(4)อิทธิพลของสำนักนิติศาสตร์ทั้ง 4
03:53:00
อิทธิพลของสำนักนิติศาสตร์ทั้ง
4
อิหม่ามทั้งสี่ได้ก่อให้เกิดการพัฒนานิติศาสตร์อิสลามอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง
งานของท่านก่อให้เกิดสำนักนิติศาสตร์ที่กระจายตัวไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
ดังต่อไปนี้
1.มัซฮับ
ฮะนะฟียฺ มีผู้ดำเนินตามกันในกลุ่มประเทศแถบเอเชียกลาง, ส่วนใหญ่ของชมพูทวีป,
ตุรกีและยุโรปตะวันออก เป็นต้น
เป็นแนวนิติศาสตร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของโลกมุสลิมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
2.
มัซฮับ มาลิกียฺ ในยุคก่อนได้รับความนิยมในสเปน เป็นอย่างมาก
ปัจจุบันได้รับความนิยมกันมากในประเทศแถบอัฟริกาเหนือและแอฟริกาตะวันตกเป็นส่วนใหญ่
3.
มัซฮับ ชาฟิอียฺ ได้รับความนิยมมากในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศเยเมน บางส่วนของประเทศอียิปต์ ภาคใต้ของอินเดีย และแอฟริกาตะวันออก เป็นต้น
4.
มัซฮับ ฮัมบะลียฺ กระจัดกระจายโดยทั่วไปในคาบสมุทรอาหรับและประเทศอาหรับข้างเคียง
นอกจากสำนักนิติศาสตร์ทั้งสี่แล้ว
ในยุคแรกเริ่มยังมีสำนักอื่น ๆ อีกหลายสำนัก
เพียงแต่ไม่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ไม่มีผู้สืบทอด
จนทำให้เหลือเพียงทฤษฎีในตำรับตำรา เช่น แนวซอฮีรียะฮฺ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
การปฏิบัติตามนิติศาสตร์อิสลามนั้น ไม่จำเป็นต้องสังกัดสำนักใด ๆ สำนักหนึ่งใน 4
สำนักนี้ตายตัวอย่างเปลี่ยนแปลงมิได้
หรือแม้กระทั่งไม่จำเป็นต้องมีสำนักสังกัดเป็นทางการก็ได้ ในกรณีเช่นนี้
ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ยังคงจำเป็นต้องอาศัยนักฟัตวาที่เขาต้องปฏิบัติตาม
แต่ถ้าเป็นคนที่มีความรู้เพียงพอในการเลือกพิจารณาในประเด็นปัญหาต่าง ๆ
ก็สามารถเลือกเฟ้นปฏิบัติตามทัศนะที่มีน้ำหนักและปฏิบัติได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงได้ ยิ่งกว่านั้นหากเป็นบุคคลระดับมุจญหิดก็ย่อมให้ข้อมูลทางนิติศาสตร์ได้ด้วยตัวเอง
โดยไม่ต้องยึดอยู่กับมัซฮับใด ๆ
อบุล
อะอฺลา อัล-เมาดูดียฺ ได้วิเคราะห์ความสำเร็จของอีหม่ามทั้งสี่เอาไว้ว่าไว้ว่า
“...
