ภูมิหลังและกำเนิดของท่านศาสดา.
02:57:00
กำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ.) วงศ์กุร็อยช์ (Ouraysh)
เป็นสาขาที่มีชื่อเสียงของชาวอรับอิสมาอิลียะฮ์ (Ismailite) ฟิฮฺร์ (Fihr) เป็นคนที่มีอำนาจมากและสืบเชื้อสายมาจากอิสมาอีล
ชื่ออีกชื่อหนึ่งของฟิฮฺร์ คือ กุร็อยช์เพราะฉะนั้นวงศ์วานว่านเครือของเขาจึงเรียกว่า
พวกกุร็อยช์ ตามชื่อของเขาซึ่งเป็นต้นวงศ์ ในปี คศ.5
เชื้อสายคนหนึ่งของฟิฮฺร์ชื่อว่า กุศ็อยย์ (Qusayy) ได้รวมชนเผ่ากุร็อยช์ทั้งหมดเข้าด้วยกันและได้เข้าครอบครองแคว้นหิยาซรวมทั้งได้เข้าทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสถานกะอ์บะฮ์ด้วย
เมื่อกุศ็อยย์สิ้นชีวิตลงบุตรชายของเขาชื่ออับดุดดาร (Abd-ud-Dar)
ได้เป็นหัวหน้าเผ่ากุร็อยช์สืบต่อมาและเป็นผู้ปกครองแคว้นหิยาซ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองมักกะฮ์
เมื่อเขาสิ้นชีวิตลงแล้วก็ได้เกิดการแก่งแย่งกันในเรื่องการปกครอง
ระหว่างหลานปู่ของเขาที่ชื่ออับดุมมะนาฟ (Abd-manaf) ในที่สุดก็ได้ตกลงกันว่าให้อับดุชชัมส์
(Abd-Shams) ซึ่งเป็นบุตรชายของอับดุมะนาฟเป็นผู้ดูแลใน
ด้านการคลังพวกลูกหลานปู่ของอับดุดดารเป็นผู้ดูแลด้านการทหาร
แต่ต่อมาอับดุชชัมส์ได้มอบหน้าที่บริหารให้แก่ฮาชิม(Hashim) น้องชายของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะรับหน้าที่นี้
ฮาชิมเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอยู่ในอารเบียเพราะความกล้าหาญ และโอบอ้อมอารีของเขา
อุมัยยะฮ์ (Umayyah) บุตรของอับดุชชัมส์รู้สึกริษยาในอำนาจของน้าชายของตนเองจึงได้ทำการแข็งข้อแต่ก็ต้องแพ้ไปและถูกเนรเทศออกนอกประเทศไปเป็นเวลาสิบปี
ฮาชิมผู้เป็นปู่ทวดของท่านศาสดามุฮัมมัดนั้นสมรสกับสตรีนางหนึ่งจากเมืองมะดีนะฮ์และมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า
ชะบีฮฺ (Shabih) เมื่อฮาชิมสิ้นชีพลงน้องชายเขาคือมุฎเฎาะลิบ(Muttalib)
ได้พาชะบีฮฺไปที่มะดีนะฮ์ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และยุติธรรมของอับดุลมุฎเฎาะลิบ
ทำให้เขามีตำแหน่งและชื่อเสียงเป็นที่นับหน้าถือตาของชนเผ่ากุร็อยช์ แต่ฮัรบ์ (Harb)
ซึ่งเป็นบุตรชายของอุมัยยะฮ์ไม่ยอมรับนับถือเขาและทำการแข็งข้อไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจปกครองปกครองของอับดุลมุฎเฎาะลิบ
ผู้พิพากษาได้ตัดสิน ให้ฮัรบ์เป็นฝ่ายแพ้เช่นเดียวกับบิดาของเขา เพราะฉะนั้นความอิจฉาริษยา
ไม่ลงรอยกันในระหว่างลูกหลานของฮาชิมและลูกหลานของอุมัยยะฮ์
จึงได้เกิดขึ้นซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างสองตระกูลนี้ในรุ่นต่อๆมาก็เนื่องมาจากความไม่ลงรอยกันในอดีตนี้ด้วยประการหนึ่ง
อับดุลมุฎเฎาะลิบ ขณะนั้นอายุล่วงเข้าวัยชราเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว
เขามีบุตรชายและบุตรสาวหลายคน
ในขณะที่เขาปกครองแคว้นหิยาชอยู่นั้นอับเราะฮฺฮะ (Abrahah)
หัวหน้าชาวยะมันซึ่งเป็นคริสเตียนได้ยกทัพมารุกรานมักกะฮ์และสถานกะบะฮ์
ตอนที่กรีฑาทัพมายังมักกะฮ์ครั้งนั้นอับเราะฮฺฮะได้ใช้ช้างมาก่อนจึงพากันตื่นเต้นและเรียกปีแห่งการรุกรานคราวนั้น
(คศ.570) ว่าปีช้าง
กองทัพของอับเราะฮฺฮะส่วนหนึ่งถูกทำลายโดยโรคระบาดและอีกส่วนหนึ่งโดยพายุฝนและพายุลูกเห็บ
ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์อับดุลมุฎเฏาะลิบได้พาบุตรชายคนสุดท้องของเขาคืออับดุลลอฮฺ(Abdul-lah)
ไปยังบ้านของวะฮฮาบ (Wahhab) หัวหน้า(clan)
ของลูกหลานของซอเราะฮและได้ทำการสมรสอับดุลลอฮฺกับอามีนะฮ
