10-สาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้บรรดาซอฮาบะห์จดจำอัลกุรอาน
15:28:00
10-สาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้บรรดาซอฮาบะห์จดจำอัลกุรอาน
1- พวกซอฮาบะห์เห็นสิ่งที่รอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล)ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ
อันได้แก่การจดจำอัลกุรอาน
การปฏิบัติตามข้อใช้และข้อห้ามของอัลกุรอาน การดังกล่าวทำให้พวกเขาถือว่าอัลกุรอานเป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก พวกเขาจึงแข่งขันกันท่องและจดจำอัลกุรอาน และชิงกันทบทวนและทำความเข้าใจ, และถือเอาจำนวน
อัลกุรอานที่จดจำได้เป็นเครื่องวัดเกียรติยศของพวกเขา …
มีบางคนที่ไม่อาจไปรับฟังอัลกุรอานจากท่านนบี
(ซ.ล) ได้ด้วยตนเอง เขาจะมอบหมายให้คนอื่นไปรับฟังจากท่านนบี
และกลับมาอ่านให้เขาฟัง.
2- และยังมีแรงจูงใจอีกหลายประการที่ช่วยให้บรรดาซอฮาบะห์จดจำอัลกุรอาน
ที่สำคัญได้แก่ :
(ก) แบบอย่างที่ดีที่มีต้นแบบจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล) พวกเขาเห็นท่านมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งต่ออัลกุรอาน
จึงเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาจดจำอัลกุรอาน เป็นการเจริญรอยตามท่านนบี
(ข) พวกเขามีความรักอย่างจริงใจต่ออัลกุรอาน
เป็นความรักที่เข้าครองความรู้สึกต่างๆของพวกเขา
และทำให้พวกเขาไม่สนใจสิ่งอื่นไม่ว่าจะเป็นวิชาการแขนงใด, ทั้งนี้เพราะสิ่งที่อัลกุรอานมีอยู่อย่างครบครันอันได้แก่
บทบัญญัติที่เต็มไปด้วยวิทยปัญญา, คำแนะนำที่สูงส่ง
สำนวนโวหารที่เกินคำบรรยาย
ที่ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก, ที่ทำให้ผู้คัดค้านและหยิ่งยโสต้องสงบปากสงบคำ.
(ค) บรรดาซฮาบะห์ โดยภาพรวมแล้ว
พวกเขาเป็นพวกที่อ่านไม่ออกเขียนไม่เป็น (อุมมียีน), และผู้ที่เป็นอุมมีย์) นั้นสิ่งแรกที่เขาใช้เป็นหลักก็คือ
ความสามารถในการจำ และความสามารถในการทบทวน
ในสิ่งที่มีความสำคัญสำหรับเขาที่จะต้องจดจำและทบทวน, เพราะมันเป็นสื่อเพียงอย่างเดียวสำหรับการรับเอาไว้ให้ได้ทั้งหมด
ในสิ่งที่เขาต้องการรับเอาไว้, ดังนั้นบรรดาซอฮาบะห์จึงอาศัยความสามารถจดจำของพวกเขา
ในการจดจำคัมภีร์ของอัลเลาะห์, และรับรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์ของพระองค์.
เป็นที่รู้กันดีว่าชาวอาหรับมักถูกหยิบยกเป็นตัวอย่างในเรื่องความจดจำที่รวดเร็วของพวกเขา… ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ความสามารถพิเศษดังกล่าวจดจำอัลกุรอาน
และซุนนะห์ ของท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ .
