7.นบีลูต (อ.ล)

12:12:00

นบีลูต (.)

ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่งผู้ทรงกรุณายิ่ง

มนุษย์ประกอบด้วยเรือนร่างและวิญญาณ
วิญญานที่ปราศจากเรือนร่าง พวกเราก็ไม่อาจรู้จักตัวตนได้ เพราะวิญญาณเป็นเป็นสิ่งเร้นลับที่อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเพียงผู้เดียวเท่านั้นทราบ ส่วนเรือนร่างที่ปราศจากวิญญาณ ก็เป็นเรือนร่างที่ไม่ไหวติง ไม่มีชีวิต และไม่มีคุณค่าใดๆ.

และมนุษย์อีกเช่นเดียวกัน ถ้าหากปราศจากความสะอาดและความบริสุทธิ์ ก็จะดำเนินชีวิตไปเยี่ยงสัตว์ ไม่มีศักดิ์ศรี และไม่มีเกียรติของความเป็นมนุษย์ ตามที่อัลเลาะห์ได้ยกย่องและให้เกียรติ และเมื่อมนุษย์ดำเนินชีวิตไปอย่างไร้ความสะอาดและความบริสุทธิ์ จิตใจก็จะกระเจิดกระเจิง วิญญาณก็จะอ่อนแอ. ความสะอาดจึงเป็นหลักสำคัญของมนุษย์ผู้ประเสริฐ  และความบริสุทธิ์คือแนวทางนำมนุษย์ไปสู่ความสุขของจิตใจ และความปลอดภัยของเรือนร่าง.

ความสะอาดมิได้หมายถึงความสะอาดทางด้านร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว ด้วยการอาบน้ำ การอาบน้ำละหมาด และด้วยการชำระล้างร่างกายอย่างที่ทราบกัน แต่ความสะอาดที่แท้จริงคือความสะอาดของวิญญาณ และจิตใจซึ่งเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ทุกสิ่งที่เป็นคุณค่าของความสะอาดและบริสุทธิ์.


ชีวประวัติเรื่องนี้ของเรา เป็นเรื่องของความสะอาดบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์ ที่ท่านนบีลูต (.) เชิญชวนและเรียกร้องไปสู่มัน.


อัลเลาะห์ได้แต่งตั้งนบีลูตมาเพื่อต่อสู้กับความเบี่ยงเบน และพฤติกรรมที่ผิดธรรมชาติ, และเพื่อให้เขาประกาศเชิญชวนสู่การดำเนินชีวิตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ดังนั้นคำประกาศเชิญชวนของท่านนบีลูตจึงเน้นไปที่ความสะอาดและความบริสุทธิ์ล้วนๆ.



วงค์ตระกูลของนบีลูต (.)


นบีลูต เป็นบุตรของ ฮารอน เขาจึงมีศักดิ์เป็นลูกของน้องชายนบีอิบรอฮีม (.นบีลูต เป็นผู้เดียวที่ศรัทธาว่าอิบรอฮีมเป็นศาสนทูต ภายหลังจากอิบรอฮีมรอดพ้นออกมาจากกองไฟ อย่างปลอดภัย โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย.

เขาศรัทธาต่ออิบรอฮีม (.) และได้รับการแนะนำสู่แนวทางที่ถูกต้องจากอิบรอฮีม และเขาได้อพยพไปยัง ชาม พร้อมกับอิบรอฮีม และได้อพยพติดตามอิบรอฮีมไปยังอัยิปต์อีกด้วย, และลูต ได้เดินทางกลับไปยังชามอีกเป็นครั้งที่สองพร้อมกับอิบรอฮีม. กษัตริย์ของอียิปต์โปรดปรานลูตมาก และได้มอบทรัพย์สินและปศุสัตว์ให้แก่เขาเป็นจำนวนมาก และอัลเลาะห์ก็ปรานีเขาให้ได้รับสิ่งที่ดีต่างๆ มากมาย.

ลูต ได้แยกทางกับอิบรอฮีม เพื่อทำหน้าที่ประกาศและเผยแพร่ศาสนาต่อไปในเขต สะดูม ภายหลังจากอัลเลาะห์ได้แต่งตั้งเขาให้เป็นนบีและศาสนทูตแล้ว.

อัลเลาะห์ได้แต่งตั้งลูตให้เป็นศาสนทูต ทำหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่การให้เอกภาพแก่อัลเลาะห์ และใช้ประชาชนของเขาให้เคารพสักการะอัลเลาะห์แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับพระองค์  อัลเลาะห์ได้แต่งตั้งเขาให้ไปทำหน้าที่กับชาวเมืองสะดูม ซึ่งปัจจุบันเมืองนี้อยู่ในประเทศจอร์แดน  ชาวเมืองนี้เป็นพวกที่ไม่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ทำบาป  ทำสิ่งที่น่าบัดสี ปล้นสดมภ์คนเดินทางที่ผ่านไปมา กระทำการอนาจารต่อพวกเขาเหล่านั้น และกระสิ่งที่ชั่วร้ายเลวทรามอย่างเปิดเผย โดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด หรือผู้ใดทั้งสิ้น  พวกเขามีความคิดที่ผิดๆ ในการกระทำการชั่วร้ายเหล่านี้ มีหลักศรัทธาที่เหลวไหล มีพฤติกรรมที่เลวร้าย เพราะพวกเขาไม่มีความรู้สึกกระดากอายแต่อย่างใดที่ได้กระทำความชั่ว และไม่รู้สึกขวยเขินที่จะกระทำอนาจารต่อหน้าผู้คนและท่ามกลางสายตาของพวกเขา.

ความเลวทรามของชาวเมืองสะดูม


ชาวเมืองสะดูม จะเฝ้าคอยการมาของพวกพ่อค้าที่นำสินค้ามาขายในเมืองของพวกตน เมื่อพวกพ่อค้ามาถึงพวกเขาก็จะเข้ารุมล้อม และช่วยกันหยิบสินค้าไปคนละชิ้น

สองชิ้นจนหมดเกลี้ยง และนำไปแจกจ่ายกันจนทั่วถึง แล้วก็พากันกลับไป โดยไม่ได้จ่ายราคาสินค้าเลย  ส่วนพ่อค้าก็จะโศกเศร้าเสียใจร้องไห้ ไม่รู้จะทำประการใด และเขาก็จะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จะมีชาวเมืองคนหนึ่งมาหาแล้วคืนสิ่งของที่หยิบเอาไป จากเขาและใช้มือลูบหลังแล้วพูดปลอบใจว่า :

เพื่อนรักท่านทำทุกวิถีทางเลยหรือ สำหรับของเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันได้เอาไปจากท่าน  ท่านจงรับคืนไปเถิด นี่คือสิ่งที่ฉันได้เอาไปจากท่าน และอย่าโศกเศร้าเลย.