แม้ว่าจะมีมุจญตะหิด(ผู้สามารถทำการอิจญติหาดได้)ที่นอกเหนือจากเขาทั้งสี่เป็นจำนวนมาก
แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่ได้ทำให้พวกท่านทั้งสี่อยู่ในฐานะที่เหนือกว่ามุจญตะหิดท่านอื่นๆ
และทำให้ท่านทั้งสี่นี้ถูกขนานนามว่า มุญัดดิด(นักฟื้นฟู)แห่งอิสลาม นั่นก็คือ
ประการที่
1
การที่อิมามทั้งสี่มีความเป็นเลิศ ด้วยการที่มีมุมมองที่ลึกซึ้งและมีพลังทางปัญญาที่เด่นเป็นพิเศษ
เห็นได้จากความคิดทางศาสนาและการก่อเกิดสำนักคิดอันทรงพลัง
ซึ่งการกระตุ้น(ทางปัญญา)ที่มีพลังของพวกท่านยังคงดำเนินต่อไปด้วยการผลิตมุจญตะหิดไปจนกระทั่งถึงฮิจญเราะฮฺศตวรรษที่แปด
นอกจากนี้ พวกท่านยังได้ร่วมกันพัฒนาหลักการพื้นฐานที่ลึกซึ้งในการประยุกต์ใช้ที่เป็นสากลเพื่อการผลิตรายละเอียดต่างๆที่ได้มาจากรากฐานคำสอนอิสลาม
และเพื่อนำกฎชะรีอะฮฺ(กฎหมายอิสลาม)ไปใช้แก้ปัญหาต่างๆในชีวิตได้ ผลของงานเหล่านี้ของพวกท่าน
ได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นว่า งานทั้งหมดในยุคหลังที่เกี่ยวข้องกับวิธีการอิจญติฮาดนั้นถูกผลิตมากจากแนวคิดที่ได้มาจากหลักการของพวกท่าน
และคงจะไม่มีมุจญตะฮิดคนใดในอนาคตยอมสูญเสียสายตา โดยก้าวไปตามเส้นทางอย่างอิสระ
ด้วยการละทิ้งหลักการที่พวกท่านได้วางไว้
ประการที่
2
การที่อิมามทั้งสี่กระทำสิ่งต่างๆข้างต้นอย่างอิสระ
โดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆจากรัฐบาล
ในบางโอกาสพวกท่านต้องหนีห่างจากการแทรกแซงของทางการ
เพื่อที่จะได้ทุ่มเทกับงานของท่านอย่างสงบ
การวางความสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้พวกท่านต้องประสบกับความยากลำบากและการถูกลงโทษอย่างหนักหน่วง
...แม้ว่าต้องพบกับความทุกข์ยากเช่นไร
บรรดาอิหม่ามผู้มีเกียรติเหล่านี้ไม่เคยยอมให้อิทธิพลของทางการมาหน่วงเหนี่ยวหรือส่งผลกระทบต่องานรวบรวบและค้นคว้าวิจัยในความรู้ต่างๆของอิสลามเลย
เพราะฉะนั้น
พวกเขาจึงสามารถจัดวางรูปแบบความรู้ดังกล่าวขึ้นมาได้ ด้วยแบบอย่างของพวกท่าน
ซึ่งแม้ว่าพวกท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่งานด้านอิจญติหาด
และการรวบรวมความรู้ของพวกท่านก็ยังคงอยู่
โดยปลอดจากการแทรกแซงจากราชสำนักในระยะเวลานานไม่น้อยเลยทีเดียว
แท้จริง
ผลของการทำงานหนักและพากเพียรของพวกเขาทำให้งานที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับอัล-กุรอานและกฏหมายอิสลาม
รวมทั้งการรวบรวมหะดีษที่ถูกต้องทั้งหมดมาถึงเรานั้น
อยู่ในสภาพที่บริสุทธิ์โดยไม่แปดเปื้อนตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาอย่างน่าประหลาดใจ
…”
การปรากฏสำนักนิติศาสตร์อิสลามก็สะท้อนให้เห็นการเคลื่อนไหวอิสลามในยุคแรกที่มองการณ์ไกลว่า
หากปล่อยให้ผู้คนที่ขาดความรู้ในอิสลามที่กว้างขวางปฏิบัติศาสนากันเอาเอง
โดยขาดระเบียบแบบแผนทางนิติศาสตร์ที่เป็นระบอบและมีขั้นตอนจะนำไปสู่พฤติกรรมที่ออกนอกลู่นอกทาง
...
