เราได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งของเราอยู่กับชีวประวัติของท่านนบียูซุฟนับตั้งแต่วัยเด็กของท่าน เราได้มีโอกาสรับรู้กลอุบายต่างๆของพี่น้องและการทดสอบมากมายที่ท่านเผชิญขณะอยู่ที่อียิปต์ จนกระทั่งท่านได้รับผลตอบแทนจากความอดทนและการเข้าใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าทุกกรณี จนได้รับความไว้วางใจถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนคลังของอียิปต์ จนในที่สุดเขาได้พบกับบิดาและพี่น้องของเขาอีกครั้งหนึ่ง และมีผู้ประกาศข่าว พวกท่านจงเข้าสู่อียิปต์อย่างปลอดภัยเถิดถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์
ยูซูฟ และพี่น้องของเขาคือลูกหลานของอิสรออีลซึ่งก็คือ ยะอ์กูบ ลูกหลานของอิสรออีลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลานานหลายปีติดต่อกัน แต่พวกเขาอยู่ในสภาพที่ถูกกดขี่ ผู้ปกครองอียิปต์คือฟิรเอาน์ได้สังหารลูกหลานของพวกเขาที่เป็นเพศชายทั้งหมดโดยไว้ชีวิตเพศหญิงทั้งนี้เพราะเขาฝันว่าอำนาจการปกครองของเขาจะล่มสลายลง ด้วยน้ำมือของชายคนหนึ่งจากบะนีอิสรออีล
อัลเลาะห์ประสงค์ที่จะส่งนบีท่านหนึ่งจากบะนีอิสรออีล เพื่อมาเชิญชวนพวกเขาสู่การเคารพภักดี อัลเลาะห์เพียงผู้เดียวโดยไม่มีผู้ใดเป็นภาคีของพระองค์ และประกาศเชิญชวนฟิรเอาน์ให้เขาเป็นผู้ศรัทธา นบีท่านนี้ก็คือนบีมูซา
และต่อไปนี้เราจะเริ่มต้นชีวประวัติของมูซาและประชาชาติของเขา
มูซาเป็นศาสนทูตทรงเกียรติ เป็นนบีที่ยิ่งใหญ่ อัลเลาะห์ได้ทรงคัดเลือกเขาเพื่อทำงานที่มีความสำคัญ นั่นคืองานเผยแพร่สัจธรรม ประกาศเชิญชวนสู่เอกภาพของอัลลอฮ์ไม่นำสิ่งใดตั้งภาคีกับพระองค์ สถานที่เผยแพร่ศาสนาของเขาคืออียิปต์ แคว้นไซนาอ์ และชาม อัลเลาะห์ได้ประทานสัญลักษณ์ และอภินิหารให้แก่เขามากมายหลายประการอย่างที่ไม่เคยประทานให้แก่นบีท่านใดมาก่อน การกำเนิดของเขาเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การแต่งตั้งเขาเป็นนบี เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การแต่งตั้งเขาเป็นศาสนทูตก็เป็นสัญลักษณ์ และการประกาศศาสนาของเขาก็เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง
ส่วนประชาชาติของเขาคือ บะนีอิสรออีล ซึ่งอัลลอฮ์ได้คัดเลือกแล้วอีกเช่นเดียวกัน และอัลลอฮ์ได้ให้ความโปรดปรานแก่พวกเขา อย่างที่พระองค์ไม่เคยให้แก่ประชาชาติใดมาก่อน ถึงแม้อัลเลาะห์จะได้คัดเลือกพวกเขามาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็เป็นคนหัวแข็งก้าวร้าว ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำและตักเตือนใดๆ พวกเขาหันเหออกจากหลักเอกภาพของอัลเลาะห์ พวกเขาชอบตั้งคำถามมากมาย แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรต้องตั้งคำถาม
วงศ์ตระกูลของมูซา
นักประวัติศาสตร์กล่าวว่ามูซา เป็นบุตรของอิมรอน บุตรกอฮิต บุตรลาวีย์ บุตรยะอ์กูบ บุตร อิสหาก บุตร อิบรอฮีม
เขาเป็นนบีที่มาจากต้นตระกูลที่เป็นนบีถึงสามท่านคือยะอ์กูบ อิสหากและอิบรอฮีม
ส่วนมารดาของมูซา ชื่อ ยูกาบัด บุตรบุตรีของลาวีย์ จากลูกหลานของยะอ์กูบ
มารดาของมูซาก็เช่นเดียวกันเป็นลูกหลานของนบีทั้งสามท่านนั้น ซึ่งเป็นต้นตระกูลของบรรดานบีที่มายังบะนีอิสรออีลทั้งหมด
มูซาเกิดในอียิปต์ในยุคของกษัตริย์ (กอบูส บุตร มุสอับ บุตร มุอาวิยะห์) บิดาของมูซามีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี ขณะที่ให้กำเนิดเขานบีมูซาเป็นบุตรคนที่สอง รองจาก ฮารูน ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้พี่ เขามีอายุมากกว่ามูซาหนึ่งปี
ฟิรเอาน์ผู้ปกครองอียิปต์ในยุคนั้น ได้ฝันเห็นไฟที่มุ่งหน้ามาจากเยรูซาเล็มจนเข้าสู่อียิปต์ ได้เผาบ้านเรือนในอียิปต์ และเผาผู้คนชาวอียิปต์ แต่ไม่ทำร้ายบะนีอิสรออีลเลย ไฟได้ทำลายบ้านเรือนเสียหาย และทำให้ผู้คนล้มตาย ฟิรเอาน์ตกใจด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุดเขาได้เรียกโหร นักเสกเป่า ทหารองครักษ์ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และชนชั้นปกครอง เข้าพบและเล่าความฝันให้พวกเขาฟัง และขอให้พวกเขาช่วยทำนายฝัน พวกโหรได้ทำนายฝันแก่เขาว่า มีชายคนหนึ่งมาจากเมืองนั้น และความพินาศของอียิปต์จะอยู่เบื้องหน้าเขา ท่านผู้นำอย่าลืมว่าเมืองนั้นคือเยรูซาเล็มและในอาณาจักรของท่านก็มี บะนีอิสรออีล ที่มาจากเมืองนั้นอาศัยอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาถูกเรียกว่าชาวอิบรอนีย์
กษัตริย์ของอียิปต์เชื่อตามคำทำนายของพวกโหรและต้องการจะป้องกันตนเองให้พ้นจากกลุ่มชนที่ความฝันได้มาเตือนเขาให้ระมัดระวัง เขาจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายชาวอิบรอนีย์ทุกคนที่ลืมตาออกมาดูโลก การกระทำอันโหดเหี้ยมนี้ ดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง สาเหตุที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะชาวอียิปต์ได้รับผลประโยชน์จากการมีชาวบะนีอิสรออีลอยู่กับพวกเขานั่นเอง ชาวอียิปต์บังคับให้พวกบะนีอิสรออีลทำงานที่ตกต่ำ และรับใช้ฟิรเอาน์กับพวกพ้องของเขา และการสังหารเด็กผู้ชายทำให้พวกบะนีอิสรออีลมีจำนวนน้อยลง เพราะเด็กต้องถูกฆ่าและคนชราก็เสียชีวิตไปตามกาลเวลา ชาวอียิปต์รู้ว่าพวกเขาต้องการคนรับใช้ แต่ก็ไม่มีใครนอกจากบะนีอิสรออีลเท่านั้น พวกอาวุโสชาวอียิปต์จึงเข้าพบกับฟิรเอาน์ และขอร้องเขาให้ไว้ชีวิตทารกเพศชายชาวอิบรอนีย์เป็นบางส่วน เพื่อจะได้มีคนรับใช้และทำประโยชน์ให้แก่พวกเขาตลอดไป ฟิรเอาน์ตอบรับข้อเสนอนี้ และเห็นชอบให้ทำการสังหารลูกหลานของบะนีอิสรออีล หนึ่งปีเว้นหนึ่งปี และในปีที่งดเว้นไม่สังหารลูกหลานของบะนีอิสรออีล ฮารูน พี่ชายของนบีมูซาได้ถือกำเนิดมา และในปีถัดไปที่ต้องสังหารเด็กๆ ชาวอิบรอนีย์นั้น นบีมูซาได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเขาจะรอดพ้นจากการถูกสังหารไปได้อย่างไร
การพ้นภัยของนบีมูซาถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอัลเลาะผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร มารดาได้ให้กำเนิดนบีมูซาเขาได้ซ่อนนบีมูซาไว้ให้พ้นจากสายตาทหารของฟิรเอาน์ และเมื่อมารดาของนบีมูซากลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย อัลเลาะห์ได้ดลใจนางให้ใช้อุบายที่จะทำให้นบีมูซารอดพ้นไปได้ คล้ายกับนางได้ยินเสียงก้องจากอากาศ บอกแก่นางว่าจงให้นบีมูซาดื่มนม และเมื่อเธอกลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย เธอจงลอยเขาไปตามแม่น้ำ เธออย่ากลัว อย่าเศร้าใจ แท้จริงเราจะนำเขากลับมาหาเธออีกและแต่งตั้งเขาเป็นศาสนทูต
มารดาของนบีมูซาเชื่อตามที่ได้รับการดลใจนั้น เธอได้เรียกช่างไม้มาเพื่อต่อหีบไม้ขึ้นใบหนึ่ง และนำร่างของนบีมูซาใส่ในหีบไม้ใบนั้น ซึ่งขณะนั้นนบีมูซามีอายุได้เพียงไม่กี่วัน เธอได้คลุมหีบใบนั้นด้วยกิ่งไม้แล้วนำไปลอยในแม่น้ําไนล์ และเธอได้กำชับให้พี่สาวของนบีมูซาคอยจับตาดูหีบไม้นั้นว่าไปทางไหน แล้วคอยดูว่านบีมูซาจะเป็นอย่างไรต่อไป พี่สาวของนบีมูซารับคำสั่งจากมารดา และได้ติดตามหีบไม้ใบนั้นไป คลื่นในแม่น้ำได้ซัดหีบไม้ใบนั้น จนไปติดอยู่ใกล้กับราชวังของฟิรเอาน์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับมีทาสหญิงบางคนที่ทำงานอยู่ในราชวังนั้น กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ เมื่อพวกนางเห็นหีบไม้ใบนั้น ก็คิดไปว่ามันอาจเป็นหีบสมบัติอันล้ำค่าที่สมควรนำไปมอบให้แก่นายหญิงของพวกตนคือ อาซิยา มเหสีของฟิรเอาน์
ทันทีที่พวกนางนำหีบใบนั้นไปยังราชวัง และเปิดมันต่อหน้านายผู้หญิง ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเพราะแทนที่จะมีสมบัติมีค่าอย่างที่พวกนางคาดคิด กลับเป็นทารกน้อยเพศชายนอนอยู่ในหีบใบนั้น และทันทีที่มเหสีของฟิรเอาน์เห็นนางก็รู้สึกรักทารกคนนั้นอย่างจับใจ คล้ายกับเขาเป็นลูกของนางเอง นางจะต้องปกป้องเขาให้พ้นจากการสังหารของฟิรเอาน์
ฟิรเอาน์ได้พูดขึ้นว่าฉันเกรงว่าเด็กคนนี้จะเป็นพวกบะนีอิสรออีล และเขาอาจเป็นคนที่ความฝันหมายถึงก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นความพินาศของเราก็จะอยู่ในกำมือของเขา
