(1) ฟิกฮฺในยุคสมัยของท่านนบี
03:39:00
(1) ฟิกฮฺในยุคสมัยของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ยุคสมัยของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือช่วงเวลาอันประเสริฐที่สุด
เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการประทาน อัลกุรอาน ฟิกฮฺในยุคนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น “ฟิกฮุล วะห์ยฺ” นั่นคือฟิกฮฺที่มาจากองค์อัลลอฮฺตะอาลา
โดยพระองค์จะทรงประทานหุก่มต่างๆ ลงมายังท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในรูปของโองการอัลกุรอานหรือสุนนะฮฺ
แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ทำการเผยแพร่สิ่งนั้นสู่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่าน
ในยุคนี้ยังไม่มีการจำกัดความหรือบัญญัติคำว่า “ฟิกฮฺ” ว่าหมายถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยหุก่มภาคปฏิบัติ
ดังที่เข้าใจกันในยุคหลัง แต่ฟิกฮฺในยุคนี้ได้ครอบคลุมทุกๆด้านของบทบัญญัติอิสลามไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะกีดะฮฺ
(หลักการยึดมั่น) หรืออิบาดาต (หลักการปฏิบัติ) ซึ่งเราอาจจะแบ่งฟิกฮฺในยุคนี้ออกเป็นสองระยะด้วยกันคือ
1 - ณ เมืองมักกะฮฺ
คือช่วงเวลาร่วม
13 ปี นับจากที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนบี
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวบทบัญญัติอิสลามจะเน้นหนักไปในเรื่องของหลักการยึดมั่นศรัทธา การห้ามการทำชิริก
(ตั้งภาคีต่อองค์อัลลอฮฺ) และเรื่องของจรรยามารยาทต่างๆ
ในอิสลามเสียส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการปฏิบัติเลย นอกจากการละหมาดซึ่งในช่วงแรกๆนั้นหมายถึงการละหมาดสองเวลาเช้า-เย็น (จนกระทั่งคืนอิสรออ์ เมียะรอจญ์ ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมขึ้นไปรับบทบัญญัติการละหมาดห้าเวลา
ณ องค์อัลลอฮฺตะอาลา) และซะกาตซึ่ง ณ เวลานั้นหมายถึงการเศาะดะเกาะฮฺให้ทานที่ไม่ใช่วาญิบ
(กระทั่งมีบัญญัติในปีที่สองหลังการฮิจญฺเราะฮฺว่าซะกาตคือการให้ทานที่เป็นวาญิบ)
2 - ณ เมืองมะดีนะฮฺ
หลังจากที่อัลลอฮฺตะอาลาทรงอนุญาตให้ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ทำการฮิจญฺเราะฮฺอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺและก่อตั้งรัฐอิสลามขึ้น ก็เริ่มมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับหลักการปฏิบัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล หรือที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคม
เช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับหลักอิบาดาต การญิฮาด การแต่งงานและความสัมพันธ์ในครอบครัว
บทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดทางอาญาและบทลงโทษ การซื้อ-ขายและการทำธุรกรรมต่างๆ สิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง
รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และบทบัญญัติอื่นๆ ที่ครอบคลุมทุกๆ ด้าน ทุกๆแง่มุมของชีวิต
รูปแบบของการบัญญัติฮูก่มในยุคนี้
สรุปรูปแบบหรือแนวทางการบัญญัติหุก่มในยุคนี้ได้เป็นสองลักษณะ
คือ
1 - เกิดเหตุการณ์ ปัญหา หรือคำถามที่ต้องการคำตอบหรือบทบัญญัติทางศาสนาขึ้น
ในกรณีเช่นนี้ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมจะรอการประทานคำตอบหรือฮูก่มจากองค์อัลลอฮฺตะอาลาก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งพระองค์จะทรงประทานโองการอัลกุรอานลงมายังท่านเพื่อเป็นการตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหานั้นๆ
หรืออาจจะเป็นในรูปของหะดีษ แต่ในบางครั้งอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่มีการประทานฮูก่มจากอัลลอฮฺ
ซึ่งในกรณีนี้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็จะทำการอิจญ์ติฮาด (ใช้ความพยายามในการหาฮูก่มของปัญหา) ซึ่งหากถูกต้องอัลลอฮฺก็จะทรงเห็นชอบ