เขาได้คืนสิ่งของที่เอาไปให้แก่พ่อค้า ซึ่งเป็นจำนวนเล็กน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าที่พ่อค้าได้นำมาอย่างมากมาย, พ่อค้าคิดถึงความมีน้ำใจของชายคนนี้  เขามองดูสิ่งของเล็กน้อยที่ชายคนนี้นำมาคืน พร้อมยืนยันกับตัวเองว่าสินค้าเล็กน้อยที่ได้คืนมานี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย เพราะมันไม่มีค่าสำหรับเขาเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้ามากมายของเขาที่ถูกขโมยไป เขาจึงกล่าวแก่ชายคนนั้นว่า :
สิ่งที่ท่านนำมาคืนคงไม่มีประโยชน์อะไรกับฉัน เพราะสินค้าของฉันทั้งหมดมันหายไปแล้ว ขอบคุณท่านมากที่มีน้ำใจนำมาคืน.

ไม่นานนักก็มีคนนำของที่ขโมยไปมาคืนให้เขาอีก ด้วยวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมอย่างเดียวกัน จนในที่สุดพ่อค้าก็ยอมยกของที่เขาขโมยไปแล้วนำมาคืนเพียงเล็กน้อยให้แก่เขาไป.

ชาวเมืองสะดูม ที่ได้หยิบฉวยสินค้าของเขาไปต่างได้ทยอยนำสินค้ามาคืนให้แก่เขา จนในที่สุดเขาก็ยอมยกสิ่งที่นำมาคืนให้แก่ทุกรายไป เพราะมันมีจำนวนเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรสำหรับเขา ด้วยเหตุนี้พ่อค้าจึงสูญเสียสินค้าของเขาไปทั้งหมด เขาเดินทางกลับออกไปจากเมืองสะดูม อย่างโศกเศร้าเสียใจ เพราะขาดทุนอย่างย่อยยับจากการเดินทางนำสินค้ามาขายในเมืองนี้.

ยังจะมีอะไรที่เลวทรามยิ่งไปกว่าการใช้เล่ห์เหลี่ยมคดโกงเอาทรัพย์สินจากเพื่อนมนุษย์อีกไหม ?

มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า    ซาเราะห์ ภรรยาของท่านนบีอิบรอฮีม (.) ได้ส่ง     " ละอาซัร ซึ่งเป็นทาสอาวุโสของอิบรอฮีม (.) เพื่อนำสารไปมอบให้แก่นบีลูต (.) เมื่อละอาซัรเดินทางเข้าสู่เมืองสะดูมนั้นมีชาวเมืองคนหนึ่งเห็นเขา และพบว่าเขาไม่ได้นำสินค้าใดๆ มาด้วย และไม่ได้ทำการค้าใดๆ เลย   ชาวเมืองคนนั้นจึงคิดว่าเขาจะทำอย่างไรกับชายคนนี้ เพื่อเอาทรัพย์สินจากเขา ?  
ชาวเมืองคนนั้นจึงไปหยิบหินมาก้อนหนึ่ง แล้วนำไปขว้างใส่เขาโดนที่ศีรษะเลือดไหลอาบ ละอาซัร หันไปมองดูว่าใครเป็นคนขว้างเขาด้วยก้อนหิน เขาก็พบว่าชาวเมืองสะดูมคนนั้นกำลังตรงมาหาเขา พร้อมกับพูดขึ้นว่า :
ฉันเป็นคนขว้างท่านด้วยก้อนหิน และทำให้เลือดท่านไหล.
 ละอาซัรถามเขาว่า ทำไมท่านจึงทำกับฉันอย่างนี้  ฉันทำอะไรให้ท่านโกรธเคืองหรือ ?
 ชาวเมืองสะดูม พูดกับเขาว่า : เพราะฉันจะได้รับค่าจ้าง ที่ฉันได้กระทำกับท่านอย่างนี้ จนเลือดไหล.
ละอาซัร โกรธ  พร้อมกับพูดขึ้นว่า :
การใช้ก้อนหินปาหัวคนจนเลือดไหล  สมควรเป็นงานที่ได้รับค่าจ้างตอบแทนอย่างนั้นหรือ ? เป็นเรื่องประหลาดมาก.

ละอาซัร กับชาวเมืองสะดูมคนนั้นได้โต้เถียงกัน  จนมีผู้คนเข้ามาห้อมล้อมคนทั้งสองมากมาย ละอาซัรจึงถามคนเหล่านั้นว่า :

ชายคนนี้ ขว้างหัวฉันแตกด้วยก้อนหิน เลือดไหล แล้วยังจะมาขอค่าจ้างที่เขาทำกับฉันอย่างนี้อีก มันรับกับสติปัญญาหรือ ?

ละอาซัร ทาสของอิบรอฮีม ได้นำตัวชายคนนั้นไปหาผู้พิพากษาของเมืองสะดูม และผู้พิพากษาก็เป็นชาวเมืองสะดูมเช่นเดียวกัน, เขาได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดให้ผู้พิพากษาฟัง, และเมื่อผู้พิพากษาได้รับฟังข้ออ้างของชาวเมืองสะดูมที่เป็นคนขว้างจบลง เขาก็ได้ประกาศคำตัดสินโดยกล่าวว่า :

เราขอตัดสินว่า ละอาซัร ท่านจะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ชายชาวเมืองสะดูม ที่เขาได้ทำให้หัวท่านแตกและทำให้เลือดท่านไหล.

ละอาซัร ทาสของอิบรอฮีมประหลาดใจในคำตัดสินที่แปลกพิสดารนี้  ความถูกต้องกลายเป็นความผิดได้อย่างไร ผู้ถูกทำร้ายต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่ผู้ที่ทำร้ายเขาได้อย่างไรกัน !! ..