ประวัติศาสตร์อิสลามพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า
สำนักนิติศาสตร์อิสลามช่วยทำให้ผู้คนในดินแดนอันกว้างใหญ่ของอิสลามสามารถนำอิสลามไปปฏิบัติได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้นิติศาสตร์อิสลามที่นำเสนอผ่านสำนักต่าง ๆ
นั้นได้รับการตอบสนองแตกต่างกันออกไปตามพื้นที่ที่แตกต่างกัน
สิ่งนี้ช่วยย้ำว่าการตัดสินใจของพวกเขานั้นถูกต้องและก่อประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อโลกมุสลิม
นิยามของมัซฮับ
มัซฮับตามหลักภาษา หมายถึง
ที่ไป หรือ ทางไป ตามหลักวิชาการ หมายถึง
ข้อเท็จจริงที่เกียวกับธรรมเนียมในเชิงปฏิบัติของปวงปราชญ์ที่ถูกนำมาใช้กับฮุกุ่มต่างๆ ที่อิมามในขั้นระดับมุจญฮิดได้วินิจฉัยออกมา หรือหมายถึงฮุกุ่มต่างๆ
ที่ได้วินิจฉัยออกมาตรงตามกฎเกณฑ์และหลักการของอิมามที่อยู่ในขั้นระดับมุจญฮิด โดยบรรดาสานุศิษย์ที่อยู่ในระดับมุจญฮิดที่ปฏิบัติตามหลักการต่างๆ ของอิมามในการวิเคราะห์วินิจฉัยฮุกุ่มออกมา
การมีมัซฮับตามความที่กล่าวมานี้ จึงหมายถึง
หนทางหรือแนวทางของบรรดาปวงปราชญ์ได้ยึดถือปฏิบัติกัน ไม่ว่าจะเป็นนักหะดิษ นักนิติศาสตร์
นักธิบายอัลกุรอาน
และอักษรศาสตร์
ซึ่งในเรื่องนี้นั้น
ไม่มีนักวิชาการท่านใดที่โลกยอมรับจะให้การปฏิเสธ เพราะท่านจะพบว่า บรรดานักวิชาการทั้งหลายเขาปฏิบัติตามมัซฮับที่ตนพึงพอใจทั้งสิ้นโดยเขานำมาฟัตวาและตัดสินแก่ผู้คนทั้งหลาย
ท่าน
มุฮัมมัด อัลค่อฏิร อัชชันกีฏีย์
ซึ่งเป็นปรมจารณ์แห่งปวงปราชญ์
ได้กล่าวไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า
“ก๊อมอุ อะฮ์ลิลอิจญฮาด อัน อัฏเฏาะอฺนิ ฟี
ตักลีด อะอิมมะฮ์ อัลอิจญฮาด” หน้าที่
75 ว่า “ส่วนเรื่องการที่คนเอาวามต้องปฏิบัติตามผู้รู้ที่เป็นมุจญฮิดนั้น มีหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ และยังเป็นมติแห่งปวงปราชญ์ใน 3
ศตวรรษแรกของอิสลามที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นประชาชาติที่ดีเลิศจากท่านนบี(ซ.ล.)
ผู้ทรงสัจจะและได้ถูกรับรองความสัจจะจากอัลเลาะฮ์(ซ.บ.)
รวมทั้งมติของปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามหลังจากนั้น
นอกจากความขัดแย้งของกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ที่อยู่ในกรุงแบกแดดที่มาขัดมติของปวงปราชญ์ตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา
ความจริงแล้ว การตักลีดเป็นที่ระบือในยุคสมัยของซอฮาบะฮ์ผู้มีเกียรติและไม่มีซอฮาบะฮ์คนใดที่ปฏิเสธเรื่องนี้หรอก เพราะท่านอิมาม อิบนุ หะญัร
อัลอัสก่อลานีย์
ซึ่งเป็นอะมีรุลมุอ์มินีนนั้น(หมายถึงผู้ที่จดจำหะดิษและสายรายงานหะดิษต่างๆ เป็นจำนวนกว่า 3 แสนหะดิษ) ได้กล่าวให้เราทราบไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า อัล-อิซอบะฮ์
ฟี ตัมยีซฺ อัลซ่อฮาบะฮ์ เล่ม 4
หน้า 148 โดยมีสายรายงานมาจากท่านฏอวูส
(ขออัลเลาะฮ์ทรงเมตตา) เขากล่าวว่า
“ข้าพเจ้าได้พบเห็น
ซอฮาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ถึง 70 ท่าน
เมื่อพวกเขาเกิดข้อพิพาทกันขึ้นในเรื่องหนึ่งเรื่องใด พวกเขาจะกลับไปยึดคำพูดของท่าน อิบนุ อับบาส
(ร.ฏ.)”