แต่หากการอิจญ์ติฮาดนั้นไม่ถูกต้องพระองค์ก็จะทรงประทานโองการระบุถึงสิ่งที่ถูกต้อง
ดังเช่นกรณีของเชลยศึกชาวมุชริกีนในสงครามบัดร์ เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมตัดสินให้ไถ่ตัวไปได้
อัลลอฮฺก็ทรงประทานโองการตำหนิการตัดสินใจของท่าน เป็นต้น
ตัวอย่างของการบัญญัติฮูก่มประเภทนี้ ก็เช่น ครั้งหนึ่งเศาะหาบะฮฺได้ถามท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเกี่ยวกับเลือดประจำเดือน อัลลอฮฺตะอาลาก็ทรงประทานโองการตอบคำถามนั้นในสูเราะฮฺ
อัลบะเกาะเราะฮฺ : 222 และเมื่อเศาะหาบะฮฺถามท่านถึงน้ำทะเล
ท่านก็ตอบไปว่าน้ำทะเลนั้นสะอาดและสัตว์น้ำที่ตายในทะเลก็เป็นที่อนุมัติให้รับประทานได้
ดังปรากฏในตัวบทหะดีษ (อบูดาวูด 83, อัตติรมิซีย์
69, อันนะสาอีย์ 332 และ 4350 , อิบนุ มาญะฮฺ 386 และ 3264) ทั้งนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ตอบไปด้วยโองการที่ลงมายังท่าน เป็นต้น
2 - บทบัญญัติที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยที่ไม่มีคำถาม
หรือ เหตุการณ์ใดๆเป็นสาเหตุของการบัญญัติ ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์อัลลอฮฺตะอาลานั้นทรงรอบรู้ถึงความต้องการ
และสิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์สำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เพราะบทบัญญัติอิสลามนั้นไม่ได้เป็นเพียงคำตอบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
แต่ยังเป็นการสร้างสังคมใหม่ขึ้นด้วยกฏเกณฑ์และระเบียบที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในสังคม
และการกำหนดหน้าที่ของบ่าวที่พึงมีต่อเอกองค์อัลลอฮฺตะอาลาเพื่อเป็นรากฐานอันมั่นคงของสังคมสืบต่อไป
ตัวอย่างของการบัญญัติหุก่มประเภทนี้ก็เช่น การกำหนดให้มีการชูรอ (ปรึกษาหารือ) หรือการแจกแจงวิธีการจ่ายซะกาต เป็นต้น
ลักษณะเด่นของการบัญญัติหุก่มในยุคนี้
1 – เป็นการบัญญัติแบบทีละขั้น ค่อยเป็นค่อยไป
กล่าวคือ บทบัญญัติทั้งหมดไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นในคราวเดียวแต่เป็นการบัญญัติทีละขั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
จากน้อยไปสู่มาก ง่ายไปสู่ยาก ตลอดระยะเวลา 23 ปี ยกตัวอย่างเช่น บทบัญญัติการละหมาดซึ่งในขั้นแรกนั้นกำหนดให้ละหมาดวันละสองเวลาเช้า-เย็น แล้วจึงเพิ่มเป็นห้าเวลา การห้ามดื่มเหล้าก็เช่นกัน เป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่ได้ห้ามเด็ดขาดในคราวเดียว
เป็นต้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้ทำให้ไม่รู้สึกยากลำบากในการที่จะน้อมรับและปฏิบัติตาม
2 – การปฏิเสธสิ่งที่จะทำให้เกิดความยากลำบาก
ซึ่งลักษณะข้อนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะบทบัญญัติในยุคนี้เท่านั้นแต่ยังครอบคลุมบทบัญญัติอิสลามในทุกยุคทุกสมัย
กล่าวคือบทบัญญัติอิสลามนั้นไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์ และหากว่ามีอุปสรรคใดๆ
ที่จะมาทำให้การปฏิบัติตามบทบัญญัติอิสลามนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก อิสลามก็จะมีทางออกให้ด้วยการผ่อนปรน
อนุโลมและอนุญาตให้ปฏิบัติเท่าที่ความสามารถจะมี เช่น ในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย เดินทาง
หลงลืม หรือพลาดพลั้ง อิสลามก็จะมีบทบัญญัติเฉพาะที่เป็นทางออกของผู้ที่ประสบกับกรณีนั้นๆ
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหากเราพิจารณาดูบทบัญญัติอิสลามทั้งหมดจะพบว่ามีน้อยมากและแต่ละอย่างก็ใช้เวลาปฏิบัติไม่มาก
เมื่อเทียบกับเวลาที่เรามี จึงไม่ถือเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตเลยแม้แต่น้อย
3 - การแทนที่บทบัญญัติใดบทบัญญัติหนึ่งด้วยบทบัญญัติที่ดีกว่า
(นัซคฺ)
กล่าวคือ อัลลอฮฺตะอาลา อาจจะทรงบัญญัติหุก่มหนึ่งขึ้นมาเพื่อใช้ในระยะเวลาหนึ่ง
โดยที่พระองค์ทรงรู้ว่าเมื่อถึงเวลาอันควรพระองค์จะทรงแทนที่หุก่มนั้นด้วยหุก่มอื่นที่เหมาะกับเวลานั้นมากกว่า