มเหสีของฟิรเอาน์พูดขึ้นว่า ท่านทั้งหลายอย่าสังหารเขาเป็นอันขาด เขาอาจเป็นประโยชน์แก่พวกเรา หรือเราอาจรับเขาเอาไว้เป็นบุตรเขาก็จะเป็นแก้วตาของฉันและของท่าน
ฟิรเอาน์กล่าวว่าให้เขาเป็นแก้วตาของเธอเพียงคนเดียวเถิด
บางครั้งเราจะเห็นว่าสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้แก่มนุษย์นั้นก็คือสิ่งที่พวกเขาเลือกให้แก่ตัวของพวกเขาเอง ถ้าหากฟิรเอาน์จะให้ความสำคัญกับคำพูดมเหสีของตนที่กล่าวว่า"เขาจะเป็นแก้วตาของฉันและของท่าน"และพอใจกับคำพูดดังกล่าว นบีมูซาก็จะเป็นแก้วตาของเขาด้วยแต่ อัลลอฮ์ ได้ลบออกจากหัวใจของเขาแล้ว นับตั้งแต่นาทีแรกที่เขาเห็นนบีมูซา ดังนั้นเรื่องราวระหว่างนบีมูซา กับ ชาวอียิปต์จึงได้ดำเนินไปอย่างที่ได้เกิดขึ้น
มเหสีของฟิรเอาน์ได้ให้การเลี้ยงดูนบีมูซาเป็นอย่างดี แต่นบีมูซาก็เอาแต่ร้องไห้เพราะเขาหิว เขาพลัดพรากจากมารดาที่ให้ความรักแก่เขา เขาจำเป็นต้องได้รับน้ำนม แล้วใครเล่าจะให้น้ำนมแก่เขาและนั่นก็จะปรากฏสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์อีกประการหนึ่ง เพราะนบีมูซาไม่ได้รับน้ำนมจากแม่นมคนใด ที่มเหสีของฟิรเอาน์จัดหามาเพื่อเลี้ยงดูเขา และถือเป็นโอกาสที่พี่สาวของนบีมูซาจะนำข้อเสนอของตน โดยกล่าวว่าฉันขอแนะนำพวกท่านให้ไปหาครอบครัวหนึ่งที่จะสามารถดูนบีมูซาให้แก่พวกท่านได้ และฉันขอแนะนำแม่นมคนหนึ่งให้แก่พวกท่าน ที่เขาจะให้นมและเลี้ยงดูนบีมูซาได้เช่นเดียวกับมารดาที่ห่วงใยบุตรของตนเอง
มเหสีของฟิรเอาน์ไม่ลังเลแม้แต่น้อยดังได้รับคำแนะนำนั้น และได้สั่งการไปว่า
เธอจงไปนำตัวแม่นมคนนั้นมาทันที เพราะเด็กน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาจะปลอดภัยถ้าหากยอมรับน้ำนมจากเต้านมของนาง
พี่สาวของนบีมูซาเดินทางกลับไปหาผู้เป็นแม่ แจ้งให้แม่ทราบข่าวดีแล้วนำแม่มาเดินทางไปยังราชวังของฟิรเอาน์เมื่อไปถึงนางก็ได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นแม่ทันที นบีมูซาไม่ปฏิเสธเต้านมของนาง เขาดื่มนมจนอิ่มหลังจากหิวกระหาย และหลับไปมเหสีของฟิรเอาน์ได้ขอร้องมารดาของนบีมูซาให้อยู่ในราชวังพร้อมกับเขา แต่นางปฏิเสธโดยอ้างว่ามีบ้านมีสามีและบุตรที่ต้องดูเเล มเหสีของฟิรเอาน์จึงยอมตกลงให้มารดาของนบีมูซา นำนบีมูซากลับไปเลี้ยงดูที่บ้านในช่วงที่ดื่มนม และสัญญาของอัลเลาะห์ที่ให้ไว้แก่มารดาของนบีมูซาก็เป็นจริงจากคำตรัสที่ว่า"แท้จริงเราจะนำเขากลับมาหาเธออีก"
วัยเด็กของนบีมูซา
ในวัยเด็กนบีมูซาได้ใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมอกของบิดามารดาของตนและอยู่ร่วมกับ ฮารูนพี่ชาย และพี่สาวของตนอย่างอบอุ่น จนเมื่อถึงวัยหย่านม นบีมูซาจึงต้องกลับไปอยู่ในราชวังของฟิรเอาน์อีกครั้งหนึ่ง เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในราชวังเหมือนกับเป็นคนในวังคนหนึ่งชื่อที่พวกนั้นเรียกเขาคือ มูซา บุตร ฟิรเอาน์
นักประวัติศาสตร์เล่าว่าเมื่อฟิรเอาน์เห็นมูซากลับไปยังราชวังอีก และได้วิ่งเล่นอยู่ในราชวังตามประสาเด็ก เขาก็อยากจะหยอกล้อกับมูซา แต่มูซาได้จับเคราของเขาแล้วกระชากโดยแรงทำให้เคราหลุดออกมาหลายเส้นฟิรเอาน์รู้สึกเจ็บ และโกรธมากจึงจะออกถึงกับออกคำสั่งว่า
จงไปนำตัวเพชฌฆาตมาประหารเด็กน้อยคนนี้เสียฉันรู้สึกว่าเขานี่แหละ คือคนที่จะมาทำลายอำนาจของฉัน
ช่างน่าประหลาดกับความคิดของฟิรเอาน์เพราะถ้าหากอำนาจของเขาจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของเด็กคนนี้จริงๆ อัลเลาะห์ก็จะต้องปกปักษ์รักษาเขา ไม่ให้ผู้ใดทำอันตรายเขาได้ และถ้าหากเขาไม่ใช่เด็กคนนั้น ก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะสังหารเด็กน้อยคนนี้
และสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์ก็เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งในการแสดงท่าทีนี้ของฟิรเอาน์นั่นคือ มเหสีของเขาได้กล่าวขึ้นว่า นบีมูซาเป็นเด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไร สมควร อะไรไม่สมควร ให้เราทำการทดสอบเขาดูก่อนว่าเขามีความสามารถในการแยกแยะได้มากน้อยเพียงใด แล้วจึงค่อยทำการตัดสินเขาในภายหลัง ตามความสามารถนั้น
มเหสีของฟิรเอาน์ได้นำเอาภาชนะมาสองใบ นางได้ใส่ไข่มุกสองเม็ดไว้ในภาชนะใบแรก ส่วนพระชนะใบที่สองนางได้วางถ่านไฟไว้สองก้อน และนำภาชนะทั้งสองนั้นมาวางลงข้างหน้านบีมูซา โดยมีฟิรเอาน์คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด อัลเลาะห์ได้ส่งญิบรีลลงมาเพื่อนำถ่านไฟทั้งสองก้อนนั้นใส่ลงในมือของนบีมูซา ซึ่งเด็กน้อยมูซาก็ได้คว้าถ่านไฟทั้งสองก้อนนั้นเข้าปาก จนลิ้นไหม้พอง เมื่อประจักษ์ต่อสายตาของตนอย่างนี้ ฟิรเอาน์จึงเชื่อว่ามูซาไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ได้กระทำลงไปได้ เขาจึงได้ไว้ชีวิตนบีมูซา ให้เป็นแก้วตาของมเหสีของตนต่อไป และนบีมูซาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในราชวังจนเติบโตเป็นหนุ่ม
มูซาออกจากอียิปต์เพียงลำพังผู้เดียว
อัลเลาะห์ได้ปกป้องและคุ้มครองนบีมูซามาโดยตลอด ทั้งที่นบีมูซาเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในราชวังของฟิรเอาน์ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงมีสายสัมพันธ์และความรักกับพวกบะนีอิสรออีล และยังไม่ทันที่นบีมูซาจะเป็นหนุ่มเต็มร่างและอยู่วัยฉกรรจ์ ชาวอียิปต์ก็ไม่กล้าที่จะข่มเหงและรังแกพวกบะนีอิสรออีลเพราะเกรงกลัวพละกำลังและความกล้าหาญของนบีมูซาสำหรับเรื่องนี้อัลกุรอานและหนังสืออธิบายความหมายอัลกุรอานได้เราให้เราทราบชีวประวัติของนบีมูซาไว้ว่า
วันหนึ่งมูซาได้ออกไปเดินเล่นอยู่ในเมือง เขาได้พบชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังข่มเหงชาวบะนีอิสรออีลคนหนึ่งเพื่อบังคับเขาให้ทำงาน ชายชาวอิสราเอลได้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากมูซา ซึ่งมูซาก็รีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือเขา เพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์คนนั้นทันที และได้เกิดการต่อสู้กันขึ้นระหว่างมูซากับชาวอียิปต์ซึ่งจบลงด้วยการเสียชีวิตของชาวอียิปต์คนนั้น มูซาไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิด และเป็นฝ่ายข่มเหงเขาแต่อย่างใด แต่มันเป็นกำหนดของอัลลอฮ์ที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นสาเหตุรองรับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ชาวอียิปต์คนนั้นไม่รู้จักมูซาจึงบอกให้มูซาไปเสียให้พ้นอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชาวอิสราเอลคนนั้น ที่เขากำลังบังคับให้ทำงานตามที่เขาต้องการ แต่มูซาก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าเขาก็เป็นชาวอิสราเอลด้วย ทั้งที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าเขาคือลูกของฟิรเอาน์ เขาไม่ต้องการเห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับพวกพ้องของเขา ดังนั้นเขาจึงต่อยชาวอียิปต์ไปครั้งหนึ่งเบาๆตามที่อัลกุรอ่านได้กล่าวไว้ แต่กำหนดของอัลลอฮ์ต้องเกิดขึ้น และดำเนินไป การต่อยครั้งนั้นทำให้ชายชาวอียิปต์เสียชีวิตทันที มีบางทัศนะที่รายงานว่ามูซาได้จัดการฝังศพชาวอียิปต์คนนั้น และไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเท่านั้น
วันต่อมามูซาได้เข้าไปในเมืองอีก เขากลัวว่าเรื่องราวของเขาจะถูกเปิดเผย เพราะมีผู้พบศพชาวอียิปต์ที่ถูกฆ่าแล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้ตัวคนฆ่า ถ้าหากพวกเขารู้ตัวคนฆ่า ก็จะลงโทษฆาตกรด้วยการประหารชีวิต และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีกเมื่อชาวอิสราเอลคนเดียวกับ เมื่อวานนี้ได้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับชาวอียิปต์อีกคนหนึ่ง มูซารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขารีบเข้าไประงับเหตุ แต่ในครั้งนี้เขาได้ต่อว่าชาวอิสราเอลคนนั้นซึ่งเป็นพวกพ้องของเขาเอง และกล่าวแก่เขาว่า อะไรกันนี่ทะเลาะกันทุกวันเลยหรือ ทำไมจึงทำตัวเหลวไหลอย่างนี้