ทันใดนั้นละอาซัร ก็คิดได้ว่าจะจ่ายค่าจ้างให้แก่ชายชาวเมืองสะดูมอย่างยุติธรรมได้อย่างไร  เขาคว้าก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วขว้างมันไปที่ศีรษะของผู้พิพากษา มันได้ทำให้ศีรษะเขาแตก และมีเลือดไหลโทรมละอาซัร ได้กล่าวแก่ผู้พิพากษาว่า :

ค่าจ้างที่ฉันจะได้รับจากท่านที่ทำให้ศีรษะท่านแตกและเลือดไหลนั้น  ขอให้ท่านจงจ่ายค่าจ้างนั้นแก่ชายชาวเมืองสะดูมเถิดเพื่อเป็นค่าจ้างที่เขาทำให้หัวฉันแตกและเลือดไหล.
ละอาซัร เดินออกมาจากสถานที่ตัดสินนั้นอย่างมีความสุขที่ได้แก้แค้นชาวเมืองสะดูม และการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเขาได้เป็นผลสำเร็จ.

ความชั่วช้าเลวทรามอีกอย่างหนึ่งของชาวเมืองสะดูมก็คือการที่พวกเขามีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกันที่เรียกพฤติกรรมนี้ว่า " ลิวาต " ภายในสโมสรที่พวกเขาร่วมกันจัดขึ้นเรียกว่าสโมสรแห่งความชั่วร้าย  พวกเขาจะหมกหมุ่นอยู่กับเพศชายด้วยกัน ไม่ข้องแวะกับสตรีเพศ จึงทำให้ประชากรของเมืองสะดูมลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนหมดสิ้น นี่เป็นความเมตตาของอัลเลาะห์ที่มีต่อชาวโลกด้วยประการหนึ่ง.

สารของลูต (.)

นบีลูต (.) เข้าสู่เมืองสะดูม และได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเมืองนั้นพร้อมด้วยภรรยาและบุตรีทั้งสองคนของเขา.

ที่นั่นเขาพบว่าความชั่วช้าเลวทรามได้แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งภูมิภาคที่รายล้อมอยู่รอบเมืองสะดูม ซึ่งประกอบด้วยสี่เมืองใหญ่ๆ คือ ซอบอะห์, ซัวะอ์รอ, อุม่ารอ และดูมา.
ลูตประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นกระทำ พวกเขาสมสู่กันระหว่างเพศชายกับเพศชายได้อย่าไร  โดยปล่อยสตรีเพศที่อัลเลาะห์ได้สร้างขึ้นมาให้เป็นคู่ครองของเพศชาย อันจะเป็นเหตุให้มีความสุขความสำราญในการดำเนินชีวิต และเป็นหนทางในการสืบเผ่าพันธุ์ และความคงอยู่ของมนุษยชาติ.

ลูต รู้ว่าชาวเมืองสะดูมเป็นพวกที่ชั่วร้าย และบ่อนทำลายบนหน้าแผ่นดิน พวกเขาปล้นสดมภ์คนเดินทาง ยื้อแย่งเอาทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์มาเป็นของตนเอง ไม่มี


ความอาย และไม่หลบหลีกสิ่งที่ชั่วช้าเลวทราม  ไม่ปรารถนาความดีใดๆ คิดประดิษฐ์ความเลวทรามที่ยังไม่เคยมีผู้ใดในโลกกระทำมาก่อน.

นบีลูต ได้ประกาศเชิญชวนพวกพ้องของเขาให้สักการะอัลเลาะห์องค์เดียว ไม่นำสิ่งใดมาตั้งภาคีกับพระองค์ เขาห้ามพวกพ้องของเขาจากการกระทำความชั่ว เพราะอัลเลาะห์ ได้ห้ามบ่าวทั้งหลายของพระองค์ เช่นการปล้นสดมภ์คนเดินทาง  กระทำสิ่งที่น่าบัดสี และสมสู่เพศชายด้วยกัน.

ลูต (.) ได้ตักเตือนพวกพ้องของเขาชาวเมืองสะดูม ให้แต่งานกับสตรี เพื่อทำให้แนวทางของอัลเลาะห์ในจักรวาลนี้สมบูรณ์และเตือนพวกเขาให้ตระหนักถึงการลงโทษของอัลเลาะห์ว่าร้ายแรงยิ่งนัก  และยังได้กระตุ้นให้พวกเขากลัวผลการตอบแทนการกระทำความชั่วของพวกเขา แต่พวกเขากลับกล่าวท้าทายกับลูตว่า :

โอ้ ลูต เจ้าจงนำการลงโทษของอัลเลาะห์มาเถิดถ้าหากท่านพูดความจริง.
และลูต (.) ก็ยังไม่ละความพยายาม เขายังคงเรียกร้องประชาชนของเขาให้รักษาตัว ไม่ทำความชั่ว เพื่อพวกเขาจะสะอาดบริสุทธิ์ แต่คำเรียกร้องของลูต ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับพวกเขาเลย พวกเขากลับดื้อดึงและทำสิ่งที่น่าบัดสีมากยิ่งขึ้นไปอีก ชาวเมืองนั้นไม่มีผู้ใดศรัทธาต่อเขา นอกจากบุตรสาวทั้งสองคนของเขาเท่านั้น.
ลูตได้วิงวอนขอต่อองค์อภิบาลของเขา ให้ช่วยเหลือเขา ภายหลังจากพวกพ้องของเขาดื้อดึงไม่ยอมศรัทธา และยังคงกระทำความชั่วอยู่ต่อไป อัลเลาะห์ได้ให้สัญญาแก่เขาว่าพระองค์จะลงโทษพวกเขาหมดทุกคน.

การลงโทษอันน่าสพึงกลัวของอัลเลาะห์

ได้รับการยืนยันแล้วทั้งทางวิชาการ และทางการแพทย์ว่าการที่เพศชายสมสู่กับเพศชายด้วยกันนั้น เป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บมากมาย และโรคที่วิทยาการสมัยใหม่ค้นพบและได้บอกให้พวกเราได้ทราบว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด นั่นคือโรคเอดส์ หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องนั่นเอง.



พฤติกรรมอันชั่วช้าเลวทรามและสกปรกโสมมนี้ ไม่มีใครยอมรับได้นอกจากผู้ที่มีอาการป่วยทางจิตที่ออกนอกลู่นอกทาง เพราะเขาจะแสวงหาความสุขจากช่องทางที่ใช้ขับถ่ายสิ่งที่สกปรกที่สุดออกจากร่างกายของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมดังกล่าวยังเป็นสาเหตุให้มนุษย์สูญพันธุ์ ไปจากโลกนี้.

พฤติกกรรมรักร่วมเพศ (ลิวาต) จึงเป็นการทำลายทั้งร่างกาย และสร้างความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นในโลก และบ่อนทำลายความเจริญรุ่งเรืองของโลก.