(ง) ท่านนบี (ซ.ล) ส่งเสริมซอฮาบะห์ของท่าน
และส่งเสริมมวลมุสลิมทั้งหลายในทุกยุคและทุกหนแห่ง ให้จดจำอัลกุรอาน, และได้เตือนพวกเขาให้ระวังการลืมอัลกุรอาน, สิ่งที่แสดงออกให้เห็นว่าท่านนบีส่งเสริมให้พวกเขาจดจำอัลกุรอานก็คือ
: การที่ท่านได้บอกแก่พวกเขาว่าอัลกุรอานจะช่วยเหลือผู้ที่อ่าน
และจดจำอัลกุรอานในวันกิยามะห์ … และพวกเขาจะมีตำแหน่งต่างกันด้วยเหตุของการจดจำอัลกุรอาน
… และยังได้บอก
ข่าวดีแก่ผู้ที่อ่านและจดจำอัลกุรอานว่าจะได้รับผลบุญมากมาย
และผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่จากอัลเลาะห์… และท่านได้บอกพวกเขาว่าคนที่ดีคือคนที่เรียนอัลกุรอานและสอนอัลกุรอานให้แก่ผู้อื่น… ส่วนคำเตือนของท่านที่ได้เตือนพวกเขาไว้ก็คือให้ระวังการลืม
และการทอดทิ้งอัลกุรอาน, สิ่งที่แสดงออกถึงคำเตือนนี้ก็คือท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล) ได้ให้สัญญาว่าผู้ใดกระทำดังกล่าวจะมีบั้นปลายที่ชั่วร้าย
…
อะบุดาวูด
และติรมีซี ได้รายงานจากอะนัสว่า : “ บาปต่างๆ
ของประชากรของฉันได้ถูกนำเสนอมายังฉัน, ฉันไม่เห็นว่ามีบาปใดที่จะใหญ่ไปยิ่งกว่า
ซูเราะห์หนึ่งจากอัลกุรอานที่คนหนึ่งได้รับเอาไว้ (คือจำได้แล้ว) ต่อมาเขาได้ปล่อยให้ลืมไป “
ความหมายที่ว่าลืมในที่นี้ก็คือ
: ทอดทิ้งและเพิกเฉยต่อซูเราะห์นั้น, ส่วนการลืมที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์นั้น
ไม่ใช่ความหมายในที่นี้, การรักษาอาการลืมอัลกุรอานก็คือต้องอ่านอัลกุรอานเป็นประจำด้วยหัวใจบริสุทธิ์
และด้วยความจริงจัง.
(ฉ) นับเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ซอฮาบะห์จดจำอัลกุรอานอีกเช่นกันคือการที่อัลกุรอานทยอยประทานลงมา
(แบบตันญีม) ดังได้กล่าวมาแล้ว และเมื่ออัลกุรอานถูกประทานลงมาหนึ่งอายะห์
หรือหลายอายะห์ พวกเขาจะรีบจดจำทันทีที่รอซูลุ้ลเลาะห์แจ้งให้พวกเขาทราบ, ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังนำไปให้ผู้อื่นที่ไม่ได้รับฟังจากรอซู้ลุ้ลเลาะห์โดยตรง
จดจำอีกด้วย, และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้ส่งซอฮาบะห์ที่จดจำอัลกุรอานไปยังบางท้องถิ่นเพื่อเผยแพร่อิสลามและสอนให้จดจำอัลกุรอาน.
เหล่านี้คือแรงกระตุ้นและแรงจูงใจบางประการที่ช่วยทำให้ซอฮาบะห์
จดจำอัลกุรอาน และปฏิบัติตามหลักการในอัลกุรอาน อันได้แก่การชี้นำและข้อกำหนดต่างๆ.
3- ภายหลังจากท่านนบี (ซ.ล) ได้กลับไปสู่ความเมตตาของอัลเลาะห์แล้ว, มวลมุสลิมก็ยังคงปฏิบัติต่ออัลกุรอานอย่างสมบูรณ์ยิ่ง, พวกตาบิอูนได้จดจำอัลกุรอานจากซอฮาบะห์ , และพวกที่อยู่ในรุ่นถัดไปก็ได้จดจำอัลกุรอานไปจากพวกตาบิอูน
... และเป็นดังนี้ต่อๆกันไป
มีทั้งรายบุคคลและกลุ่มคนที่ต่างก็ได้ถ่ายทอดอัลกุรอานไปจากกลุ่มชนด้วยปากต่อปาก
และด้วยการเขียนบันทึก, จนอัลกุรอานแพร่ไปยังหัวเมืองต่างๆ
อย่างทั่วถึงจากยุคหนึ่งถึงอีกยุคหนึ่ง โดยไม่มีความแตกต่างกันเลยสักอายะห์เดียวของอัลกุรอาน, และยิ่งไปกว่านั้นก็คือแม้เพียงคำเดียวของอัลกุรอานก็ไม่มีการขัดแย้งกัน
…
4- แต่นักวิชาการมุสลิมมีความพอใจแล้วหรือกับการที่พวกเขาจดจำอัลกุรอานได้
และสอนให้ผู้อื่นได้จดจำในยุคสมัยต่างๆ กัน
?