วิเคราะห์คำรายงานที่ได้กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า
บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.)จำนวนมากจะตักลีดตามท่านอิบนุอับบาสในปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาไม่รู้ จึงเป็นเรื่องที่ชี้ชัดว่า ซอฮาบะฮ์เขาก็มีมัซฮับและตักลีดอีกด้วย ความจริงแล้วเหล่าซอฮาบะฮ์ของท่านนบี(ซ.ล.)
มีจำนวนกว่าแสนคน
แต่ในขณะที่ฟัตวาได้ออกมาจากพวกเขา
ที่ได้มีการจดจำมีราวๆ 130
กว่าคน เรื่องนี้ท่านอิบนุก๊อยยิม ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า เอี๊ยะอฺลาม อัลมุวักกิอีน เล่ม 1 หน้า 10 ว่า “นี่ไง
ท่านอิมามแห่งซุนนะฮ์ อะหฺมัด
อิบนุ หัมบัล
ก็ยังตักลีดตามอิมามชาฟีอีย์(ร.ฏ.) ซึ่งเรื่องนี้ ท่านอิบนุอะซากิร ได้รายงานไว้ในหนังสือของท่านที่มีชื่อว่า
ตารีค ดิมัช เล่ม 51 หน้า 351 ท่านอิบนุหะญัร
อัลอัสก่อลานีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ
ตะฮ์ซีบ อัตตะฮ์ซีบ เล่ม 9 หน้า
25 โดยรายงานจากฮุมัยด์ อิบนุ อะหฺมัด
อับบะซอรีย์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่กับท่านอะหฺมัด อิบนุ หัมบัล
ซึ่งในขณะที่เรากำลังศึกษาเกี่ยวกับปัญหาหนึ่ง ก็มีชายคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านอะหฺมัด บิน
หัมบัลว่า “ท่านอบูอับดิลลาห์ครับ หะดิษในประเด็นนี้ไม่ซอฮิหฺ ท่านอะห์มัดจึงตอบว่า
ถึงแม้ว่าหะดิษในประเด็นนี้ไม่ได้ซอฮิหฺก็ตาม
แต่มันก็มีคำพูดของท่านอิมามอัชชาฟิอีย์
รับรองอยู่
และการยึดมั่นในคำพูดของท่านอิมามชาฟิอีย์
ย่อมเป็นสิ่งที่มีความแน่นแฟ้นอย่างที่สุดในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามโดยทั่วไป ไม่ว่าจะอยู่ในมัซฮับหะนะฟีย์ , มาลิกีย์ ,ชาฟิอีย์ , และหัมบาลีย์
ต่างก็ยึดถือปฏิบัติตามแนวทางแห่งการมีมัซฮับและตักลีด และในเรื่องนี้
มีนักวิชาการหรือปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามที่ถูกยอมรับนั้น ต่างก็มีมัซฮับและตักลีดตามบรรดาอิมามทั้งสี่ทั้งสิ้น แม้กระทั่ง
ท่านอิบนุตัยมียะฮ์
ท่านาอินุก๊อยยิม
ก็อยู่ในมัซฮับหัมบาลีย์
ท่านอิบนุกะษีร
ซึ่งเป็นนักปราชญ์หะดิษและอถาธิบายอัลกุรอาน ก็อยู่ในมัซฮับชาฟิอีย์ ท่านอัซซะฮะบีย์ ก็อยู่ในมัซฮับชาฟิอีย์
ความจริงแล้ว บรรดาปวงปราชญ์ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กและรุ่นอาวุโสก็ยึดบรรดามัซฮับของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่ได้มีการสืบทอดหลักการต่อๆ กันมา
ปวงปราชญ์มัซฮับหะนะฟีย์