อัลเลาะห์ได้ส่งนบีลูตท่านนี้มาเพื่อเยียวยารักษาพฤติกรรมอันชั่วร้ายและสกปรกโสมมนี้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผู้มีจิตสำนึกที่ดีไม่อาจยอมรับได้.

อัลเลาะห์ ตาอาลาทรงกริ้วโกรธผู้ที่บิดเบือนคำสั่งของพระองค์ด้วยการอนุมัติสิ่งชั่วร้ายที่พระองค์ห้าม และห้ามสิ่งดีๆ ที่พระองค์อนุมัติให้แก่บ่าวของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงจะต้องช่วยเหลือศาสนา และสาสนทูตของพระองค์คือลูต (.)

อัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ส่งมะลาอิกะห์มาสามท่านคือ ญิบรีล, มีกาอีลและอิสรอฟีล ที่แปลงร่างมาเป็นชายหนุ่มสามคน พวกเขาได้แวะเข้าไปหานบีอิบรอฮีม (.) เป็นอันดับแรก และอิบรอฮีมได้เชื้อเชิญพวกเขาเป็นแขกของตน มะลาอิกะห์ได้แจ้ง    ข่าวดีแก่อิบรอฮีมว่าเขาจะได้บุตรชายชื่ออิสหาก และหลังจากอิสหาก เขาก็จะได้หลานชายชื่อยะอ์กูบ ดังที่ผ่านมาแล้วในชีวประวัติของนบีอิบรอฮีม และนบีอิสหาก (.).
มะลาอิกะห์ ได้แจ้งให้อิบรอฮีมทราบว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปหาพวกพ้องของนบีลูต และว่าพวกเขาได้รับคำสั่งให้ไปทำลายพวกเขา เพราะพวกเขาดื้อดึงไม่ยอมศรัทธา และยังคงมีพฤติกรรมรักร่วมเพศอีกด้วย  อิบรอฮีมพยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้เลิกเดินทางไปลงโทษพวกพ้องของนบีลูต โดยอ้างว่ากลัวนบีลูตจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย เพราะเขาก็อาศัยอยู่ในเขตนี้ด้วย  มะลาอิกะห์ได้กล่าวแก่ อิบรอฮีมว่า :

ท่านอย่ากลัวว่าลูต จะได้รับอันตรายเลย เพราะลูตเป็นผู้บริสุทธิ์ และอัลเลาะห์ก็รักผู้บริสุทธิ์  พวกเราทราบดีว่าท่านเป็นผู้ที่มีหัวใจอ่อนโยน โอ้อิบรอฮีม ท่านมีเมตาแก่ผู้คนรอบด้าน และท่านก็เกรงว่าลูต จะไรับอันตรายเพราะเขาเป็นญาติของท่าน แต่นี่เป็นคำสั่งของอัลเลาะห์ ให้ทำลายเมืองสะดูม และบริเวณรอบๆ เมืองนั้น สำหรับลูตนั้นเขาจะได้รับความปลอดภัยอย่างแน่นอน.

มะลาอิกะห์ได้อำลาอิบรอฮีม (.) และมุ่งหน้าสู่เมืองสะดูมทันที พวกเขาเข้าไปในเมืองโดยแปลงร่างเป็นชายหนุ่มสามคน พวกเขาพบลูตกำลังทำงานอยู่ในที่ดินของเขา และพบบุตรสาวคนหนึ่งของลูตกำลังตักน้ำจากลำธารแห่งหนึ่ง  พวกเขาได้กล่าวแก่ลูตว่า : คืนนี้เราขอเป็นแขกของท่าน โอ้ลูต.

นบีลูต ก็เช่นเดียวกับนบีอิบรอฮีม (.) ให้เกียรติแก่แขกที่มาเยือน จัดเตรียมอาหาร ต้อนรับ และให้ที่พักพิงแก่แขกเป็นอย่างดี ลูต ยินดีต้อนรับพวกเขา และพาพวกเขาไปที่บ้าน  ระหว่างทางพวกเขาสนทนากัน  ลูต (.) ได้พูดขึ้นว่า :

พวกท่านทราบไหมว่าชาวเมืองนี้มีพฤติกรรมเช่นไร ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่าฉันไม่ทราบว่าบนหน้าโลกนี้จะมีมนุษย์ที่ใหนเลวทรามต่ำช้ายิ่งกว่าพวกเขา.

มะลาอิกะห์ไม่โต้ตอบกับลูต  และเมื่อเดินทางต่อไปอีกพักใหญ่นบีลูตก็ได้พูดประโยคเดิมขึ้นอีกและได้กล่าวย้ำถึงสามครั้ง จนคำพูของนบีลูตได้กลายเป็นหลักฐานมัดตัวชาวเมืองสะดูม และเป็นพยานยืนยันว่าพวกเขาเป็นพวกที่ชั่วช้าที่สุด.

นบีลูต และแขกทั้งสามของเขาเดินทางมาถึงบ้าน โดยไม่มีชาวเมืองสะดูมคนใดทราบข่าวนี้เลย, ภรรยาของลูตก็เป็นชาวเมืองสะดูม และส่งเสริมพฤติกรรมที่พวกชาวเมืองกระทำเมื่อนางเห็นชายหนุ่มรูปงามสามคนเดินทางมาเยือน นางถึงกับหัวเราะ และบอกพวกเขาว่าชาวเมืองสะดูมจะต้องกระทำสิ่งที่น่าบัดสีแก่เขาทั้งสามอย่างแน่นอน หลังจากนั้นนางได้รีบไปแจ้งข่าวนี้ให้ชาวเมืองทราบ โดยกล่าวแก่พวกเขาว่า :
ในบ้านของลูต มีชายหนุ่มรูปงามที่ฉันไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน.

ชาวเมืองสะดูมดีใจและรีบไปยังบ้านของลูตทันที พวกเขาบอกแก่ลูตว่า :
ลูต  ท่านจงส่งมอบแขกของท่านมาให้แก่พวกเราเถิด เพื่อพวกเราจะได้ร่วมเพศกับพวกเขา เหมือนที่พวกเราได้เคยกระทำกับผู้ชายอื่นๆ มาแล้ว.

ลูตถามพวกเขาว่า : พวกท่านจะกระทำอย่างไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้เป็นแขกของฉัน และอยู่ในความรับผิดชอบของฉัน จนกว่าจะสิ้นสุดภารกิจของพวกเขา.