บุตรสาวของวะฮฮาบอับดุลลอฮฺอยู่กับอามีนะฮฺที่บ้านบิดาของนางได้เพียงสามวันก็จากไปโดยเดินทางไปทำการค้าที่ซีเรียตอนขากลับเขาล้มป่วยลงที่เมืองมะนีดะฮ์
และสิ้นชีวิตที่นั่นทิ้งอูฐห้าตัวแพะฝูงหนึ่งกับอุมมุอัยมันเด็กหญิงทาสคนหนึ่งไว้ให้เป็นมรดกแก่บุตรชายของเขาซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในครรภ์
กำเนิดของท่านศาสดามุฮัมมัดและชีวิตปฐมวัย
อามีนะฮฺผู้ตกเป็นหม้ายได้ให้กำเนิดบุตรชายในวันจันทร์ที่ 12
เดือนเราะบีอุลเอาวัล คศ.570 ปู่ของเขาได้ตั้งชื่อให้ว่ามุฮัมมัดและแม่ให้ชื่อว่าอะห์มัด
(Muhmmad-Ahmad) ทั้งสองชื่อนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์อัลกรุอาน
ผู้ที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูทารกก็คือนางฮะลีมะฮฺ (Halimah)
หญิงในวงศ์วานลูกหลานของสะอ์ด (Sa`d) ตามธรรมเนียมนิยมของชาวอาหรับในขณะนั้น
มุฮัมมัดไปอยู่กับพี่เลี้ยงท่ามกลางพรรคพวกของนางเป็นเวลาห้าปี
ในระหว่างนี้ท่านได้เรียนรู้ภาษาอาหรับ(อฺรับ)ชนิดที่บริสุทธ์ที่สุดจากผู้คนเหล่านั้น
เมื่อมีอายุได้หกขวบมุฮัมมัดก็ถูกส่งตัวกลับมาให้มารดาเลี้ยงดูต่อไป
มารดาต้องการจะพาบุตรชายไปให้รู้จักกับญาติทางมารดา จึงได้ออกเดินทางไปมะดีนะฮ์
โดยมีทาสหญิงของนางติดตามไปด้วย
ขากลับมามักกะฮ์ขณะเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งมานามว่าอัลอับวา (Al-Abwa)
นางอามีนะฮฺล้มเจ็บลงและสิ้นชีวิตหลังจากนั้นอุมมุอัยมัน
ทาสหญิงผู้ภักดีก็พาเด็กน้อยกำพร้าบิดามารดากลับมายังมักกะฮ์
อับดุลมุฏเฏาะลิบผู้เป็นปู่ได้เป็นผู้เลี้ยงดูมุฮัมมัด ต่อมาแค่เพียงสองปีเท่านั้นผู้เป็นปู่ก็ถึงแก่กรรมลงอีก
ฉะนั้นมุฮัมมัดจึงเป็นกำพร้าทั้งพ่อแม่และปู่ตั้งแต่อายุยังน้อย
หลังจากนั้นหน้าที่เลี้ยงดูมุฮัมมัดก็ตกเป็นของอบูฎอลิบ (Abu
Talib) ผู้เป็นลุง ซึ่งรักเอ็นดูหลานชายอย่างยิ่ง
จนกระทั่งมุฮัมมัดเติบใหญ่ เนื่องจากลุงของท่านไม่ใช่คนร่ำรวย
มุฮัมมัดจึงต้องทำงานโดยพาฝูงแกะและอูฐไปเลี้ยงตามเนินเขา และหุบเขาใกล้ๆ
มุฮัมมัดมีนิสัยเมตตากรุณาต่อคนยากจน และผู้มีทุกข์มาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนชอบอยู่อย่างสงบ รักการคิดใคร่ครวญ
ผู้คนในเผ่าเดียวกันต่างรักใคร่และให้เกียรติ เพราะเขามีนิสัยอ่อนโยนมีอัธยาศัยไมตรี
การที่เขาถือความซื่อสัตย์อย่างเข้มงวดและมีความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่งซื่อตรงต่อหน้าที่อย่างไม่สะทกสท้านนั้นทำให้มุฮัมมัด
ได้รับขนานนาม ว่า อัลอามีน (Al-Amin) ซึ่งแปลว่าผู้ควรแก่การเชื่อถือ
เมื่ออายุได้สิบสองปีมุฮัมมัด ได้เดินทางไปค้าขายที่ซีเรียกับลุงและที่ซีเรียนี่เอง
ท่านได้พบกับนักบุญคริสเตียนคนหนึ่งมีชื่อว่า บุฮัยรอ (Buhaira)
ซึ่งได้ทำนายมุฮัมมัดว่าจะเป็นศาสดาท่านสุดท้ายและกล่าวถึงด้วยความยกย่อง
ในระหว่างที่มีงานออกร้านอุกาซได้เกิดการสู้รบกันขึ้น
ทุกเผ่าในอารเบียได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้
มุฮัมมัดได้ช่วยเหลือลุงของเขาด้วยโดยการคอยเก็บลูกธนูที่ฝ่ายข้าศึกยิงมาไปให้อบูฎอลิบผู้เป็นลุง
เขาได้แลเห็นว่าสงครามนี้ได้ทำลายชีวิตคนนับจำนวนพัน
มุฮัมมัดจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการสงบศึกคณะหนึ่งเรียกว่า ฮาลฟุลฟูซุล (Halful
Fuzul) โดยได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากคนหนุ่มที่แข็งแรงกลุ่มหนึ่ง
จุดประสงค์ของคณะกรรมการนี้ก็เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและระเบียบและเพื่อสร้างมิตรไมตรีกันระหว่างเผ่าต่างๆในเมืองมักกะฮ์
0 ความคิดเห็น