ชาวอิสราเอลคนนั้นกลัวว่ามูซาจะเข้ามาทำร้ายตนและพยายามที่จะป้องกันตนเองจึงพูดขึ้นว่า
ท่านเป็นอะไรไปมูซาท่านต้องการจะสังหารฉันเหมือนที่ท่านได้สังหารไปแล้วชีวิตหนึ่งเมื่อวานนี้อย่างนั้นหรือท่านต้องการจะเป็นผู้เผด็จการในหน้าแผ่นดิน ท่านไม่ต้องการจะเป็นผู้สรรค์สร้างคุณธรรมหรือ
ความลับของมูซาถูกเปิดเผยขึ้น ชาวอียิปต์คนนั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขารู้ได้ทันทีว่ามูซาคือคนที่ฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้เขาจึงรีบไปบอกพวกพ้องของเขาให้ทราบข่าวนี้ตามที่เขารู้มา ฟิรเอาน์จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปค้นหามูซาและจับกุมเขา แต่อัลเลาะห์ก็มีทหารที่จะคอยให้ความอารักขามูซา และกลุ่มชนผู้มีศรัทธาและมีคนหนึ่งจากกลุ่มชนที่มีศรัทธาที่เป็นพวกพ้องของฟิรเอาน์ เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกตามหามูซา เพื่อจะบอกเตือนเขาให้หลบหนีจากฟิรเอาน์ และทหารของเขาเมื่อเขาตามหาจนพบแล้ว เขาได้บอกแก่มูซาว่าฟิรเอาน์ และพวกพ้องของเขากำลังวางแผนจะสังหารท่านดังนั้นท่านจงออกไปเสียจากเมืองนี้เถิดฉันเป็นผู้ที่หวังดีกับท่าน
มูซาเดินทางออกจากอียิปต์มุ่งหน้าสู่ตะวันออก เขาเดินทางไปเพียงลำพังคนเดียวในทะเลทรายซัยนาอ์(ซีนาย)โดยไม่มีเสบียงและไม่มีน้ำ เขาเดินไปโดยไม่มีรองเท้าสวมใส่ เขาต้องกินใบไม้แทนอาหารเขาเหน็ดเหนื่อยมาก จนในที่สุดเขาก็ได้เดินทางไปถึงแผ่นดินมัดยัน และที่นั่นชีวประวัติอีกส่วนหนึ่งของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้นและถูกบันทึกไว้
ยูซูฟ และพี่น้องของเขาคือลูกหลานของอิสรออีลซึ่งก็คือ ยะอ์กูบ ลูกหลานของอิสรออีลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลานานหลายปีติดต่อกัน แต่พวกเขาอยู่ในสภาพที่ถูกกดขี่ ผู้ปกครองอียิปต์คือฟิรเอาน์ได้สังหารลูกหลานของพวกเขาที่เป็นเพศชายทั้งหมดโดยไว้ชีวิตเพศหญิงทั้งนี้เพราะเขาฝันว่าอำนาจการปกครองของเขาจะล่มสลายลง ด้วยน้ำมือของชายคนหนึ่งจากบะนีอิสรออีล
อัลเลาะห์ประสงค์ที่จะส่งนบีท่านหนึ่งจากบะนีอิสรออีล เพื่อมาเชิญชวนพวกเขาสู่การเคารพภักดี อัลเลาะห์เพียงผู้เดียวโดยไม่มีผู้ใดเป็นภาคีของพระองค์ และประกาศเชิญชวนฟิรเอาน์ให้เขาเป็นผู้ศรัทธา นบีท่านนี้ก็คือนบีมูซา
และต่อไปนี้เราจะเริ่มต้นชีวประวัติของมูซาและประชาชาติของเขา
มูซาเป็นศาสนทูตทรงเกียรติ เป็นนบีที่ยิ่งใหญ่ อัลเลาะห์ได้ทรงคัดเลือกเขาเพื่อทำงานที่มีความสำคัญ นั่นคืองานเผยแพร่สัจธรรม ประกาศเชิญชวนสู่เอกภาพของอัลลอฮ์ไม่นำสิ่งใดตั้งภาคีกับพระองค์ สถานที่เผยแพร่ศาสนาของเขาคืออียิปต์ แคว้นไซนาอ์ และชาม อัลเลาะห์ได้ประทานสัญลักษณ์ และอภินิหารให้แก่เขามากมายหลายประการอย่างที่ไม่เคยประทานให้แก่นบีท่านใดมาก่อน การกำเนิดของเขาเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การแต่งตั้งเขาเป็นนบี เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การแต่งตั้งเขาเป็นศาสนทูตก็เป็นสัญลักษณ์ และการประกาศศาสนาของเขาก็เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง
ส่วนประชาชาติของเขาคือ บะนีอิสรออีล ซึ่งอัลลอฮ์ได้คัดเลือกแล้วอีกเช่นเดียวกัน และอัลลอฮ์ได้ให้ความโปรดปรานแก่พวกเขา อย่างที่พระองค์ไม่เคยให้แก่ประชาชาติใดมาก่อน ถึงแม้อัลเลาะห์จะได้คัดเลือกพวกเขามาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็เป็นคนหัวแข็งก้าวร้าว ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำและตักเตือนใดๆ พวกเขาหันเหออกจากหลักเอกภาพของอัลเลาะห์ พวกเขาชอบตั้งคำถามมากมาย แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรต้องตั้งคำถาม
วงศ์ตระกูลของมูซา
นักประวัติศาสตร์กล่าวว่ามูซา เป็นบุตรของอิมรอน บุตรกอฮิต บุตรลาวีย์ บุตรยะอ์กูบ บุตร อิสหาก บุตร อิบรอฮีม
เขาเป็นนบีที่มาจากต้นตระกูลที่เป็นนบีถึงสามท่านคือยะอ์กูบ อิสหากและอิบรอฮีม
ส่วนมารดาของมูซา ชื่อ ยูกาบัด บุตรบุตรีของลาวีย์ จากลูกหลานของยะอ์กูบ
มารดาของมูซาก็เช่นเดียวกันเป็นลูกหลานของนบีทั้งสามท่านนั้น ซึ่งเป็นต้นตระกูลของบรรดานบีที่มายังบะนีอิสรออีลทั้งหมด
มูซาเกิดในอียิปต์ในยุคของกษัตริย์ (กอบูส บุตร มุสอับ บุตร มุอาวิยะห์) บิดาของมูซามีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี ขณะที่ให้กำเนิดเขานบีมูซาเป็นบุตรคนที่สอง รองจาก ฮารูน ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้พี่ เขามีอายุมากกว่ามูซาหนึ่งปี
ฟิรเอาน์ผู้ปกครองอียิปต์ในยุคนั้น ได้ฝันเห็นไฟที่มุ่งหน้ามาจากเยรูซาเล็มจนเข้าสู่อียิปต์ ได้เผาบ้านเรือนในอียิปต์ และเผาผู้คนชาวอียิปต์ แต่ไม่ทำร้ายบะนีอิสรออีลเลย ไฟได้ทำลายบ้านเรือนเสียหาย และทำให้ผู้คนล้มตาย ฟิรเอาน์ตกใจด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุดเขาได้เรียกโหร นักเสกเป่า ทหารองครักษ์ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และชนชั้นปกครอง เข้าพบและเล่าความฝันให้พวกเขาฟัง และขอให้พวกเขาช่วยทำนายฝัน พวกโหรได้ทำนายฝันแก่เขาว่า มีชายคนหนึ่งมาจากเมืองนั้น และความพินาศของอียิปต์จะอยู่เบื้องหน้าเขา ท่านผู้นำอย่าลืมว่าเมืองนั้นคือเยรูซาเล็มและในอาณาจักรของท่านก็มี บะนีอิสรออีล ที่มาจากเมืองนั้นอาศัยอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาถูกเรียกว่าชาวอิบรอนีย์
กษัตริย์ของอียิปต์เชื่อตามคำทำนายของพวกโหรและต้องการจะป้องกันตนเองให้พ้นจากกลุ่มชนที่ความฝันได้มาเตือนเขาให้ระมัดระวัง เขาจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายชาวอิบรอนีย์ทุกคนที่ลืมตาออกมาดูโลก การกระทำอันโหดเหี้ยมนี้ ดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง สาเหตุที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะชาวอียิปต์ได้รับผลประโยชน์จากการมีชาวบะนีอิสรออีลอยู่กับพวกเขานั่นเอง ชาวอียิปต์บังคับให้พวกบะนีอิสรออีลทำงานที่ตกต่ำ และรับใช้ฟิรเอาน์กับพวกพ้องของเขา และการสังหารเด็กผู้ชายทำให้พวกบะนีอิสรออีลมีจำนวนน้อยลง เพราะเด็กต้องถูกฆ่าและคนชราก็เสียชีวิตไปตามกาลเวลา ชาวอียิปต์รู้ว่าพวกเขาต้องการคนรับใช้ แต่ก็ไม่มีใครนอกจากบะนีอิสรออีลเท่านั้น พวกอาวุโสชาวอียิปต์จึงเข้าพบกับฟิรเอาน์ และขอร้องเขาให้ไว้ชีวิตทารกเพศชายชาวอิบรอนีย์เป็นบางส่วน เพื่อจะได้มีคนรับใช้และทำประโยชน์ให้แก่พวกเขาตลอดไป ฟิรเอาน์ตอบรับข้อเสนอนี้ และเห็นชอบให้ทำการสังหารลูกหลานของบะนีอิสรออีล หนึ่งปีเว้นหนึ่งปี และในปีที่งดเว้นไม่สังหารลูกหลานของบะนีอิสรออีล ฮารูน พี่ชายของนบีมูซาได้ถือกำเนิดมา และในปีถัดไปที่ต้องสังหารเด็กๆ ชาวอิบรอนีย์นั้น นบีมูซาได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเขาจะรอดพ้นจากการถูกสังหารไปได้อย่างไร
การพ้นภัยของนบีมูซาถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอัลเลาะผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร มารดาได้ให้กำเนิดนบีมูซาเขาได้ซ่อนนบีมูซาไว้ให้พ้นจากสายตาทหารของฟิรเอาน์ และเมื่อมารดาของนบีมูซากลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย อัลเลาะห์ได้ดลใจนางให้ใช้อุบายที่จะทำให้นบีมูซารอดพ้นไปได้ คล้ายกับนางได้ยินเสียงก้องจากอากาศ บอกแก่นางว่าจงให้นบีมูซาดื่มนม และเมื่อเธอกลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย เธอจงลอยเขาไปตามแม่น้ำ เธออย่ากลัว อย่าเศร้าใจ แท้จริงเราจะนำเขากลับมาหาเธออีกและแต่งตั้งเขาเป็นศาสนทูต
มารดาของนบีมูซาเชื่อตามที่ได้รับการดลใจนั้น เธอได้เรียกช่างไม้มาเพื่อต่อหีบไม้ขึ้นใบหนึ่ง และนำร่างของนบีมูซาใส่ในหีบไม้ใบนั้น ซึ่งขณะนั้นนบีมูซามีอายุได้เพียงไม่กี่วัน เธอได้คลุมหีบใบนั้นด้วยกิ่งไม้แล้วนำไปลอยในแม่น้ําไนล์ และเธอได้กำชับให้พี่สาวของนบีมูซาคอยจับตาดูหีบไม้นั้นว่าไปทางไหน แล้วคอยดูว่านบีมูซาจะเป็นอย่างไรต่อไป พี่สาวของนบีมูซารับคำสั่งจากมารดา และได้ติดตามหีบไม้ใบนั้นไป คลื่นในแม่น้ำได้ซัดหีบไม้ใบนั้น จนไปติดอยู่ใกล้กับราชวังของฟิรเอาน์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับมีทาสหญิงบางคนที่ทำงานอยู่ในราชวังนั้น กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ เมื่อพวกนางเห็นหีบไม้ใบนั้น ก็คิดไปว่ามันอาจเป็นหีบสมบัติอันล้ำค่าที่สมควรนำไปมอบให้แก่นายหญิงของพวกตนคือ อาซิยา มเหสีของฟิรเอาน์