พวกเขากล่าวว่า : ลูต พวกเราเคยเตือนท่านแล้วมิใช่หรือว่าห้ามท่านต้อนรับผู้ชายเป็นแขกของท่าน ?



ลูตกล่าวตอบว่า : ชาวเมืองสะดูมทั้งหลายจงยำเกรงอัลเลาะห์เถิด ในหมู่พวกท่านไม่มีคนที่มีปัญญาและความคิดเลยหรือ  จงยำเกรงอัลเลาะห์เถิด อย่าเหยียดหยามฉันต่อหน้าแขกของฉันเลย.

ชาวเมืองหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ลูตจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า :
เหล่านั้นคือลูกสาวของฉัน พวกท่านจงแต่งงานกับลูกสาวของฉันเถิด เพราะพวกนางสะอาดบริสุทธิ์สำหรับพวกท่านยิ่งกว่าสิ่งที่พวกท่านต้องการ.

พวกเขายิ่งแสดงอาการเย้ยหยันและเหยียดหยามลูตมากขึ้น พวกเขากล่าวว่า :
พวกเราได้ห้ามท่านแล้วมิใช่หรือว่า มิให้ต้อนรับผู้ชายเข้ามาเป็นแขกในบ้านของท่าน โอ้ลูต แต่ท่านก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ท่านก็ทราบดีว่าพวกเราไม่ต้องการผู้หญิง พวกเราต้องการแต่ผู้ชายเท่านั้น.

ลูต ยังคงโต้เถียงกับชาวเมืองสะดูม พวกเขาพยายามจะบุกเข้าไปในบ้านของลูต เพื่อฉุดเอาแขกที่เป็นชายหนุ่มทั้งสามคนของเขาออกไป จนในที่สุดลูตก็หลั่งน้ำตาด้วยความอดสูใจและรำพึงว่า :

ถ้าหากฉันมีพรรคพวกสักกลุ่มหนึ่ง ฉันก็คงจะสามารถปกป้องแขกของฉันให้พ้นจากน้ำมือของพวกเจ้าได้อย่างแน่นอน.

ลูต (.) ต้องได้รับความโศกเศร้าอย่างหนักหน่วง เพราะชาวเมืองคอยหาโอกาสที่จะบุกเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อฉุดเอาแขกทั้งสามคนของเขาออกไป โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากเขาเลย.

ลูต เกิดความวิตกกังวล และหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาไม่ได้กลัวว่าตนเองจะได้รับอันตราย แต่เขากลัวว่าแขกที่อยู่ในอารักขาและดูแลของเขาและอยู่ในบ้านของเขาจะได้รับอันตราย แต่มะลาอิกะห์ก็ได้ปลอบใจเขาให้คลายทุกข์ โดยกล่าวแก่เขาว่า :
โอ้ลูต ท่านจงสบายใจเถิด พวกเขาจะไม่สามารถเข้ามาถึงตัวท่านได้อย่างแน่นอน  ท่านอย่ากลัวไปเลย.

ลูต กล่าวแก่พวกเขาว่า ฉันจะสบายใจได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขากำลังจะจู่โจมเข้ามาในบ้านของฉัน เพื่อจับตัวพวกท่าน ?

มะลาอิกะห์ กล่าวว่า พวกเราเป็นทูตของพระเจ้า พวกเรามาเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบัญชาของอัลเลาะห์กับชาวเมืองสะดูม.

หัวใจของลูตจึงนิ่งสงบเพราะเป็นหัวใจที่มั่นคงต่ออัลเลาะห์ว่าพระองค์จะต้องช่วยเหลือและพระองค์จะต้องให้ความยุติธรรม.

ชาวเมืองสะดูม พากันวิ่งตรูไปยังประตูบ้านของลูตเพื่อพังประตูบ้านและเข้าไปนำตัวเอาแขกทั้งสามคนของลูตออกมา แต่อัลเลาะห์ได้ให้ตาของพวกเขามืดบอด และถือว่าเป็นการเริ่มต้นการลงโทษของพระองค์ต่อคนเหล่านั้น.

อัลเลาะห์ให้ตาของพวกเขาบอดสนิท พวกเขามองไม่เห็น และไม่สามารถตรงไปยังบริเวณที่พวกเขาจะบุกเข้าไปในบ้านของลูตได้. พวกเขาคงทำได้แต่เพียงปิดล้อมบ้านของลูตไว้ได้เท่านั้น  ลูตได้ขอร้องต่อมะลาอิกะห์ให้รีบลงโทษพวกชาวเมืองสะดูมโดยเร็วไวอย่าได้ชักช้า ญิบรีลได้กล่าวแก่ลูต (.) ว่า :

โอ้ลูต กำหนดเวลาสำหรับการทำลายล้างพวกเขาคือเวลาอรุณรุ่ง ท่านอย่าได้รีบร้อนไปเลย.

มะลาอิกะห์แจ้งให้ลูต นำภรรยาและบุตรสาวทั้งสองคนของเขาออกจากเมือง สะดูมไปในตอนกลางคืน และออกไปให้พ้นเขต โดยอย่าให้ใครเหลียวหลังกลับมายังเมืองสะดูมอีกเลย เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเมืองนี้.

ลูตและครอบครัวของเขาได้เดินทางออกไปจากเมืองที่อัลเลาะห์ได้กำหนดว่าจะต้องถูกลงโทษด้วยการทำลายล้างชาวเมืองเสียให้สิ้นซาก อย่างปลอดภัยโดยมีเพียงบุตรสาวสองคนของเขาเท่านั้นที่มีศรัทธาต่อเขา และต่อมาก็ถึงชั่วโมงแห่งการลงโทษอันน่าสะพึงกลัว.

ญิบรีลใช้ปีกของเขาสอดลงไปใต้ผืนดินของเมืองสะดูม และยกมันขึ้นจนผู้ที่อยู่บนชั้นฟ้าได้ยินเสียงไก่ขัน และเสียงสุนัขเห่าหอน เขาได้พลิกผืนดินโดยกลับข้างล่างขึ้นข้างบนและข้างบนลงข้างล่าง และฝนได้กระหน่ำชาวเมืองสะดูมด้วยก้อนหินไปที่ร้อนแรง มันทำให้ชาวเมืองพินาศสิ้น ไม่มีใครรอดจากการลงโทษครั้งนี้เลยแม้แต่คนเดียว.