คำตอบสำหรับคำถามข้อนี้เราขอตอบว่า
นักวิชาการมุสลิมยังไม่มีความพอใจอยู่เพียงเท่านั้น
แต่พวกเขาได้ทำให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้นโดยเอานำวิชาความรู้ที่อัลเลาะห์ได้ประทานให้แก่พวกพวกเขามารับใช้คัมภีร์ของพระองค์… นักวิชาการด้านไวยากรณ์
ได้ใช้วิชาความรู้ของเขาปกป้องอัลกุรอานให้พ้นจากความผิดพลาดทางด้านไวยากรณ์
และการออกเสียงผิด. นักวิชาการด้านความลึกซึ้งทางภาษา
(บะลาเฆาะห์) ใช้วิชาความรู้ของเขาเปิดเผยความเร้นลับทางด้านความลึกซึ้งที่มีอยู่ในอัลกุรอาน… นักวิชาการด้านนิติศาสตร์อิสลาม (ฟิกฮ์)
ใช้ความรู้ของเขาวิเคราะห์เอาข้อกำหนด(ฮุก่ม)ออกมา … นักวิชาการทางด้านอะกีดะห์ (หลักศรัทธา) และปรัชญาได้ใช้ความรู้ของเขาเพื่อนำหลักฐานมายืนยันว่าหลักการของอิสลามนั้นถูกต้องแล้ว…
และนักวิชาการด้านการอ่านได้ใช้วิชาความรู้ของเขาปรับปรุงการอ่านให้ถูกต้องตามหลักตัจวีด
และท่วงทำนองที่ไพเราะ.. และถ้าหากท่านต้องการเห็นทั้งหมดที่กล่าวมาอย่างชัดเจน
ก็ให้กลับไปทบทวนดูสิ่งที่นักวิชาการได้เขียนไว้ในตัฟซีรอัลกุรอาน.
ท่านจะพบว่านักวิชาการบางคน
–เช่นอิบนุญะรีร อัตตอบรี –เขาจะให้ความสำคัญกับการอธิบายความหมายอัลกุรอานด้วยตัวบทที่มีรายงานมาจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล), ที่มีมาจากซอฮาบะห์ และตาบิอีน, เป็นส่วนใหญ่ จากนั้นท่านก็จะให้น้ำหนักแก่สายรายงานต่างๆ และทัศนะต่างๆ ที่มีมา …
ท่านจะพบอีกพวกหนึ่งเช่น
ซัมมัคชารีย์ ในหนังสือตัฟซีรของเขา จะเน้นหนักด้านความลึกซึ้งของภาษา (บะลาเฆาะห์) ในอัลกุรอาน, และเผยให้เห็นความงดงามของข้อเปรียบเทียบต่างๆ
…
ท่านจะพบกับพวกที่สามเช่นอะบี
ฮัยยานในหนังสือตัฟซีรของเขาชื่อ (อัลบะห์รุ้ลมุฮีต) ให้ความสำคัญกับแนวทางการเอียะอ์รอบ, และผสมผสานระหว่างตัวอักษรตามที่ปรากฏในอายะห์กับแนวทางของนักไวยากรณ์
…
ท่านจะพบกับพวกที่สี่
–ได้แก่ท่านกุรตุบีย์ ในตัฟซีรของเขาที่ชื่อ : อัลญาเมียะอ์ลิอะห์กามิ้ลกุรอาน, เขาจะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เพื่อนำเอาข้อกำหนดต่างๆทางด้านนิติศาสตร์อิสลามออกมาจากอายะห์ต่างๆของอัลกุรอาน, และอธิบายถึงทัศนะต่างๆ ของนักวิชาการ…
ท่านจะพบกับพวกที่ห้า- ผู้นำของกลุ่มนี้คือ อัลฟัครุรรอซีย์ – ในหนังสือตัฟซีรของเขาจะให้ความสำคัญกับการปกป้องหลักอะกีดะห์
และนำหลักฐานมายืนยันทั้งหลักฐานที่เป็นตัวบทจากอัลกุรอานและซุนนะห์ (นักลียะห์) และหลักฐานทางปัญญา
(อักลียะห์) ว่าหลักการของอิสลามเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนความเคลือบแคลงของพวกที่ปฏิเสธนั้นเป็นสิ่งมดเท็จ, มีนักวิชาการด้านตัฟซีรบางคนที่พยายามรวมแนวทางต่างๆเหล่านี้เข้าด้วยกันทั้งหมด
– เช่นอิหม่ามอัลอาลูซีย์ในตัฟซีรของเขาชื่อ “รูฮุ้ลมะอานีย์”มุสลิมทุกคนที่มีความจริงใจต่ออิสลามก็จะเป็นเช่นนี้คือใช้วิชาความรู้ที่อัลเลาะห์
ตาอาลาได้ประทานให้แก่เขารับใช้อัลกุรอาน, ซึ่งเป็นมัวะอ์ญิซะห์
อันยิ่งใหญ่ของท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล).
0 ความคิดเห็น