ทันทีที่พวกนางนำหีบใบนั้นไปยังราชวัง และเปิดมันต่อหน้านายผู้หญิง ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเพราะแทนที่จะมีสมบัติมีค่าอย่างที่พวกนางคาดคิด กลับเป็นทารกน้อยเพศชายนอนอยู่ในหีบใบนั้น และทันทีที่มเหสีของฟิรเอาน์เห็นนางก็รู้สึกรักทารกคนนั้นอย่างจับใจ คล้ายกับเขาเป็นลูกของนางเอง นางจะต้องปกป้องเขาให้พ้นจากการสังหารของฟิรเอาน์
ฟิรเอาน์ได้พูดขึ้นว่าฉันเกรงว่าเด็กคนนี้จะเป็นพวกบะนีอิสรออีล และเขาอาจเป็นคนที่ความฝันหมายถึงก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นความพินาศของเราก็จะอยู่ในกำมือของเขา
มเหสีของฟิรเอาน์พูดขึ้นว่า ท่านทั้งหลายอย่าสังหารเขาเป็นอันขาด เขาอาจเป็นประโยชน์แก่พวกเรา หรือเราอาจรับเขาเอาไว้เป็นบุตรเขาก็จะเป็นแก้วตาของฉันและของท่าน
ฟิรเอาน์กล่าวว่าให้เขาเป็นแก้วตาของเธอเพียงคนเดียวเถิด
บางครั้งเราจะเห็นว่าสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้แก่มนุษย์นั้นก็คือสิ่งที่พวกเขาเลือกให้แก่ตัวของพวกเขาเอง ถ้าหากฟิรเอาน์จะให้ความสำคัญกับคำพูดมเหสีของตนที่กล่าวว่า"เขาจะเป็นแก้วตาของฉันและของท่าน"และพอใจกับคำพูดดังกล่าว นบีมูซาก็จะเป็นแก้วตาของเขาด้วยแต่ อัลลอฮ์ ได้ลบออกจากหัวใจของเขาแล้ว นับตั้งแต่นาทีแรกที่เขาเห็นนบีมูซา ดังนั้นเรื่องราวระหว่างนบีมูซา กับ ชาวอียิปต์จึงได้ดำเนินไปอย่างที่ได้เกิดขึ้น
มเหสีของฟิรเอาน์ได้ให้การเลี้ยงดูนบีมูซาเป็นอย่างดี แต่นบีมูซาก็เอาแต่ร้องไห้เพราะเขาหิว เขาพลัดพรากจากมารดาที่ให้ความรักแก่เขา เขาจำเป็นต้องได้รับน้ำนม แล้วใครเล่าจะให้น้ำนมแก่เขาและนั่นก็จะปรากฏสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์อีกประการหนึ่ง เพราะนบีมูซาไม่ได้รับน้ำนมจากแม่นมคนใด ที่มเหสีของฟิรเอาน์จัดหามาเพื่อเลี้ยงดูเขา และถือเป็นโอกาสที่พี่สาวของนบีมูซาจะนำข้อเสนอของตน โดยกล่าวว่าฉันขอแนะนำพวกท่านให้ไปหาครอบครัวหนึ่งที่จะสามารถดูนบีมูซาให้แก่พวกท่านได้ และฉันขอแนะนำแม่นมคนหนึ่งให้แก่พวกท่าน ที่เขาจะให้นมและเลี้ยงดูนบีมูซาได้เช่นเดียวกับมารดาที่ห่วงใยบุตรของตนเอง
มเหสีของฟิรเอาน์ไม่ลังเลแม้แต่น้อยดังได้รับคำแนะนำนั้น และได้สั่งการไปว่า
เธอจงไปนำตัวแม่นมคนนั้นมาทันที เพราะเด็กน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาจะปลอดภัยถ้าหากยอมรับน้ำนมจากเต้านมของนาง
พี่สาวของนบีมูซาเดินทางกลับไปหาผู้เป็นแม่ แจ้งให้แม่ทราบข่าวดีแล้วนำแม่มาเดินทางไปยังราชวังของฟิรเอาน์เมื่อไปถึงนางก็ได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นแม่ทันที นบีมูซาไม่ปฏิเสธเต้านมของนาง เขาดื่มนมจนอิ่มหลังจากหิวกระหาย และหลับไปมเหสีของฟิรเอาน์ได้ขอร้องมารดาของนบีมูซาให้อยู่ในราชวังพร้อมกับเขา แต่นางปฏิเสธโดยอ้างว่ามีบ้านมีสามีและบุตรที่ต้องดูเเล มเหสีของฟิรเอาน์จึงยอมตกลงให้มารดาของนบีมูซา นำนบีมูซากลับไปเลี้ยงดูที่บ้านในช่วงที่ดื่มนม และสัญญาของอัลเลาะห์ที่ให้ไว้แก่มารดาของนบีมูซาก็เป็นจริงจากคำตรัสที่ว่า"แท้จริงเราจะนำเขากลับมาหาเธออีก"
วัยเด็กของนบีมูซา
ในวัยเด็กนบีมูซาได้ใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมอกของบิดามารดาของตนและอยู่ร่วมกับ ฮารูนพี่ชาย และพี่สาวของตนอย่างอบอุ่น จนเมื่อถึงวัยหย่านม นบีมูซาจึงต้องกลับไปอยู่ในราชวังของฟิรเอาน์อีกครั้งหนึ่ง เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในราชวังเหมือนกับเป็นคนในวังคนหนึ่งชื่อที่พวกนั้นเรียกเขาคือ มูซา บุตร ฟิรเอาน์
นักประวัติศาสตร์เล่าว่าเมื่อฟิรเอาน์เห็นมูซากลับไปยังราชวังอีก และได้วิ่งเล่นอยู่ในราชวังตามประสาเด็ก เขาก็อยากจะหยอกล้อกับมูซา แต่มูซาได้จับเคราของเขาแล้วกระชากโดยแรงทำให้เคราหลุดออกมาหลายเส้นฟิรเอาน์รู้สึกเจ็บ และโกรธมากจึงจะออกถึงกับออกคำสั่งว่า
จงไปนำตัวเพชฌฆาตมาประหารเด็กน้อยคนนี้เสียฉันรู้สึกว่าเขานี่แหละ คือคนที่จะมาทำลายอำนาจของฉัน
ช่างน่าประหลาดกับความคิดของฟิรเอาน์เพราะถ้าหากอำนาจของเขาจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของเด็กคนนี้จริงๆ อัลเลาะห์ก็จะต้องปกปักษ์รักษาเขา ไม่ให้ผู้ใดทำอันตรายเขาได้ และถ้าหากเขาไม่ใช่เด็กคนนั้น ก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะสังหารเด็กน้อยคนนี้
และสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์ก็เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งในการแสดงท่าทีนี้ของฟิรเอาน์นั่นคือ มเหสีของเขาได้กล่าวขึ้นว่า นบีมูซาเป็นเด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไร สมควร อะไรไม่สมควร ให้เราทำการทดสอบเขาดูก่อนว่าเขามีความสามารถในการแยกแยะได้มากน้อยเพียงใด แล้วจึงค่อยทำการตัดสินเขาในภายหลัง ตามความสามารถนั้น
มเหสีของฟิรเอาน์ได้นำเอาภาชนะมาสองใบ นางได้ใส่ไข่มุกสองเม็ดไว้ในภาชนะใบแรก ส่วนพระชนะใบที่สองนางได้วางถ่านไฟไว้สองก้อน และนำภาชนะทั้งสองนั้นมาวางลงข้างหน้านบีมูซา โดยมีฟิรเอาน์คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด อัลเลาะห์ได้ส่งญิบรีลลงมาเพื่อนำถ่านไฟทั้งสองก้อนนั้นใส่ลงในมือของนบีมูซา ซึ่งเด็กน้อยมูซาก็ได้คว้าถ่านไฟทั้งสองก้อนนั้นเข้าปาก จนลิ้นไหม้พอง เมื่อประจักษ์ต่อสายตาของตนอย่างนี้ ฟิรเอาน์จึงเชื่อว่ามูซาไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ได้กระทำลงไปได้ เขาจึงได้ไว้ชีวิตนบีมูซา ให้เป็นแก้วตาของมเหสีของตนต่อไป และนบีมูซาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในราชวังจนเติบโตเป็นหนุ่ม
มูซาออกจากอียิปต์เพียงลำพังผู้เดียว
อัลเลาะห์ได้ปกป้องและคุ้มครองนบีมูซามาโดยตลอด ทั้งที่นบีมูซาเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในราชวังของฟิรเอาน์ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงมีสายสัมพันธ์และความรักกับพวกบะนีอิสรออีล และยังไม่ทันที่นบีมูซาจะเป็นหนุ่มเต็มร่างและอยู่วัยฉกรรจ์ ชาวอียิปต์ก็ไม่กล้าที่จะข่มเหงและรังแกพวกบะนีอิสรออีลเพราะเกรงกลัวพละกำลังและความกล้าหาญของนบีมูซาสำหรับเรื่องนี้อัลกุรอานและหนังสืออธิบายความหมายอัลกุรอานได้เราให้เราทราบชีวประวัติของนบีมูซาไว้ว่า
วันหนึ่งมูซาได้ออกไปเดินเล่นอยู่ในเมือง เขาได้พบชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังข่มเหงชาวบะนีอิสรออีลคนหนึ่งเพื่อบังคับเขาให้ทำงาน ชายชาวอิสราเอลได้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากมูซา ซึ่งมูซาก็รีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือเขา เพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์คนนั้นทันที และได้เกิดการต่อสู้กันขึ้นระหว่างมูซากับชาวอียิปต์ซึ่งจบลงด้วยการเสียชีวิตของชาวอียิปต์คนนั้น มูซาไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิด และเป็นฝ่ายข่มเหงเขาแต่อย่างใด แต่มันเป็นกำหนดของอัลลอฮ์ที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นสาเหตุรองรับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ชาวอียิปต์คนนั้นไม่รู้จักมูซาจึงบอกให้มูซาไปเสียให้พ้นอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชาวอิสราเอลคนนั้น ที่เขากำลังบังคับให้ทำงานตามที่เขาต้องการ แต่มูซาก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าเขาก็เป็นชาวอิสราเอลด้วย ทั้งที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าเขาคือลูกของฟิรเอาน์ เขาไม่ต้องการเห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับพวกพ้องของเขา ดังนั้นเขาจึงต่อยชาวอียิปต์ไปครั้งหนึ่งเบาๆตามที่อัลกุรอ่านได้กล่าวไว้ แต่กำหนดของอัลลอฮ์ต้องเกิดขึ้น และดำเนินไป การต่อยครั้งนั้นทำให้ชายชาวอียิปต์เสียชีวิตทันที มีบางทัศนะที่รายงานว่ามูซาได้จัดการฝังศพชาวอียิปต์คนนั้น และไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเท่านั้น