ท่านอิมามอบูยูซุฟ , ท่านอิมามมุหัมมัด บิน อัล-หะซัน , ท่านอับดุลเลาะฮ์
บิน อัลมุบาร๊อก , ท่านซุฟัร , ท่านญะฟัร
อัฏเฏาะหาวีย์ , ท่านอัซซัรค่าชีย์ , อันนะซะฟีย์
, อะห์มัด บิน มุหัมมัด อัลบุคอรีย์ , ท่านอัซซัยละอีย์
, ท่านอัลกะมาล บิน อัลฮุมาม , ท่านอิบนุ
อันนุญัยม์ , ท่านอิบนุอาบิดีน , และบรรดาปวงปราชญ์อีกหลายพันคนที่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติส่วนบุคคลในมัซฮับหะนะฟีย์ ที่มีชื่อว่า
ฏ่อบะก๊อต อัลหะนะฟียะฮ์ ถ้าจะพิจารณาประเทศต่างๆ
ที่ปฏิบัติตามมัซฮับหะนะฟีย์โดยส่วนใหญ่แล้ว คือ
อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ
สินธุ อัฟกานิสถาน กลุ่มประเทศอาหรับในแถบชาม เช่นซีเรีย
อิรัก และกลุ่มประเทศยุโรป ก็คือตามมัซฮับหะนะฟีย์ทั้งสิ้น
ปวงปราชญ์มัซฮับมาลิกีย์
ท่านอิมามอิบนุ
อัลกอซิม
, ท่านอัลอัชฮับ , ท่านซั๊วะหฺนูน , ท่านอะซัด บิน อัลฟุร๊อด ,
ท่านอัซบั๊ฆฺ , ท่านอิบนุ อับดุลบัรร์
, ท่านกอฏีย์ อัลอิยาฏ , ท่านอิบนุ
อัลอะรอบีย์ อัลมาลิกีย์ , ท่านอบูบักร อัฏฏุรฏูชีย์ , ท่านอิบนุ
อัลหาญิบ , ท่านอิบนุ อัลมุนัยยิร , ท่านอิบนุ
รุชด์ , อัลบากิลลานีย์ , ท่านอัลบาญี
, ท่านอัลกุรฏุบีย์ , ท่านอัลกุรอฟีย์ , ท่านอัชชาฏิบีย์ , ท่านอิบนุ คอลดูน , และบรรดาปวงปราชญ์อีกหลายท่านที่ถูกรวมอยู่ในตำรับตำราที่เกี่ยวกับประวัติส่วนบุคคลของมัซฮับมาลิกีย์ ซึ่งเรียกว่า
“ฏ่อบะก๊อต มาลิกียะฮ์”
นักปราชญ์เหล่านี้อยู่ในมัซฮับของอิมามมาลิกทั้งสิ้น และท่านสามารถกล่าวได้ว่า นักปราชญ์แห่งเมืองต่างๆ ในกลุ่มประเทศอาหรับตะวันตกในทวีปอาฟริกา เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 แห่งฮิจเราะฮ์ จวบจนถึงทุกวันนี้ ได้ยึดถือตามมัซฮับมาลิกีย์ทั้งสิ้น
ปวงปราชญ์มัซฮับอิมามชาฟิอีย์
ท่านอิมามอัลมุซะนีย์ , ท่านอิมามอัลบุวัยฏีย์ , ท่านอิบนุ อัลมุนซิร
, ท่านมุหัมมัด บิน ญะรีร อัฏฏ๊อบรีย์ , ท่านอิบนุ
สุรัยจฺญ์ , ท่านอิบนุ คุซัยมะฮ์ , ท่านอัลก๊อฟฟาล
, ท่านอัลบัยฮะกีย์ , ท่านอัลค๊อฏฏอบีย์
, ท่านอบู อิสหาก อัลอัสฟิรอยีนีย์ , ท่านอบู
อิสหาก อัชชีรอซีย์ , ท่านอัลมาวัรดีย์ , ท่านอบูฏ๊อยยิบ อัศเศาะลูกีย์ , ท่านอบูบักร
อัลอิสมาอีลีย์ , ท่านอิมาม อัลหะร่อมัยน์ , ท่านหุจญฺตุลอิสลาม อัลฆ่อซาลีย์ , ท่านอัลบะฆอวีย์
, ท่านอัรรอฟิอีย์ , ท่านอบู ชามะฮ์ , ท่านอิบนุ ริฟอะฮ์ , ท่านอิบนุ ศ่อลาห์ , ท่านอิมามอันนะวาวีย์ , ท่านอิซซุดีน บิน อับดุสลาม
, ท่านอิบนุ ดะกีก อัลอีด , ท่านอัลหาฟิซฺ