ทั้งหมดนั้นก็เพราะอัลเลาะห์ต้องการชำระพื้นที่ที่มีโรคระบาด มีความชั่วช้า และความสกปรกโสมมที่ชาวสะดูม ได้อนุมัติให้แก่พวกเขา  ให้สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง.

เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเราแล้วว่าความสะอาดบริสุทธิ์คือปรากฎการณ์ของความมีศรัทธา และเป็นพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความเจริญ  อัลกุรอานได้เล่าให้พวกเราฟังถึงเหตุการณ์การลงโทษของอัลเลาะห์ ต่อพวกพ้องของนบีลูต (.) โดยพระองค์ได้ตรัสว่า :
" และจงรำลึกถึงลูต ขณะที่เขาได้กล่าวแก่พวกพ้องของเขาว่า พวกเจ้าจะกระทำสิ่งที่น่าบัดสีนี้ โดยไม่เคยมีผู้ใดในโลกนี้ได้กระทำมาก่อนหน้าพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ?(80) ความจริงพวกเจ้าจะสมสู่กับเพศชายด้วยตัณหาราคะ  โดยไม่สนใจผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้ายังเป็นพวกที่ละเมิดอีกด้วย (81) พวกพ้องของเขาไม่อาจตอบโต้ได้ นอกจากพวกเขาจะกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า พวกท่านจงขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นจากเมืองของพวกท่าน เพราะความจริงพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่สะอาดบริสุทธิ์ (82) และต่อมาเราได้ช่วยให้เขา(ลูต) พร้อมด้วยครอบครัวของเขาปลอดภัย นอกจากภรรยาของเขาที่เป็นคนหนึ่งจากพวกที่คงอยู่เพื่อรับการลงโทษ (83) และเราได้ให้ฝนกระหน่ำพวกเขา ดังนั้นเจ้าจงพิจารณาดูเถิดว่าผลสุดท้ายของพวกที่ก่อความผิดนั้นเป็นอย่างไร ? "  (84) (อัลอะอ์รอฟ)

เช่นเดียวกับที่อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสไว้ว่า :
" และเมื่อบรรดาทูตของเรา (มะลาอิกะห์) ได้มาหานบีลูต เขาเป็นกังวลใจต่อพวกเขา และหนักใจที่จะต้องปกป้องพวกเขา และเขาได้กล่าวว่าวันนี้เป็นวันแห่งการลงโทษที่ชั่วร้ายที่สุด (77) พวกพ้องของลูต ได้รีบร้อนมาหาเขา  โดยที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็ได้เคยกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ มาแล้ว  ลูตได้พูดขึ้นว่า โอ้พวกพ้องของฉัน เหล่านี้คือลูกสาวของฉัน พวกนางสะอาดบริสุทธิ์สำหรับพวกท่าน ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ และหย่าทำให้ฉันขายหน้าต่อแขกของฉันเลย  จะไม่มีคนที่เฉลียวฉลาดอยู่ในหมู่พวกเจ้าเลยหรือ (78)  พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ลูต ท่านก็ทราบดีว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ในตัวลูกสาวของท่านหรอก และท่านก็ทราบว่าพวกเราต้องการสิ่งใด (79) ลูต กล่าวว่าฉันน่าจะมีกำลังกำราบพวกเจ้าเสียเอง หรือฉันต้องหันไปพึ่งที่พักพิงอังแข็งแกร่ง (80) พวกมะลาอิกะห์กล่าวว่า โอ้ลูต พวกเราเป็นทูตมาจากองค์อภิบาลของท่าน พวกเขาจะไม่
สามารถเข้าถึงตัวท่านได้เลย ดังนั้นท่านจงนำครอบครัวของท่านออกเดินทางไปในเวลากลางคืน และอย่าให้คนใดในครอบครัวของท่านเหลียวกลับมามอง ยกเว้นภรรยาของท่าน เพราะนางจะต้องโดนลงโทษเช่นเดียวกับที่พวกเขาเหล่านั้นโดน แท้จริงกำหนดที่พวกเขาจะโดนลงโทษคือเวลารุ่งแจ้ง และเวลารุ่งแจ้งก็ใกล้เข้ามาแล้วมิใช่หรือ (81) อัลเลาะห์ตรัสว่า เมื่อคำบัญชาของเรามา เราจะพลิกแผ่นดินเอาข้างบนลงล่าง และเราจะให้ก้อนหินแกร่งตกลงมาเหนือบริเวณนั้นเหมือนสายฝน  (82) ซูเราะห์ : ฮูด

"ขณะเมื่อมละอิกะห์ที่เป็นทูต ได้มาหาบริวารของลูต (61) บริวารของลูต กล่าวว่า พวกท่านเป็นคนแปลกหน้าที่พวกเราไม่คุ้นเคย (62) พวกมะลาอิกะห์กล่าวแก่ลูตว่า แต่พวกเรามาหาท่านด้วยเรื่องการลงโทษที่พวกเขาสงสัยกันอยู่ (63) และพวกเรามาหาท่านพร้อมด้วยเรื่องจริงที่จะต้องเกิดขึ้น และแท้จริงพวกเราเป็นพวกที่มีสัจจะ (64) ดังนั้นท่านจงนำครอบครัวของท่านออกเดินทางไปในเวลากลางคืน และท่านจงเดินตามหลังพวกเขา และอย่าให้คนใดในครอบครัวของท่านเหลียวกลับมามอง พวกท่านจงเดินทางไปตามที่ถูกบัญชา (65) และเราได้แจ้งเรื่องนั้นให้เขาทราบว่าคนสุดท้ายของพวกเขาจะถูกจัดการขั้นเด็ดขาดในเวลารุ่งแจ้ง (66) และชาวเมืองได้พากันมาหาพวกมะลาอิกะห์อย่างลิงโลด โดยคิดว่าพวกเขาเป็นมนุษย์และหวังจะทำลามก (67) ลูตได้กล่าวว่า เขาเหล่านั้นเป็นแขกของฉัน พวกเจ้าอย่าทำให้ฉันต้องขายหน้าเลย (68) พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ และอย่าทำให้ฉันต้องอับอาย (69) พวกชาวเมืองกล่าวว่า พวกเราไม่ได้เคยห้ามท่านเรื่องต้อนรับแขกหรือ (70) ลูตกล่าวว่า เหล่านี้คือลูกสาวของฉัน ถ้าหากพวกเจ้าต้องการจะกระทำ ก็ให้แต่งงานกับพวกนาง (71) อัลเลาะห์ตรัสว่า ขอสาบานต่อชีวิตของเจ้า โอ้มุฮำหมัด แท้จริงพวกนั้นกำลังตกอยู่ในความมัวเมา หลงทาง (72) ต่อมาเสียงกัมปนาทก็ได้มาคร่าชีวิตของพวกเขาออกไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น (73) และเราได้พลิกแผ่นดินเอาข้างบนลงล่าง   และเราจะให้ก้อนหินจากนรกตกลงมาถล่มพวกเขาเหมือนสายฝน (74) เรื่องราวเหล่านี้ ย่อมเป็นอุทาหรณ์แก่พวกที่พิจนิจพิเคราะห์ (75)  ซูเราะห์ : อัลฮิจร์