วันต่อมามูซาได้เข้าไปในเมืองอีก เขากลัวว่าเรื่องราวของเขาจะถูกเปิดเผย เพราะมีผู้พบศพชาวอียิปต์ที่ถูกฆ่าแล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้ตัวคนฆ่า ถ้าหากพวกเขารู้ตัวคนฆ่า ก็จะลงโทษฆาตกรด้วยการประหารชีวิต และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีกเมื่อชาวอิสราเอลคนเดียวกับ เมื่อวานนี้ได้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับชาวอียิปต์อีกคนหนึ่ง มูซารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขารีบเข้าไประงับเหตุ แต่ในครั้งนี้เขาได้ต่อว่าชาวอิสราเอลคนนั้นซึ่งเป็นพวกพ้องของเขาเอง และกล่าวแก่เขาว่า อะไรกันนี่ทะเลาะกันทุกวันเลยหรือ ทำไมจึงทำตัวเหลวไหลอย่างนี้
ชาวอิสราเอลคนนั้นกลัวว่ามูซาจะเข้ามาทำร้ายตนและพยายามที่จะป้องกันตนเองจึงพูดขึ้นว่า
ท่านเป็นอะไรไปมูซาท่านต้องการจะสังหารฉันเหมือนที่ท่านได้สังหารไปแล้วชีวิตหนึ่งเมื่อวานนี้อย่างนั้นหรือท่านต้องการจะเป็นผู้เผด็จการในหน้าแผ่นดิน ท่านไม่ต้องการจะเป็นผู้สรรค์สร้างคุณธรรมหรือ
ความลับของมูซาถูกเปิดเผยขึ้น ชาวอียิปต์คนนั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขารู้ได้ทันทีว่ามูซาคือคนที่ฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้เขาจึงรีบไปบอกพวกพ้องของเขาให้ทราบข่าวนี้ตามที่เขารู้มา ฟิรเอาน์จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปค้นหามูซาและจับกุมเขา แต่อัลเลาะห์ก็มีทหารที่จะคอยให้ความอารักขามูซา และกลุ่มชนผู้มีศรัทธาและมีคนหนึ่งจากกลุ่มชนที่มีศรัทธาที่เป็นพวกพ้องของฟิรเอาน์ เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกตามหามูซา เพื่อจะบอกเตือนเขาให้หลบหนีจากฟิรเอาน์ และทหารของเขาเมื่อเขาตามหาจนพบแล้ว เขาได้บอกแก่มูซาว่าฟิรเอาน์ และพวกพ้องของเขากำลังวางแผนจะสังหารท่านดังนั้นท่านจงออกไปเสียจากเมืองนี้เถิดฉันเป็นผู้ที่หวังดีกับท่าน
มูซาเดินทางออกจากอียิปต์มุ่งหน้าสู่ตะวันออก เขาเดินทางไปเพียงลำพังคนเดียวในทะเลทรายซัยนาอ์(ซีนาย)โดยไม่มีเสบียงและไม่มีน้ำ เขาเดินไปโดยไม่มีรองเท้าสวมใส่ เขาต้องกินใบไม้แทนอาหารเขาเหน็ดเหนื่อยมาก จนในที่สุดเขาก็ได้เดินทางไปถึงแผ่นดินมัดยัน และที่นั่นชีวประวัติอีกส่วนหนึ่งของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้นและถูกบันทึกไว้
วิธีการละหมาด
จำนวนรอกาอัตของละหมาด
ขณะที่อัลเลาะห์ได้กำหนดให้มุสลิมละหมาดฟัรดูนั้น ญิบรีลได้มาหาท่านนบี (ซ.ล.) ดังได้ผ่านมาแล้ว และได้กำหนดเวลาละหมาดให้แก่ท่านนบี (ซ.ล.)ทั้งเริ่มเข้าเวลาและหมดเวลา และได้อธิบายให้ท่านนบี (ซ.ล.) ทราบจำนวนรอกาอัตของการละหมาด ดังต่อไปนี้
ละหมาด ซุบฮ์ :
มีสองรอกาอัต หนึ่งตะชะฮ์ฮุดในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด ดุฮร์ :
มีสี่รอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อัสร์ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์
ละหมาด มัฆริบ :
มีสามรอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อิชาอฺ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์ กับ ละหมาดอัสร์
รุก่นละหมาด
ความหมายของรุก่น :
คือส่วนประกอบสำคัญของสิ่งต่างๆ ดังนั้นรุก่นละหมาดก็คือ ส่วนประกอบสำคัญของละหมาด เช่นการยืน รุกัวะอฺ สุหยูด เป็นต้น ละหมาดจะไม่สมบูรณ์ และมีผลใช้ได้นอกจากต้องมีส่วนประกอบครบสมบูรณ์ ทั้งในรูปแบบการละหมาดและขั้นตอนการละหมาด ที่มีรายงานจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) จากญิบรีล (อ.ล.) รุก่นการละหมาดนั้นสรุปได้สิบสามประการ ซึ่งจะอธิบายแต่ละประการดังต่อไปนี้
1. ตั้งเจตนา (เนียต)
คือมุ่งหน้าสู่สิ่งหนึ่งพร้อมลงมือกระทำ ที่ๆใช้เหนียตคือหัวใจ หลักฐานในเรื่องนี้คือ คำของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ว่า
" อ ะ มั้ ล ต่ า ง ๆ จ ะ มี ผ ล ใ ช้ ไ ด้ ต้ อ ง มี ก า ร ตั้ ง เ จ ต น า"
รายงานโดยบุคอรี (1) และ มุสลิม (1907)
2. ยืน สำหรับผู้ที่มีความสามารถยืนได้ในละหมาดฟัรดู
หลักฐานของรุก่นข้อนี้คือ ฮะดีษที่บุคอรี(1066) รายงาน
จากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคริดสีดวง ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ถึงเรื่องละหมาด ท่านตอบว่า : จงยืนละหมาด หากท่านไม่มีความสามารถก็ให้นั่งละหมาด ถ้าหากท่าน ไม่มีความสามารถก็ให้นอนละหมาด
ที่จะถือว่าคนๆหนึ่งยืนก็ต่อเมื่อเขายืนตรง ถ้าหากเขาก้มโดยไม่มีความจำเป็นใดๆถึงขนาดที่เอาฝ่ามือแตะหัวเข่าได้ ก็ถือว่าเสียละหมาด เพราะรุก่นละหมาดในเรื่องการยืนตรงขาดหายไปจากส่วนหนึ่งของละหมาดของเขา และเมื่อผู้ที่ละหมาดมีความสามารถยืนได้ในบางส่วนของละหมาด และไม่สามารถยืนได้ในส่วนที่เหลือ ก็ให้เขายืนละหมาดในส่วนที่เขามีความสามารถและนั่งละหมาดในส่วนที่เหลือ
เงื่อนไขที่ว่านี้ใช้เฉพาะ "ในละหมาดฟัรดู" ส่วนละหมาดสุนัต การยืนละหมาดสุนัตนั้นก็เป็นสุนัตโดยไม่มีข้อแม้ คือยินยอมให้นั่งละหมาดได้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผู้มี่สามารถยืนละหมาดได้หรือไม่
บุคอรี (1065) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ผู้ใดละหมาดโดยการยืนนั้นประเสริฐที่สุด และผู้ใดละหมาดโดยการนั่ง เขาจะได้รับผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่ยืนละหมาด และผู้ใดที่ละหมาดโดยการนอนเขาจะได้ผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่นั่งละหมาด"
ความหมายที่ว่านอนคือนอนตะแคง
3. ตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม :
หลักฐานในรุก่นในที่นี้คือ ฮะดีษที่ติรมีซี(3) อะบูดาวูด (61) และผู้อื่นได้รายงานว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
" กุญแจของละหมาดคือความสะอาด และสิ่งที่ทำให้ห้าม(การกระทำทั้งที่เคยอนญาตให้กระทำได้ก่อนละหมาด) คือตักบีร และสิ่งที่ทำให้อนุญาต(กระทำสิ่งที่เคยห้ามกระทำในละหมาด) คือการกล่าวสลาม "
วิธีตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
จำเป็นต้องใช้คำว่า "الله أكبر" หรือถ้าจะกล่าวว่า " الله الأكبر" หรือ "الله الجليل أكبر" ก็ใช้ได้ แต่ถ้าเพิ่มคำที่ไม่ใช่คุณลักษณะของอัลเลาะห์ เช่น الله هو الأكبر หรือ เปลี่ยนรูปประโยค เช่นกล่าวว่า أكبر الله การตักบีรนั้นใช้ไม่ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือ จำเป็นต้อง ปฏิบัติตามการกระทำของท่านนบี (ซ.ล.) และความจริงท่านนบี (ซ.ล.) ก็ได้ใช้รูปแบบนี้ในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ของท่านอยู่เป็นประจำ
เงื่อนไขในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
การตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ที่นับว่าใช้ได้นั้น มีเงื่อนไขหลายประการที่จะต้องระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. ต้องตักบีรขณะยืน ถ้าหากกล่าวตักบีรระหว่างลุกขึ้นไปละหมาดการตักบีรนั้นใช้ไม่ได้
ข. ต้องกล่าวตักบีร ในสภาพที่หันหน้าไปทางกิบละห์
ค. ต้องกล่าวคำตักบีร เป็นภาษาอาหรับ แต่ผู้ที่ไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ และไม่สามารถศึกษาได้ทันเวลาละหมาด ให้เขาแปลและใช้ความหมายของตักบีร เป็นภาษาอะไรก็ได้ตามแต่เขาต้องการ และเขาจำเป็นต้องศึกษาการตักบีรเป็นภาษาอาหรับถ้าหากเขามีความสามารถศึกษาได้
ง. จะต้องให้ตนเองได้ยินคำตักบีร ทุกตัวอักษร หากเขาหูดี
จ. จะต้องตักบีรพร้อมเนียต ดังได้กล่าวมาแล้ว
4. อ่านฟาติฮะห์
การอ่านฟาติฮะห์เป็นรุก่นหนึ่งในทุกรอกาอัตของการละหมาด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดอะไรก็ตาม
หลักฐาน ดังกล่าว :
ฮะดีษที่บุคอรี(723) และมุสลิม (394) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ไม่มีละหมาดแก่ผู้ที่ไม่อ่านฟาติฮะติ้ลกิตาบ"