อัลมุซซีย์ , ท่านตายุดดีน อัศศุบกีย์ , ท่านอัซซะฮะบีย์ , ท่านอิรอกีย์ , ท่านอัซซัรกาชีย์ , ท่านอิบนุหะญัร อัลอัสก่อลานีย์
, ท่านอัสศะยูฏีย์ , ท่านชัยคุลอิสลาม
ซะกะรียา อัลอันซอรีย์ , และบรรดานักปราชญ์อีกเป็นพันๆ ที่ไม่สามารถเอ่ยนามพวกเขาได้ทั้งหมด
และบรรดานักปราชญ์มัซฮับชาฟิอีย์ได้ถูกระบุไว้ในหนังสือ “อัฏฏ่อบะก๊อต
อัชชาฟิอียะฮ์” ก็มีถึง 1419 ท่าน
ปวงปราชญ์มัซฮับหัมบาลีย์
ท่านอิมามอาญุรรีย์ , ท่านอบู อัลค๊อฏฏอบ อัลกัลป์วาซะนีย์ , ท่านอบูบักร
อันนัจญาร , ท่านอบูยะอฺลา , ท่านอัลอัษรอม
, ท่านอิบนุ อบีมูซา , ท่านอิบนุ
อัซซ๊อยรอฟีย์ , ท่านอิบนุ ฮุบัยเราะฮ์ , ท่านอิบนุ อัลเญาซีย์ , ท่านอิบนุ ตัยมียะฮ์
, ท่านอิบนุ รอญับ , ท่านอิบนุ รุซัยน์
, ท่านอิบนุรอญับ , และบรรดานักปราชญ์ท่านอื่นๆ
อีกมากมาย
และนักปราชญ์มัซฮับหัมบาลีย์ที่ได้ถูกกล่าวไว้ในหนังสือ “อัลมักซิด
อัลอัรชัด” มีถึง 1315 ท่าน
ดังนั้น ประชาชาติอิสลามศตวรรษแล้วศตวรรษเล่าได้ให้การยอมรับในการตักลีดตามนักปราชญ์มุจญฮิดผู้วินิจฉัย ทั้งที่ในสิ่งดังกล่าวนี้
ก็ไม่ใช่เป็นความคลั่งไคล้และแบ่งพรรคแบ่งพวก แต่ความเป็นพี่น้องในศาสนา จึงทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกัน และบรรดาวงล้อมที่ทำการศึกษาวิชาความรู้ ก็ได้สมานฉันท์พวกเขาเอาไว้ พวกเขาต่างศึกษาความรู้ซึ่งกันและกัน และยกย่องสรรเสริญกันและกัน
โดยที่ท่านเกือบจะไม่พบถึงประวัตินักปราชญ์มัซฮับ หะนะฟีย์
มาลิกีย์ ชาฟิอีย์
และหัมบาลีย์ นอกจากว่า
ปราชญ์ท่านหนึ่งได้เคยเป็นศิษย์และศึกษากับบรรดานักปราชญ์ที่ไม่ได้อยู่ในมัซฮับของเขา
ดังนั้น มุสลิมคนหนึ่งได้ดำเนินตามมัซฮับเดียว ย่อมถูกนับว่าเป็นการยึดติดและสังกัด แต่มันเป็นการยึดติดและสังกัดที่ถูกสรรเสริญ ไม่ใช่ถูกตำหนิ
ท่านชัยค์
สะอีด หะวา ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “เญาลาต
ฟี อัลฟิกฮัยน์” ว่า “การยึดติดบรรดาปราชญ์ผู้วินิจฉัยหรือมัซฮับของพวกเขาเหล่านั้น เราขอกล่าวว่า
การสังกัดมัซฮับนั้น
หากเป็นเสมือนดังผลสืบเนื่องจากความพึงพอใจในประเด็นหนึ่งที่เป็นเรื่องสัจจะธรรม และเขาก็ยึดมันมาเป็นทัศนะและนำมาปฏิบัติ
แล้วเขาปกป้องมันด้วยหลักการที่เป็นความสัจจริงและยุติธรรม โดยไม่ใช่หลักการตามอารมณ์
หรือปกป้องมันด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ใช่เพื่อดุนยา
หรือปกป้องด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพี่น้องในอิสลาม ไม่ใช่ด้วยจิตวิญญาณแห่งความแตกแยก ดังนั้น
สิ่งดังกล่าว
ย่อมไม่เป็นบาปแต่ประการใด
ยิ่งไปกว่านั้น
