่เป็นมาตรฐานจึงทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย
ท่านอุษมานคิดว่า
จำเป็นจะต้องทำให้เป็นมาตรฐานจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการให้รวบรวมข้อความที่แท้จริงขึ้นเป็นฉบับใหม่
และสั่งให้ทำลายฉบับที่ไม่แท้เสียให้หมด การกระทำของท่านได้รับการยกย่องชมเชยเป็นอย่างมาก
แต่ในระยะหลังท่านได้ถูกเข้าใจผิดในหลายข้อ
ศัตรูของท่านจึงโฆษณาชวนเชื่อว่าท่านเป็นผู้เผาทำลายอัลกุรอาน
สาเหตุของการแข็งข้อ
สาเหตุที่แท้จริงของการแข็งข้อและฆาตกรรมท่านอุษมานนั้นมีอยู่ดังนี้
ประการแรก
ในอาณาจักรอิสลามมีคนจำนวยนมากเข้ารับอิสลามโดยมิได้มีความจริงใจ
แต่ด้วยต้องการยศตำแหน่ง
เมื่อเขาทำผิดและถูกถอดออกจากยศตำแหน่งพวกเขาก็พยายามหาโอกาสทำร้ายเคาะลีฟะฮ์
ในจำนวนนี้มีอับดุลลอฮ์ บินสะบา ชาวยิว ยะมัน
ผู้มาเป็นมุสลิมเพื่อประโยชน์ของตนเอง ได้เป็นหัวหน้าในการยุยงให้พวกมุสลิมแข็งข้อต่อท่านอุษมาน
เมื่อเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองคูฟะฮ์ บัศเราะฮ์
และจากซีเรียตามลำดับเพราะการกระทำอันเป็นกบฏของเขา
เขาก็ไปอยู่อียิปต์และเริ่มยุยงให้ผู้คนเกลียดชังท่านอุษมาน
คนจำนวนมากหลงเชื่อคำพูดของเขาฉะนั้น ฝ่ายกบฏจึงมีกำลังเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังมีคนอีกหลายชาติที่เข้ารับอิสลามโดยยังมีความเกลียดชังมุสลิมอยู่ในใจ
เมื่อมีคนแข็งข้อต่ออิสลามคนเหล่านั้นก็เข้าข้างฝ่ายแข็งข้อทันที
ประการที่สอง
คือความเป็นปรปักษ์และแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในระหว่างตระกูลกุร็อยช์เอง
เช่นระหว่างพวกลูกหลานของฮาชิมกับลูกหลานของอุมัยยะ
ได้ทำให้พลังของท่านอุษมานอ่อนแอลง
เมื่ออำนาจของพวกอุมัยยะฮ์ชักจะเพิ่มขึ้นพวกฮาชิมก็ทนไม่ได้
ท่านเคาะลีฟะฮ์ได้ยกที่ดินที่อิรักแทนมักกะฮ์ให้แก่พวกกุร็อยช์ที่ออกจากมักกะฮ์ไปอยู่ซีเรีย
ฝ่ายปรปักษ์ก็ออกข่าวว่าท่านอุษมานเอาใจพวกกุร็อยช์จนพวกที่ไม่ชอบพวกกุร็อยช์โกรธเคือง
พวกฮาชิมก็สนับสนุนฝ่ายปรปักษ์ของท่าน
ประการที่สาม
บุคลิกลักษณะอันอ่อนแอของท่านอุษมานก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่ทำให้ท่านต้องประสบเคราะห์ร้าย
ท่านเป็นคนที่เรียบง่าย ใจบุญและมีเมตตา
ในวิกฤตการณ์ที่ต้องการผู้บริหารที่แข็งแกร่งแต่ท่านอุษมานขาดคุณสมบัติข้อนี้
ท่านเป็นคนดีเกินกว่าที่จะเชื่อว่าจะมีใครทำร้ายท่านได้
มีอยู่หลายครั้งที่ท่านยกโทษให้แก่ผู้ทำผิด
ความเมตตาเช่นนี้ยิ่งทำให้คนผิดยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น
จนกระทั่งกลายเป็นพลังอำนาจที่ไม่อาจจะปราบลงได้ง่ายๆ
คนกลุ่มต่างๆก็มีความเห็นต่างกันไป
แต่ทุกฝ่ายมีความต้องการร่วมอยู่อย่างหนึ่งคือต้องการถอดถอนท่านอุษมานและทำลายอำนาจของพวกอุมัยยะฮ์ลง
พวกเขารวมกันเดินขบวนมายังมะดีนะฮ์อย่างเป็นระเบียบและยื่นคำร้องต่อท่านอุษมานว่า
ท่านอุษมานได้สัญญาว่าจะแก้ไขความทุกข์ของประชาชน
แต่มัรวานที่ปรึกษาคนสำคัญของท่านได้ใช้อุบายสกปรกต่อพวกเขาโดยเขียนจดหมายไปถึงผู้ครองเมืองให้ฆ่าผู้แทนเหล่านั้นเสียในทันทีที่ไปถึง
เมื่อพวกที่แข็งข้อได้ขอร้องให้ถอดถอนเจ้าเมืองอียิปต์ออกจากตำแหน่งและขอให้แต่งตั้งมุฮัมมัด
บินอบูบักร์แทน ท่านเคาะลีฟะฮ์ก็ได้ส่งจดหมายแต่งตั้งให้แก่คนเหล่านั้นทันทีโดยไม่ได้ถามอะไรทั้งสิ้น
แต่คนเหล่นั้นยังไม่พอใจ พวกเขาเข้าล้อมมะดีนะฮ์ไว้แล้วร้องตะโกนว่า "แก้แค้น
แก้แค้น" เมื่อท่านอะลีถามถึงเหตุผล
พวกเขาก็ยื่นจดหมายของเคาะลีฟะฮ์ที่มีถึงผู้ครองนครอียิปต์ให้ดู