และบิ้สมิลลาห์ นั้นเป็นอายะห์หนึ่งของฟาติฮะห์ ดังนั้นการอ่านฟาติฮะห์โดยผู้ละหมาดไม่ได้เริ่มต้นด้วย
بسم الله الرحمن الرحيم
ถือว่าการอ่านฟาติฮะห์นั้นใช้ไม่ได้ เพราะอิบนุคุซัยมะห์ได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์
จากอุมมิซะละมะห์ (ร.ด.) ว่า แท้จริงท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับบิสมิลลาห์ เป็นอายะห์หนึ่ง
เงื่อนไขการอ่านฟาติฮะห์ที่ใช้ได้
ในการอ่านฟาติฮะห์นั้น จำเป็นต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ตนเองได้ยิน ถ้าหากเขามีประสาทรับฟังปานกลาง
ข. อ่านเรียงตามลำดับของฟาติฮะห์ ตามที่ปรากฎในอัลกุรอาน โดยต้องระมัดระวังการออกเสียงให้ถูกต้องตามตำแหน่งของแต่ละตัวอักษร และเน้นคำที่ "ชัดดะห์" ให้ชัดเจน
ค. ไม่อ่านผิดถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย ถ้าหากอ่านผิดไม่ถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย การอ่านนั้นก็ใช้ได้
ง. อ่านฟาติฮะห์ในขณะยืน ถ้าหากเขาก้มในขณะที่ยังคงอ่านฟาติฮะห์ไม่จบ การอ่านฟาติฮะห์ นั้นใช้ไม่ได้ เขาจะต้องกลับไปอ่านใหม่ และถ้าหากผู้ละหมาดไม่สามารถอ่านฟาติฮะห์ได้ เพราะไม่ใช่เป็นชาวอาหรับ หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม ให้เขาอ่านอัลกุรอานที่เขาจดจำได้เจ็ดอายะห์แทนการอ่านฟาติฮะห์ ถ้าหากเขาไม่ได้จดจำสิ่งใดจากอัลกุรอานเลย ก็ให้เขา "ซิกรุ้ลเลาะห์" นานเท่ากับเวลาที่อ่านฟาติฮะห์ หลังจากนั้นก็ก้มลงรุกัวะอฺ
5.รุกัวะอฺ
รุกัวะอฺ ตามบัญญัติศาสนาหมายถึง การที่ผู้ละหมาดก้มลงเท่าที่เขาจะสามารถก้มได้ โดยให้ฝ่ามือทั้งสองข้างถึงหัวเข่าทั้งสองข้างของเขา นี่เรียกว่าเป็นการรุกัวะอฺ ที่พอใช้ได้ ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์ก็คือ เขาจะต้องก้มลงให้แผ่นหลังเสมอกันเป็นแนวตรง
หลักฐานในเรื่องนี้คือ
อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า
"โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูดเถิด "(อัลฮัจย์ : 77)
และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ผู้ที่ท่านได้สอนวิธีละหมาดแก่เขาว่า
"หลังจากนั้นท่านจงรุกัวะอฺ จนหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ "
และการกระทำของท่านนบีได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์มากมาย
เงื่อนไขในการรุกัวะอฺ
การรุกัวะอฺ ที่ใช้ได้นั้น ผู้ละหมาดจะตั้งปฏิบัติดังนี้ :
ก. ก้มหัวให้ได้ระดับดังที่กล่าวมา คือฝ่ามือถึงหัวเข่าของเขา
บุคอรี (794) ได้รายงาน จากอะบีฮุมัยด์ อัซซาอิดีย์ (ร.ด.) ในเรื่องการละหมาดของ ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า
"และเมื่อท่านรุกัวะอฺ ได้ให้มือทั้งสองของท่านมั่นคงอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองของท่าน"
ข. ขณะก้มลงจะต้องไม่ตั้งใจก้มลงเพื่อสิ่งอื่นนอกจากรุกัวะอฺ ถ้าหากผู้ละหมาดก้มลงเพราะกลัวสิ่งหนึ่ง แล้วเขาปล่อยเลยตามเลยโดยตั้งใจเอาการก้มนั้นเป็นการก้มรุกัวะอฺ การรุกัวะอฺของเขาใช้ไม่ได้ เขาจำเป็นต้องกลับไปยืนตรงแล้วก้มลงโดยตั้งใจรุกัวะอฺใหม่
ค. ตอมะอฺนีนะห์ คือนิ่งสงบในท่าก้มนานเท่าการตัสเบียะห์ครั้งหนึ่ง ที่กล่าวนี้เป็น ตอมะอฺนีนะห์ อย่างพอใช้ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ผ่านมาแล้วว่า
"จนท่านหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ" อะห์มัด ตอบรอนี และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"มนุษย์ที่เลวในเรื่องลักขโมย คือผู้ที่ลักขโมยจากละหมาดของตน" พวกเขาถามว่า "โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) เขาลักขโมยจากละหมาดของเขาอย่างไร ?" ท่านตอบว่า "เขาไม่รุกัวะอฺ ในละหมาดให้สมบูรณ์ และไม่สุหยูดในละหมาดให้สมบูรณ์"
และบุคอรี (758) ได้รายงานจากฮุซัยฟะห์(ร.ด.) ว่า เขาเห็นชายคนหนึ่งไม่รุกัวะอฺ และสุหยูดให้สมบูรณ์ เขาได้กล่าวว่า
"ท่านยังไม่ได้ละหมาด และถ้าหากท่านตาย ท่านก็ตายโดยไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์ ซึ่งอัลเลาะห์ได้ให้มุฮำมัด (ซ.ล.) อยู่ในธรรมชาตินั้น" หมายความว่า ท่านยังไม่ได้ละหมาดตามที่ศาสนาต้องการ และถ้าหากท่านตายในสภาพเช่นนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) นำมา ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่มุสลิม ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์นั้นคือ ผู้ที่ละหมาดก้มลงจนหลังกับคอเสมอกันเป็นเส้นตรง ไม่คดงอ และขาทั้งสองข้างเหยียดตรง มือสองข้างจับอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง โดยถ่างนิ้วมือออกจากกัน และให้เขาอยู่ในอาการสงบ พร้อมกับกล่าวว่า سبحان ربي العظيم สามครั้ง
และมุสลิม (772) และผู้อื่นได้รายงาน
จาก ฮุซัยฟะห์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าฉันละหมาดร่วมกับท่านนบี (ซ.ล.) ในคืนหนึ่ง และในฮะดีษนี้มีข้อความว่า หลังจากนั้นท่านได้รุกัวะอฺ และได้กล่าวว่า " ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " หลังจากนั้นท่านได้สหยูด แล้วกล่าวว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา"
ติรมีซี (261) อะบูดาวูด (886) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า ท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดในพวกท่านรุกัวะอฺ และได้กล่าวในขณะที่เขารุกัวะอฺ ว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " สามครั้ง การรุกัวะอฺของเขาสมบูรณ์ และนั่นเป็นการรุกัวะอฺ อย่างพอใช้ได้
และได้ผ่านมาแล้วในฮะดีษอะบีฮุมัยด์ว่า
" หลังจากนั้นท่านได้ก้มหลังของท่าน"
6. เอียะอฺติดาลภายหลังรุกัวะอฺ
คือ การเงยจากรุกัวะอฺ มาหยุดนิ่ง เพื่อแยกรุกัวะอฺ ออกจากสุหยูด
หลักฐานเรื่องการเอียะอฺติดาล
คือฮะดีษที่มุสลิม (498) ได้รายงานจาก
จากอาอิชะห์ (ร.ด.) ว่า ตนได้อธิบายลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) โดยได้เล่าว่า "เมื่อท่านเงยศรีษะขึ้นจากรุกัวะอฺ ท่านจะยังไม่สุหยูดจนกว่าจะยืนตรงเสียก่อน "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
" หลังจากนั้นท่านจงเงยขึ้น จนอยู่ในสภาพยืนตรง" บุคอรี (734) และมุสลิม (397)
เงื่อนไขในการเอียะอฺติดาล
การเอียะอฺติดาลที่ใช้ได้มีดังต่อไปนี้
ก. ไม่ตั้งใจเป็นอย่างอื่นขณะเงยจากรุกัวะอฺ นอกจากตั้งใจว่าเป็นอิบาดะห์
ข. อยู่ในอาการสงบนิ่งในขณะเอียะอฺติดาล ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง
ค. ไม่หยุดอยู่นานจนน่าเกลียดในขณะเอียะอฺติดาล โดยนานเกินกว่าระยะอ่านฟาติฮะห์จบ เพราะเอียะอฺติดาล เป็นรุก่นสั้น ไม่อนุญาตให้ทำยาว
7. สุหยูดสองครั้งในทุกรอกาอัต
สุหยูดตามบัญญัติศาสนา หมายถึง หน้าผากของผู้ละหมาดวางอยู่บนพื้นที่ใช้สุหยูด (กราบ)
หลักฐานเรื่องสุหยูด
อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า
" พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูด "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
"หลังจากนั้น ท่านจงสุหยูด จนสงบนิ่งในท่าสุหยูด หลังจากนั้นจงเงยขึ้นจนสงบนิ่งในท่านั่ง จากนั้นจงสุหยูดจนสงบนิ่งในท่าสุหยูด " (ดูหลักฐานรุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล)
เงื่อนไขในการสุหยูด
การสุหยูด ที่ใช้ได้นั้นต้องรักษา เงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้หน้าผากกระทบกับพื้นที่สุหยูด
ข. สุหยูดบนอวัยวะทั้งเจ็ด ได้แก่ อวัยวะที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับไว้คือ
"ฉันถูกบัญชาให้สุหยูดบนกระดูกทั้งเจ็ด คือ หน้าผาก และท่านได้เอามือชี้ไปยังจมูกของท่าน มือทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสองข้าง และปลายเท้าทั้งสองข้าง " บุคอรี (779) และ มุสลิม (490) อวัยวะทั้งเจ็ดไม่จำเป็นต้องเปิด นอกจากหน้าผากเท่านั้น
ค. ให้ช่วงล่าง (ส่วนสะโพก) ของร่างกายสูงกว่าช่วงบนเท่าที่สามารถขณะสุหยูด เพราะเป็นการปฏิบัติตามที่ท่านนบี(ซ.ล.) กระทำไว้