มันยังเป็นแบบฉบับของบรรดาซอฮาบะฮ์ที่พวกเขาดำเนินอยู่ แต่ทว่า
การที่มนุษย์คนหนึ่งได้ทำให้คับแคบกับสิ่งที่กว้างขวาง ด้วยการกล่าวหาผู้ที่มีความเห็นต่างกับเขา
หรือกล่าวหาลุ่มหลงและโง่เขลากับผู้อื่นเกี่ยวกับประเด็นข้อวินิจฉัย แน่แท้ว่า
สิ่งดังกล่าวนั้น เป็นความผิดพลาดอย่างชัดเจน เพราะอิมามชาฟิอีย์(ร.ฏ.) กล่าวว่า
“บรรดาปวงปราชญ์ได้ลงมติว่า
อัลเลาะฮ์จะไม่ลงโทษเกี่ยวกับประเด็นที่อุลามาอ์มีความเห็นแตกต่างกัน”
และการยึดมัซฮับหนึ่งที่เปรียบเสมือนผลที่เกิดขึ้นมาจากความไว้วางใจต่อบรรดาอุลามาอ์และหลักการต่างๆ
และที่เปรียบเสมือนผลที่เกิดขึ้นจากความไว้วางใจต่อประชาชาติอิสลามที่ลงมติเห็นพร้องกับการให้เกียรติต่อมัซฮับทั้งสี่และกับบรรดานักปราชญ์ที่มีมัซฮับในยุคสมัยที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น
การยึดมัซฮับจึงไม่ได้มีการแอบแฝงความรังเกียจหรือแสดงท่าทีอันไม่ดีต่อมัซฮับอื่นเลย แต่ยิ่งไปกว่านั้น การมีมัซฮับกลับมีการให้เกียรติและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งย่อมไม่เป็นบาปแต่ประการใด
แต่ถ้าหากมนุษย์คนหนึ่งได้ยึดถือแนวคิดอื่นจากมัซฮับของเขาที่เป็นผลมาจากการตรวจสอบของเขาเองหรือผู้ที่เขาเชื่อถือ แน่นอนว่า
สิ่งดังกล่าวย่อมไม่เป็นบาปแต่ประการใด
ส่วนการยึดติดมัซฮับที่น่าตำหนิ ก็คือ
มุสลิมคนหนึ่งยึดมั่นว่า
มัซฮับที่เขายึดถืออยู่นั้น
เป็นมัซฮับที่ถูกต้องและบรรดามัซฮับอื่นนั้นหลงผิด ซึ่งการคลั่งไคล้เช่นนี้
คือสิ่งที่บรรดานักปราชญ์จากมัซฮับทั้งสี่ทั้งหมดให้การตำหนิ และพวกเขายังให้การยืนยันว่า บรรดามัซฮับอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้น
อยู่บนทางนำ
ท่านอิมาม
อิบนุ หะญัร อัลฮัยตะมีย์ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้กล่าว “ท่านอิมามชาฟิอีย์ ท่านอบูหะนีฟะฮ์ ท่านมาลิก
ท่านอะหฺมัด
และบรรดาปวงปราชญ์ท่านอื่นๆ
ล้วนอยู่บนทางนำของอัลเลาะฮ์
ดังนั้น จึงขอโปรดองค์อัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนพวกเขาจากการเสียสละเพื่ออิสลามและบรรดามุสลิมีนอย่างดีเยี่ยมและสมบูรณ์ด้วยเทอญ
และเมื่อพวกเขาล้วนอยู่บนทางนำของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) ดังนั้น
จึงไม่เป็นบาปแต่ประการใดต่อผู้ที่ชี้นำผู้อื่นให้ยึดมัซฮับใดมัซฮับหนึ่งจากมัซฮับทั้งสี่ หากแม้ว่าการแนะนำนั้น จะขัดกับมัซฮับที่เขาเองยึดถือก็ตาม
เนื่องจากเขาได้ชี้แนะผู้อื่นไปสู่สัจจะธรรมและทางนำ” ดู
อัล-ฟะตาวา อัลฟิกฮียะฮ์
อัลก๊อบรอ เล่ม 4 หน้า 326
0 ความคิดเห็น