ประวัติความเป็นมาที่อัลเลาะห์ลงโทษพวกพ้องของลูต


มีประวัติเล่ากันมาว่าพวกพ้องของลูตอาศัยอยู่ในเมืองสะดูม ซึ่งมีอาณาบริเวณคลุมไปถึงสี่ตำบลใหญ่ๆ มีประชากรอาศัยอยู่ราวสี่ล้านคน.

และมีประวัติว่าภรรยาของลูต เป็นผู้ที่ไปบอกชาวเมืองว่ามีแขกมาเยือนสามีของนางคือนบีลูต, ภรรยาของลูต เคยเป็นผู้ที่ไร้ศรัทธาเช่นเดียวกับชาวเมืองสะดูม นางได้ออกไปกับลูต และบุตรสาวอีกสองคนของเขา เพื่อหลบหนีการลงโทษของอัลเลาะห์  แต่เมื่อนางได้ยินเสียงแผ่นดินไหว และเสียงกัมปนาท นางได้เหลียวกับไปมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หินที่กำลังถล่มเมืองนั้นได้มาโดนนางทำให้เสียชีวิตทันที เป็นผลตอบแทนที่นางทรยศต่อสามีที่เป็นคนดีและเป็นนบีของอัลเลาะห์คือนบีลูต (.) . โดยคนในครอบครัวของลูตไม่มีใครได้หันกลับไปมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากนางเท่านั้น สำหรับลูตและบุตรสาวอีกสองคนต่างก็มุ่งหน้าเดินทางออกไปโดยไม่มีใครเหลียวหลังกลับไปเลย.

อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสถึงเรื่องดังกล่าวว่า :
" อัลเลาะห์ ได้ยกอุทาหรณ์แก่บรรดาผู้ไร้ศรัทธาถึงภรรยาของนัวฮ์ และภรรยาของลูต นางทั้งสองอยู่ภายใต้การคุ้มครองของบ่าวสองคนที่เป็นคนดีมีคุณธรรม จากปวงบ่าวของเรา แต่นางทั้งสองได้ทรยศต่อเขาทั้งสอง ดังนั้นเขาทั้งสองจึงไม่สามารถช่วยเหลือภรรยาของเขาทั้งสองได้เลยแม้แต่น้อย ในวันกิยามะห์ก็จะมีผู้ประกาศว่า เธอทั้งสองจงเข้าไปอยู่ในนรกเช่นเดียวกับชาวนรกทั้งหลาย (10) "   ซูเราะห์ : อัตตะห์รีม
และอัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า :

"และจงรำลึกถึงลูต ขณะที่เขาได้กล่าวแก่พวกพ้องของเขาว่า พวกเจ้าจะกระทำการลามก ทั้งที่พวกเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งลามกอย่างนั้นหรือ (54)  พวกเจ้าจะสมสู่กับเพศชายด้วยตัณหา แทนผู้หญิงอย่างนั้นหรือ  ยิ่งกว่านั้นพวกเจ้ายังเป็นพวกที่โง่เขลา (55) พวกพ้องของลูต ไม่ได้โต้ตอบอย่างใด นอกจากกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่าพวกท่านจงขับไล่บริวารของลูต ให้ออกไปพ้นจากเมืองของพวกท่าน เพราะพวกเขาเป็นพวกที่สะอาดบริสุทธิ์ (56) อัลเลาะห์ตรัสว่า ต่อมาเราได้ช่วยให้ลูต และครอบครัวของเขารอดพ้น ยกเว้นภรรยาของเขา ที่เราได้กำหนดให้นางอยู่ในหมู่ที่ถูกทำลาย (57) และเราได้ให้ฝนตก


ถล่มพวกเขา และมันเป็นฝนที่ชั่วร้ายสำหรับพวกที่ถูกตักเตือนเพราะมันเป็นฝนหินที่มาจากนรก (58)  ซูเราะห์  อัลนัมล์

 และมีประวัติเล่าสืบกันต่อมาอีกว่าชาวเมืองสะดูมเสียชีวิตลงเมื่อญิบีลได้ยกแผ่นดินขึ้น และพลิกมันคว่ำลงมา และอัลเลาะห์ยังได้ให้มีก้อนหินตกลงมาถล่มชาวเมืองสะดูมทุกคน และก้อนหินนั้นจะติดตามไปยังชาวเมืองสะดูมทุกคนทั้งชายและหญิงที่ไม่ได้อยู่ในเมืองนั้นขณะที่ถูกถล่ม

มีประวัติเล่าว่าพ่อค้าชาวสะดูมที่เดินทางไปค้าขายต่างเมือง ขณะที่เขากำลังเจรจาอยู่กับผู้คนในต่างแดนนั้น ก้อนหินที่อัลเลาะห์ได้ส่งลงมาก็จะติดตามไปสังหารเขาแม้จะอยู่ต่างเมืองออกไปก็ตาม โดยคนที่เจรจาอยู่กับเขาจะไม่ได้รับอันตรายจากก้อนหินนั้น
อัลเลาะห์ประสงค์จะทำลายชาวเมืองสะดูมทุกคน .. เพื่อไม่ให้โรคร้ายได้แพร่ระบาดจากพวกเขาไปสู่ผู้อื่นต่อไปอีก  เป็นการปกป้องมนุษย์โลกให้พ้นภัยพิบัติ และเป็นการยืนยันความเมตตาของอัลเลาะห์ที่มีต่อมวลมนุษย์.