ง. ไม่สุหยูดลงไปบนผืนผ้าที่ติดอยู่กับตัวผู้ละหมาด โดยที่ผ้านั้นจะเคลื่อนไหวเมื่อผู้ละหมาดเคลื่อนไหว
จ. ไม่ตั้งใจสุหยูดเพราะสิ่งอื่น เช่น ความกลัว เป็นต้น
ฉ. กดหน้าผากลงกับพื้น ซึ่งถ้าหากมีสำลีอยู่มันจะต้องยุบและปรากฏรอยสุหยูดให้เห็น
ซ. สงบนิ่งในสุหยูด ด้วยอาการดังกล่าวนี้ ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง เป็นอย่างน้อย
การสุหยูดอย่างสมบูรณ์คือ จะต้องกล่าวตักบีร เมื่อลงสุหยูดวางเข่าทั้งสองข้างลง แล้ววางมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงวางหน้าผากและจมูก ให้วางมือทั้งสองข้างตรงไหล่ทั้งสองข้าง เหยียดนิ้วโดยไม่ต้องถ่างออกจากกัน หันไปทางกิบละห์ และแขม่วท้องให้ห่างจากขาอ่อนทั้งสองข้าง และถ่างข้อศอกทั้งสองข้างออกจากพื้นและสีข้าง และกล่าวว่า سبحان ربي الأعلى สามครั้ง
บุคอรี (770) และมุสลิม (292) ได้รายงานจากฮะดีษ อบีฮุรอยเราะฮ์ (ร.ด.) ในลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) ว่า
"หลังจากนั้นท่านจะกล่าวอัลลอฮุอักบัร ขณะที่ก้มลงอยู่ในท่าสุหยูด"
และที่มุสลิม (494) เล่าจากอัลบะรออฺ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"เมื่อท่านสุหยูดจงวางฝ่ามือทั้งสองของท่าน และจงยกข้อศออกทั้งสองของท่าน"
บุคอรี (383) และมุสลิม (495) ได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์ บุตรมาลิก บุตร บุฮัยนะห์ (ร.ด.) ว่า เมื่อ ท่านนบี (ซ.ล.) ละหมาด ท่านได้กางแขนทั้งสองของท่าน (ขณะสุหยูด) จนเห็นสีขาวที่รักแร้ทั้งสองข้างของท่าน
จากอะบีฮุมัยด์(ร.ด.) ว่า ท่านได้กางแขนออกห่างจากสีข้างของท่านทั้งสองข้าง และวางมือทั้งสองข้างตรงกับไหล่ทั้งสองข้างของท่าน
อะบูดาวูด (735) ได้รายงาน
จาก อะบีฮุมัยด์ (ร.ด.) ในเรื่องลักษณะการละหมาดของท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า เมื่อท่านได้สุหยูด ท่านจะแขม่วระหว่าง (ท้องกับ) กับขาอ่อนทั้งสองข้างของท่าน โดยไม่ให้ท้องของท่านวางบนส่วนใดของขาอ่อนทั้งสองข้างเลย และที่อะบีดาวูด(886) และติรมีซี (261) และผู้อื่นว่า ขณะสุหยูด ท่านได้กล่าวว่า ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา สามครั้ง และความจริงสุหยูดของท่านสมบูรณ์ และนั่นคือการสุหยูด อย่างพอใช้ได้
ขณะสุหยูด ผู้หญิงจะปฏิบัติแตกต่างจากผู้ชาย คือให้หุบแขนเข้าชิดลำตัวและวางแนบไปกับพื้นและไม่ต้องแขม่วท้อง
บัยฮะกีย์ (21223) ได้รายงานว่าท่านนบี (ซ.ล.) ได้เดินผ่านผู้หญิง สองคนที่กำลังละหมาดท่านได้กล่าวว่า
"เมื่อเธอทั้งสองสุหยูดเธอจงแนบเนื้อบางส่วนเข้ากับพื้นเพราะผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกันในเรื่องดังกล่าว"
8.นั่งระหว่างสองสุหยูด
จำเป็นต้องนั่งในระหว่างสองสุหยูดในทุกๆรอกาอัต
หลักฐานในเรื่องดังกล่าว
คำพูดของท่านนบี (ซ.ล.) ที่กล่าวไว้ในฮะดีษแล้วว่า
"หลังจากนั้นจงเงยขึ้น(จากสุหยูดครั้งแรก)จนขึ้นมาสงบในท่านั่ง"(ดูหลักฐานสุหยูด)
เงื่อนไขในการนั่งระหว่าง สองสุหยูด
การนั่งระหว่างสองสุหยูดที่ใช้ได้นั้นต้องรักษาเงื่อนไขต่อไปนี้
ก.ตั้งใจว่าการนั่งระหว่าง สองสุหยูดเป็นอิบาดะห์อย่าให้การนั่งระหว่าง สองสุหยูดเกิดขึ้นเพราะสิ่งอื่นใด เช่น ความกลัว เป็นต้น
ข.ไม่นั่งนานเกินไปจนน่าเกลียดโดยนั่งนานเกินกว่าเวลาการอ่านตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
ค.ต้องมีตอมะอฺนีนะห์ (สงบนิ่ง) ครู่หนึ่ง เท่ากับ กล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย
9.นั่งครั้งสุดท้าย
หมายถึงการนั่งในรอกาอัตสุดท้ายของละหมาดและตามด้วยสลาม
10. ตะชะฮ์ฮุดในการนั่งครั้งสุดท้าย
บุคอรี(5806) มุสลิม (402)และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนุมัสอูด(ร.ด.)ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.)พวกเราได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวว่า และบัยฮะกี(2/138)และดารุกุตนี(1/350)ว่า พวกเราเคยกล่าวก่อนที่ตะชะฮ์ฮุดจะถูกกำหนดมาให้พวกเราว่า "ขอความสันติจงมีแด่อัลเลาะห์ ก่อนมวลบ่าวของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่ญิบรีล ขอความสันติจงมีแด่มีกาอีล ขอความสันติจงมีแด่ "คนนั้นๆ" เมื่อละหมาดเสร็จท่านนบี(ซ.ล.) ได้หันหน้ามาทางพวกเราแล้วพูดขึ้นว่า "แท้จริงอัลเลาะฮ์ คือ อัสสลาม เมื่อคนใดในพวกท่านนั่งลงในละหมาดให้เขาจงกล่าว ฮัตตาฮียาตุ..."
คำว่า คือ อัสสลาม หมายถึง อัสสลาม เป็นพระนามหนึ่งของอัลเลาะห์ตะอาลา บางทัศนะก็ว่าอัสสลาม หมายความว่า อัลเลาะห์ทรงบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องและความเสียหาย(อันนิฮายะห์)
ตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
"บรรดาการคารวะเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ผู้เป็นนบี ตลอดจนความเมตตาและความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บรรดาบ่าวของอัลเลาะฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะฮ์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริง มุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
รูปแบบของตะชะฮ์ฮุด มีหลายรายงานซึ่งล้วนซอเฮียะห์ทั้งสิ้น ส่วนรูปแบบที่สมบูรณ์ตามแนวทัศนะของอิหม่ามชาฟิอี รอฮิมะฮุ้ลเลาะห์ ก็คือ รายงานของมุสลิม (403) และผู้อื่น
จากอิบนิอับบาส (ร.ด.) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์เคยสอนตะชะฮ์ฮุดให้เรา เหมือนกับสอนซูเราะห์จากอัลกุรอานให้เรา ท่านจะกล่าวว่า "คำคารวะต่างๆ ที่มีมงคลและละหมาดต่างๆ ที่ดีนั้นเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ท่านผู้เป็นนบี รวมทั้งความเมตตาของอัลเลาะห์และความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บ่าวของอัลลอฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริงมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
ในการอ่านตะชะฮ์ฮุดควรระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. อ่านให้ตนเองได้ยินถ้าหากมีประสาทการได้ยินปานกลาง
ข. อ่านต่อเนื่องกันถ้าหากมีการหยุดนานๆมาคั่น หรือนำซิเกรอื่นมาอ่านคั่น การอ่านตะชะฮ์ฮุดนั้นก็ใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องอ่านใหม่
ค. อ่านตะชะฮ์ฮุดขณะที่นั่ง ยกเว้นผู้ที่มีอุปสรรคก็ยินยอมให้อ่านตะชะฮ์ฮุดในสภาพเท่าที่เขาสามารถทำได้
ง. ตะชะฮ์ฮุดต้องเป็นภาษาอาหรับถ้าหากไม่สามารถอ่านเป็นภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลเป็นภาษาอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ และจะเป็นที่เขาต้องศึกษา
จ. ระมัดระวังตำแหน่งออกเสียงของอักษรต่างๆและคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์)จุดถ้าหากออกเสียงไม่ถูกต้อง หรือละเลยคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์) และอ่านคำผิด ซึ่งการดังกล่าวนั้นทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลง ตะชะฮ์ฮุดนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องอ่านใหม่
ฉ. อ่านตะชะฮ์ฮุดเรียงคำดังที่ปรากฏอยู่ในหลักฐาน
11. ซอลาวาต(ขอพรให้)ท่านนบี(ซ.ล.)ภายหลังตะชะฮ์ฮุดสุดท้าย
คือซอลาวาตหลังจากจบตะชะฮ์ฮุด ในการนั่งครั้งสุดท้าย และก่อนสลาม
หลักฐานในการซอลาวาต
อัลเลาะฮ์ ตะอาลาตรัสว่า
"แท้จริง อัลเลาะฮ์และมวลมลาอิกะห์ของพระองค์จะซอลาวาต นบี โอ้บรรดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงซอลาวาตและสลาม (ขอความสันติ) แก่นบีอย่างจริงจังเถิด" (อัลอะห์ ซาบ)
นักปราชญ์ได้มีมติเป็นหลักอิจมาอ์ว่า การซอลาวาตในละหมาดเท่านั้นที่จำเป็น(วาญิบ)ส่วนนอกละหมาดไม่จำเป็น (วาญิบ) ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจำเป็น (วาญิบ) ต้องซอลาวาตในละหมาด
อิบนุฮิบบาน(515)และฮากิม(1/268) ได้นำออกรายงานและฮากิมว่าเป็นฮะดีษซอเฮียะห์ จากอิบนุมัสอูด (ร.ด.) ในเรื่องคำถามถึงวิธีการการซอลาวาตนบี ว่า"เราจะซอลาวาตท่านอย่างไรขณะที่เราจะซอลาวาตท่านในการละหมาดของเรา "ท่านนบีได้กล่าวว่าพวกเขาจงกล่าว....