ในจดหมายนั้นเขียนว่าในทันทีที่คนเหล่านี้ถึงอียิปต์ให้ฆ่าเสียให้หมดและคำสั่งถอดถอนจากตำแหน่งนั้นเป็นโมฆะไป
ท่านเคาะลีฟะฮ์สาบานว่าท่านไม่ทราบเรื่องจดหมายนั้นเลยแต่คนเหล่านั้นก็ไม่ยอมเชื่อ
พวกเขากล่าวว่าท่านสมควรจะลาออกจากตำแหน่งเสียและขู่ว่าจะฆ่าท่านให้ตาย
ท่านเคาะลีฟะฮ์ได้ตอบว่า "อันความตายนั้นฉันไม่กลัวหรอก ฉันถือว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด
แต่ฉันจะไม่สู้กับพวกท่านเพราะถ้าฉันสู้ก็จะมีผู้ต่อสู้เพื่อฉันเป็นพันๆคน
แต่ฉันไม่อยากเห็นมุสลิมต้องหลั่งเลือด" พวกกบฏล้อมบ้านท่านไว้
และในขณะที่ท่านกำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ท่ามกลางคนในครอบครัวของท่าน
ชาวอียิปต์สองคนได้เข้ามาจับท่านและฆ่าท่านตายในวันที่ 17 มิถนายน คศ.656 นาอิละฮ์
ภริยาของท่านถูกตัดนิ้วขาดในขณะที่พยายามเข้าไปช่วยท่าน
การฆาตกรรมท่านอุษมานมีผลกระทบอย่างมากต่อประวัติศาสตร์อิสลาม
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรอิสลามซึ่งได้ถูกรักษามาโดยท่านเคาะลีฟะฮ์สองท่านแรกก็แตกสลายลง
เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในหมู่มุสลิม
สมัยของท่านอุษมาน
คงไม่มีใครปฏิเสธความจริงที่ว่า
การขยายอาณาจักรอิสลามให้กว้างขวางขึ้นนั้น
ส่วนมากแล้วเกิดขึ้นในสมัยของท่านอุษมาน ท่านได้ผนวกอัฟกานิสถาน
เตอรกิสถานและคูราซาน เข้าในอาณาจักรอิสลามด้วย ชาวโรมันถูกขับไล่ออกไป อาร์เมเนีย
อเซอร์ไบยาน และเอเซียไมเนอร์ก็ถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรอิสลาม
ในสมัยของท่านอุษมานนี่เองที่ได้เริ่มมีกองทัพเรือของมุสลิม
และกองทัพเรือนี้เองสามารถพิชิตเกาะไซปรัสได้
เมืองอเล็กซานเดรียก็ถูกยึดคืนมาได้จากพวกโรมัน และในที่สุดอำนาจของจักรพรรดิ์โรมันก็ถูกทำลายลง
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอิสลามรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยของท่านอุษมานนั่นเอง
การบริหารประเทศของท่านอุษมาน
ท่านได้เสียสละเงินทองของท่านอย่างมากมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
ในระยะหลังๆชีวิตของท่าน ท่านได้สละเงินทองทรัพย์สินทั้งหมดของท่านเพื่อประโยชน์ของประะเทศจนเหลือเพียงอูฐสองตัวเพื่อใช้เดินทางไปทำฮัจย์เท่านั้น
ท่านไม่ได้เปลี่ยนแปลงระบบบริหารใหม่ ยังคงรักษาสภาที่ปรึกษาเอาไว้
และเรื่องราวต่างๆก็ได้นำเข้ารับคำปรึกษาหารือจากสภาที่ปรึกษานี้
แผนงานทุกแผนกของรัฐเป็นไปเหมือนในสมัยของท่านอุมัร แผนกรายได้ของรัฐกำลังเฟื่องฟู
มีการสร้างอาคารหลายหลังรวมทั้งสะพาน ถนนหนทาง มัสญิด
และบ้านพักแขกซึ่งถูกสร้างขึ้นในส่วนต่างๆของอาณาจักร
ได้มีการสร้างเขื่อนใหญ่ขึ้นเพื่อป้องกันมะดีนะฮ์จากอุทกภัย
มัสญิดของท่านศาสดาก็ได้รับการขยายออกไปและสร้างใหม่ด้วยหิน ในมะดีนะฮ์ได้มีการจัดการให้มีน้ำใช้
บุคคลิกลักษณะของท่านอุษมาน
ท่านเป็นคนเที่ยงธรรมขยันขันแข็งและโอบอ้อมอารี
เป็นคนบริสุทธิ์ใจและซื่อสัตย์ ความสงบเสงี่ยมเป็นคุณสมบัติสำคัญของท่าน
ท่านศาสดาเองก็พอใจท่านอุษมานมาก
ถึงกับปรารภว่าถ้าท่านมีลูกสาวเหลืออยู่ก็จะยกให้เป็นภรรยาของท่านอุษมาน
ท่านมีทรัพย์สินมากมายแต่ยังพอใจแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเรียบๆ
และรับประทานอาหารง่ายๆ
ท่านสนใจในการรวบรวมส่วนต่างๆของอัลกุรอานเข้าเป็นเล่มเดียวกัน
ด้วยความรักในพี่น้องมุสลิมท่านจึงเสียสละชีวิตของท่านมากกว่าจะทำให้คนอื่นต้องเลือดตกยางออก
จึงนับได้ว่าท่านเป็นคนรักชาติอย่างแท้จริงและเป็นผู้ปกครองที่สุภาพอ่อนโยน
0 ความคิดเห็น