มีเรื่องที่เล่าสืบกันมาว่าบริเวณที่เป็นทะเลลูต ซึ่งรู้จักกันดีในปัจจุบันว่าทะเลตาย(หรือเดดซี) นั้นไม่เคยมีทะเลใดมาก่อน ที่อัลเลาะห์จะลงโทษชาวเมืองสะดูม แต่ทะเลดังกล่าวเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวที่ทำให้ผืนดินพลิกกลับข้างบนลงล่าง จนทำให้บริเวณนั้นต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณสี่ร้อยเมตร และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีการค้นพบซากเมืองสะดูมที่ริมฝั่งทะเลตายแห่งนั้น.

เราจะได้รับทราบเรื่องราวของนบีลูตกับพวกพ้องของเขา ได้รับบทเรียนและอุทาหรณ์ขณะที่เราอ่านคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่มีความหมายว่า :

" พวกพ้องของลูต ได้ปฏิเสธบรรดาศาสนทูต (160) ขณะที่ลูตซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาได้บอกแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจะไม่ยำเกรงอัลเลาะห์หรือ (161)  ความจริงฉันเป็นศาสนทูตผู้ซื่อสัตย์ที่ถูกแต่งตั้งมายังพวกเจ้า (162) ดังนั้นพวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะห์ และเชื่อฟังฉัน (163) ฉันไม่ได้ขอค่าจ้างใดๆ จากพวกเจ้าที่นำสัจธรรมออกเผยแพร่  ค่าตอบแทนของฉันไม่ได้มาจากผู้ใด  นอกจากอัลเลาะห์ผู้อภิบาลสากลโลกเท่า
นั้น (164) พวกเจ้าจะสมสู่แต่กับเพศชายจากหมู่มนุษย์อย่างนั้นหรือ (165) และพวกเจ้าจะทิ้งคู่ครองของพวกเจ้าที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาเพื่อพวกเจ้า แน่นอนพวกเจ้าเป็นพวกที่
ฝ่าฝืน (166) พวกเขาตอบว่า โอ้ลูต ถ้าหากท่านยังไม่ยอมยุติเรื่องนี้ ท่านจะต้องเป็นผู้ที่ถูกขับไล่ออกไป (167) ลูต กล่าวว่าฉันรังเกียจการกระทำของพวกเจ้า (168) ลูตได้วิงวอนว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของฉัน ได้โปรดช่วยให้ฉันและครอบครัวของฉันรอดพ้นจากสิ่งที่พวกเขากระทำ (169)  ต่อมาเราได้ช่วยให้เขาและครอบครัวของเขาทุกคนพ้นภัย (170) นอกจากหญิงชรา ภรรยาของลูตที่อยู่ในหมู่ชนที่ถูกทำลาย (171)  หลังจากนั้นเราได้ทำลายคนอื่นๆ (172) และเราได้ให้ฝนตกถล่มพวกเขา และมันเป็นฝนที่ชั่วร้ายสำหรับพวกที่ถูกตักเตือนเพราะมันเป็นฝนหินที่มาจากนรก (173)  แท้จริงในเรื่องนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่ง แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมศรัทธา (174) และแท้จริงองค์อภิบาลของท่านทรงเดชานุภาพยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง (175) ซูเราะห์ อัชชุอะรออ์

เราได้เห็นมาแล้วว่านบีลูต (.) ได้ใช้ชีวิตประกาศเชื้อเชิญสู่ความมีเกียรติ ความสะอาดบริสุทธิ์ การรักษาตนและจิตใจให้พ้นจากความชั่ว แต่พวกพ้องของเขาไม่ยอมรับฟัง และไม่ปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญของเขา พวกเขากับเยาะเย้ย และดูหมิ่นดูแคลนนบีลูต และขอให้เขานำการลงโทษจากอัลเลาะห์มาสู่พวกเขาถ้าหากเขาพูดจริง .. ต่อมาอัลเลาะห์ได้ลงโทษและทำลายพวกเขา  จนในที่สุดพวกเขาได้กลายเป็นพวกที่ขาดทุน.

ชีวประวัตินี้ได้เล่าให้เราทราบถึงเรื่องราวของนบีผู้ประเสริฐท่านหนึ่ง ที่ทำหน้าที่มอบสิทธิ์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ให้แก่เพื่อนบ้าน และแขกผู้มาเยือน ทั้งที่อ่อนแอกว่าเขาได้ยืนหยัดปกป้องแขกของเขาจากการคุกคามของชาวเมืองสะดูมที่เข้มแข็ง โดยไม่คำนึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร เขาคือนบีลูต ผู้เรียกร้องเชิญชวนสู่เกียรติยศในทุกความหมาย และต่อสู้ในแนวทางของเกียรติยศอย่างสุดความสามารถ.
คุณค่าที่นบีลูตประกาศเชิญชวนเป็นคุณค่าที่มีความเหมาะสมกับทุกยุคและทุกแห่งหน .. ส่วนหนึ่งจากคุณค่าเหล่านี้ก็คือศักดิ์ศรี ความกล้าหาญ เกียรติยศ ความสะอาดบริสุทธิ์  การรักษาจิตใจจากความชั่ว การให้เกียรติแขกผู้มาเยือน สิทธิของเพื่อน
บ้าน ความบริสุทธิ์จากบาป และการไม่เบี่ยงเบนทางเพศจากหนทางที่เป็นไปตามธรรมชาติ.

เรื่องเราของนบีลูต (.) ได้เรียกร้องพวกเราสู่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่หยั่งรากลึก และมีความมั่นใจ และเรียกร้องสู่การอพยพในวิธีทางของอัลเลาะห์เมื่อถึงคราวจำเป็น.

เรื่องราวของนบีลูต ล้วนเป็นอุทาหรณ์ ที่เชิญชวนสู่ข้อปฏิบัติที่น่ายกย่องเช่นความเมตตา ความรัก เกียรติยศความกล้าหาญ ศักดิศรี  การรักษาตัวจากบาป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดีงามเมื่อได้นำไปปฏิบัติ ก็จะได้รับชัยชนะ ได้รับความพ้นภัย และได้รับความพึงพอใจจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน.



จบชีวประวัติของนบีลูต (.)
































You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

featured Slider

Popular Posts

Like us on Facebook

ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา

Flickr Images



บทเรียนสั้นๆเหล่านี้กล่าวถึงเรื่อง “อุลูมุ้ลกุรอาน” ที่เราต้องการนำเสนอแก่กุลบุตรกุลธิดาของเรา ก่อนที่พวกเขาจะศึกษาวิชา “ตัฟซีร” เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ข้อมูลที่นักวิชาการทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ได้นำเสนอไว้ เพื่อรับใช้อัลกุรอาน