ซึ่งทั้งหมดนี้พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็เป็นไปด้วยหิกมะฮฺ (วิทยปัญญาและเหตุผล) ของพระองค์เพราะพระองค์ทรงรอบรู้ในทุกๆสิ่ง
ตัวอย่างของการนัซคฺ ก็เช่นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับอิดดะฮฺ (การครองตนโดยไม่แต่งงาน)ของหญิงที่สามีตาย ซึ่งในระยะแรกนั้นอิดดะฮฺของนางคือ 1 ปีเต็ม ตามที่ปรากฏในอัลกุรอาน สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ : 240 หลังจากนั้นอัลลอฮฺตะอาลาก็ทรงเปลี่ยนให้เป็น 4 เดือน
กับ 10 วันดังปรากฏในสูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ : 234 เป็นต้น
ไม่มีการคิลาฟ
(การขัดแย้งทางทัศนะ) ในยุคนี้
เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มีชีวิตอยู่ในยุคนี้
และท่านก็เป็นผู้บอกหุก่มที่มาจากองค์อัลลอฮฺตะอาลา เมื่อมีปัญหาใดๆทุกคนก็จะกลับไปหาท่าน
สอบถามท่าน กล่าวคือ บทบัญญัติทั้งหมดนั้นล้วนมาจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ พร้อมคำอธิบายและการตอบข้อซักถามของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
จึงไม่มีการขัดแย้งทางทัศนะเกิดขึ้นในยุคนี้
การจดบันทึกในยุคนี้
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ตั้งให้เศาะหาบะฮฺบางท่านทำหน้าที่บันทึกโองการอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมายังท่าน
เช่น ท่านเซด บิน ษาบิต หรือท่านอะลี บิน อบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา และท่านอื่นๆ
ในส่วนของหะดีษนั้น ช่วงแรกๆท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ห้ามให้บันทึกเพราะเกรงว่าจะสับสนกับอัลกุรอาน
แต่ภายหลังท่านก็อนุญาตให้บันทึกไว้ได้ ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ทำการบันทึกหะดีษของท่านในยุคนี้
ก็คือท่านอับดุลลอฮฺ บิน อัมร์ บิน อัลอาศ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮฺ
วันที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จากไปนั้น
อัลกุรอานล้วนถูกบันทึกไว้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่อยู่กระจัดกระจายและยังไม่ได้ถูกรวบรวมเป็นเล่ม
แต่กระนั้นเศาะหาบะฮฺหลายๆท่านก็ท่องจำอัลกุรอานขึ้นใจ จนกระทั่งสมัยของท่านอบูบักรฺ
เราะฎิยัลลอฮฺอันฮฺ ที่เริ่มมีการรวบรวมอัลกุรอาน และเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในยุคท่านอุษมาน
บิน อัฟฟาน เราะฎิยัลลอฮอันฮฺ ซึ่งถือว่าเป็นการรวบรวมขั้นสุดท้าย
ในส่วนของหะดีษ ถึงแม้จะไม่มีการจดบันทึกไว้ทั้งหมด
แต่บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ท่องจำขึ้นใจเช่นกัน ทั้งนี้ แต่ละท่านก็ท่องจำมากน้อยต่างกันไป
ที่สำคัญคือ สุนนะฮฺทั้งหมดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้รับการท่องจำและรายงานต่ออย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ข้อสรุป
จะเห็นได้ว่าฟิกฮฺในยุคของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้นยังไม่ได้ถูกจำกัดความเช่นที่เราเข้าใจกันทุกวันนี้
แต่ฟิกฮฺในยุคนั้นหมายถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบัญญัติอิสลามในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นในด้านอะกีดะฮฺหลักการยึดมั่น
อิบาดาตหลักการปฏิบัติ หรือ จรรยามารยาทต่างๆในอิสลาม และการบัญญัติหุก่มในยุคนั้นก็ยึดเพียงอัลกุรอานและหะดีษเป็นหลัก
เมื่อเกิดปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ ทุกคนก็จะกลับไปถามท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมทันที
จึงไม่มีข้อขัดแย้งทางทัศนะใดๆ เกิดขึ้น
แหล่งอ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติมได้จาก :
1- ตารีค อัตตัชรีอฺ อัลอิสลามีย์ - เขียนโดย เชค มันนาอฺ อัลก็อฏฏอน
2- อัลมัดค็อล ลิ ดิรอซะฮฺ อัชชะรีอะติล อิสลามิยะฮฺ
- เขียนโดย ศ.ดร.อับดุลกะรีม
ซัยดาน
3- อัลมัดค็อล อิลา อัชชะรีอะฮฺ วัล ฟิกฮฺ อัลอิสลามีย์
- เขียนโดย ศ.ดร.อุมัรฺ อัลอัชก็อรฺ
0 ความคิดเห็น