ฮะดีษนี้ได้กำหนดแน่นอนว่าที่ที่ควรกล่าวซอลาวาต นบี คือในละหมาด
และที่ที่เหมาะสมแก่ซอลาวาต คือ ตอนท้ายละหมาด ดังนั้นจึงจำเป็น(วาญิบ)ซอลาวาตในการนั่งครั้งสุดท้ายภายหลังตะชะฮ์ฮุด
และฮะดีษที่ ติรมีซี(3475) อะบูดาวูด (1481) และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า
"เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านละหมาดให้เขาจงสรรเสริญและสดุดีองค์อภิบาลของเขา หลังจากนั้นให้เขาซอลาวาตนบี หลังจากนั้นให้เขาจงขอดุอาในภายหลังตามแต่ต้องการ"
อย่างน้อยของคำที่ใช้ในการซอลาวาตนบี(ซ.ล.)ก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาแก่มูฮำมัด"
ส่วนถ้อยคำที่สมบูรณ์ในการซอลาวาตก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่มุฮัมมัด และแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่อิบรอฮีม และแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม และได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่มูฮำมัดและแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเพิ่มพูนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม ในสากลโลก แน่แท้พระองค์นั้นควรแก่การสรรเสริญและให้เกียรติ"
คำซอลาวาตนี้ได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์ หลายฮะดีษ ที่บุคอรี มุสลิมและผู้อื่นได้รายงาน ซึ่งบางสายรายงานก็มีเพิ่ม บางสายก็มีหย่อน ดู บุคอรี(3190)และมุสลิม (406)
เงื่อนไขในการซอลาวาต
การซอลาวาต ต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้ตนเอง ได้ยินซอลาวาต ถ้าหากมีประสาทได้ยินปานกลาง
ข. ใช้คำว่า "มุฮำมัด" หรือใช้คำว่า "รอซู้ล" หรือ "นบี" ถ้าใช้คำว่า "อะหมัด" ในการซอลาวาตถือว่าใช้ไม่ได้
ค. คำซอลาวาตต้องเป็นภาษาอาหรับ ถ้าหากไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลความหมายเป็นภาษาที่ต้องการ และจำเป็นต้องศึกษาโดยรีบด่วนเมื่อสามารถจะกระทำได้
ง. เรียบเรียงคำซอลาวาตตามที่ปรากฏ และจำเป็นต้องเรียบเรียงระหว่างคำซอลาวาตกับ ตะชะฮ์ฮุด การเอาซอลาวาตไว้ก่อนตะชะฮ์ฮุดถือว่าใช้ไม่ได้
12 กล่าวสลามครั้งแรก
คือให้ผู้ละหมาดกล่าว โดยหันหน้าไปทางขวาว่า
"อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
หลักฐานการกล่าวสลามครั้งแรก
คือคำพูดของท่านนบี (ซ.ล.)ในฮะดีษที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องตักบีร่อตุ้ลเอียะห์รอมว่า
"ที่จะทำให้เป็นสิ่งต้องห้ามในละหมาดก็คือตักบีร และที่จะทำให้อนุญาตก็คือ การกล่าวสลาม"
คำสลามอย่างพอใช้ได้ก็คือ"อัสสะลามุ อะลัยกุม "เพียงครั้งเดียวและอย่างสมบูรณ์ก็คือ "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์" สองครั้ง ครั้งแรกหันไปทางขวา ครั้งที่สองหันไปทางซ้าย
มุสลิม (582) ได้รายงานจากสะอัด (ร.ด.) ได้กล่าวว่า
"ฉันเห็นท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวสลาม หันไปทางด้านขวาและทางด้านซ้ายจนฉันเห็นความขาวที่แก้มของท่าน "
อะบูดาวูด ( 996 ) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.) ว่าท่านนบีได้กล่าวสลามหันไปทางด้านขวา และทางด้านซ้าย จนเห็นความขาวที่แก้มของท่านว่า "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์ , อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
ติรมีซี (295)ได้กล่าวว่า ฮะดีษ อิบนิมัสอูด (ร.ด.) เป็นฮะดีษฮะซัน ซอเฮียะห์
13.เรียบเรียงรุก่นเหล่านี้ตามลำดับที่ได้กล่าวมา
โดยเริ่มด้วยการเนียต ตักบีรอตุ้ลเอียะห์รอม อ่านฟาติฮะห์ รุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล และ สุหยูด เช่นนี้ จนจบ
ดังนั้น หากนำรุก่นบางอย่างมาทำก่อนที่จะถึงวาระของมันตามที่ศาสนาบัญญัติโดยเจตนา ถือว่าละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ ส่วนการกระทำโดยไม่เจตนา ละหมาดจะใช้ไม่ได้ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนที่ไม่เรียบเรียงลำดับ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกลับไปทำใหม่ทั้งหมด
และเมื่อดำเนินไปตามนี้ ถ้าหากผู้ที่ละหมาดยังคงละหมาดต่อไปหลังจากเปลี่ยนแปลงลำดับของรุก่นละหมาดแล้ว จนถึงที่เดียวกับรอกาอัต ที่ผ่านมาสิ่งที่กระทำถูกต้องในรอกาอัตต่อไปจะเข้าแทนที่สิ่งที่ใช้ไม่ได้ในรอกาอัตที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจำเป็นต้องเพิ่มละหมาดอีกหนึ่งรอกาอัต แทนรอกาอัต ที่ใช้ไม่ได้นั้น
จำนวนรอกาอัตของละหมาด
ขณะที่อัลเลาะห์ได้กำหนดให้มุสลิมละหมาดฟัรดูนั้น ญิบรีลได้มาหาท่านนบี (ซ.ล.) ดังได้ผ่านมาแล้ว และได้กำหนดเวลาละหมาดให้แก่ท่านนบี (ซ.ล.)ทั้งเริ่มเข้าเวลาและหมดเวลา และได้อธิบายให้ท่านนบี (ซ.ล.) ทราบจำนวนรอกาอัตของการละหมาด ดังต่อไปนี้
ละหมาด ซุบฮ์ :
มีสองรอกาอัต หนึ่งตะชะฮ์ฮุดในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด ดุฮร์ :
มีสี่รอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อัสร์ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์
ละหมาด มัฆริบ :
มีสามรอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อิชาอฺ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์ กับ ละหมาดอัสร์
รุก่นละหมาด
ความหมายของรุก่น :
คือส่วนประกอบสำคัญของสิ่งต่างๆ ดังนั้นรุก่นละหมาดก็คือ ส่วนประกอบสำคัญของละหมาด เช่นการยืน รุกัวะอฺ สุหยูด เป็นต้น ละหมาดจะไม่สมบูรณ์ และมีผลใช้ได้นอกจากต้องมีส่วนประกอบครบสมบูรณ์ ทั้งในรูปแบบการละหมาดและขั้นตอนการละหมาด ที่มีรายงานจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) จากญิบรีล (อ.ล.) รุก่นการละหมาดนั้นสรุปได้สิบสามประการ ซึ่งจะอธิบายแต่ละประการดังต่อไปนี้
1. ตั้งเจตนา (เนียต)
คือมุ่งหน้าสู่สิ่งหนึ่งพร้อมลงมือกระทำ ที่ๆใช้เหนียตคือหัวใจ หลักฐานในเรื่องนี้คือ คำของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ว่า
" อ ะ มั้ ล ต่ า ง ๆ จ ะ มี ผ ล ใ ช้ ไ ด้ ต้ อ ง มี ก า ร ตั้ ง เ จ ต น า"
รายงานโดยบุคอรี (1) และ มุสลิม (1907)
2. ยืน สำหรับผู้ที่มีความสามารถยืนได้ในละหมาดฟัรดู
หลักฐานของรุก่นข้อนี้คือ ฮะดีษที่บุคอรี(1066) รายงาน
จากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคริดสีดวง ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ถึงเรื่องละหมาด ท่านตอบว่า : จงยืนละหมาด หากท่านไม่มีความสามารถก็ให้นั่งละหมาด ถ้าหากท่าน ไม่มีความสามารถก็ให้นอนละหมาด
ที่จะถือว่าคนๆหนึ่งยืนก็ต่อเมื่อเขายืนตรง ถ้าหากเขาก้มโดยไม่มีความจำเป็นใดๆถึงขนาดที่เอาฝ่ามือแตะหัวเข่าได้ ก็ถือว่าเสียละหมาด เพราะรุก่นละหมาดในเรื่องการยืนตรงขาดหายไปจากส่วนหนึ่งของละหมาดของเขา และเมื่อผู้ที่ละหมาดมีความสามารถยืนได้ในบางส่วนของละหมาด และไม่สามารถยืนได้ในส่วนที่เหลือ ก็ให้เขายืนละหมาดในส่วนที่เขามีความสามารถและนั่งละหมาดในส่วนที่เหลือ
เงื่อนไขที่ว่านี้ใช้เฉพาะ "ในละหมาดฟัรดู" ส่วนละหมาดสุนัต การยืนละหมาดสุนัตนั้นก็เป็นสุนัตโดยไม่มีข้อแม้ คือยินยอมให้นั่งละหมาดได้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผู้มี่สามารถยืนละหมาดได้หรือไม่
บุคอรี (1065) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ผู้ใดละหมาดโดยการยืนนั้นประเสริฐที่สุด และผู้ใดละหมาดโดยการนั่ง เขาจะได้รับผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่ยืนละหมาด และผู้ใดที่ละหมาดโดยการนอนเขาจะได้ผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่นั่งละหมาด"
ความหมายที่ว่านอนคือนอนตะแคง
3. ตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม :
หลักฐานในรุก่นในที่นี้คือ ฮะดีษที่ติรมีซี(3) อะบูดาวูด (61) และผู้อื่นได้รายงานว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
" กุญแจของละหมาดคือความสะอาด และสิ่งที่ทำให้ห้าม(การกระทำทั้งที่เคยอนญาตให้กระทำได้ก่อนละหมาด) คือตักบีร และสิ่งที่ทำให้อนุญาต(กระทำสิ่งที่เคยห้ามกระทำในละหมาด) คือการกล่าวสลาม "
วิธีตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
จำเป็นต้องใช้คำว่า "الله أكبر" หรือถ้าจะกล่าวว่า " الله الأكبر" หรือ "الله الجليل أكبر" ก็ใช้ได้ แต่ถ้าเพิ่มคำที่ไม่ใช่คุณลักษณะของอัลเลาะห์ เช่น الله هو الأكبر หรือ เปลี่ยนรูปประโยค เช่นกล่าวว่า أكبر الله การตักบีรนั้นใช้ไม่ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือ จำเป็นต้อง ปฏิบัติตามการกระทำของท่านนบี (ซ.ล.) และความจริงท่านนบี (ซ.ล.) ก็ได้ใช้รูปแบบนี้ในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ของท่านอยู่เป็นประจำ
เงื่อนไขในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
การตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ที่นับว่าใช้ได้นั้น มีเงื่อนไขหลายประการที่จะต้องระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. ต้องตักบีรขณะยืน ถ้าหากกล่าวตักบีรระหว่างลุกขึ้นไปละหมาดการตักบีรนั้นใช้ไม่ได้
ข. ต้องกล่าวตักบีร ในสภาพที่หันหน้าไปทางกิบละห์
ค. ต้องกล่าวคำตักบีร เป็นภาษาอาหรับ แต่ผู้ที่ไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ และไม่สามารถศึกษาได้ทันเวลาละหมาด ให้เขาแปลและใช้ความหมายของตักบีร เป็นภาษาอะไรก็ได้ตามแต่เขาต้องการ และเขาจำเป็นต้องศึกษาการตักบีรเป็นภาษาอาหรับถ้าหากเขามีความสามารถศึกษาได้
ง. จะต้องให้ตนเองได้ยินคำตักบีร ทุกตัวอักษร หากเขาหูดี
จ. จะต้องตักบีรพร้อมเนียต ดังได้กล่าวมาแล้ว
4. อ่านฟาติฮะห์
การอ่านฟาติฮะห์เป็นรุก่นหนึ่งในทุกรอกาอัตของการละหมาด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดอะไรก็ตาม
หลักฐาน ดังกล่าว :
ฮะดีษที่บุคอรี(723) และมุสลิม (394) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ไม่มีละหมาดแก่ผู้ที่ไม่อ่านฟาติฮะติ้ลกิตาบ"
และบิ้สมิลลาห์ นั้นเป็นอายะห์หนึ่งของฟาติฮะห์ ดังนั้นการอ่านฟาติฮะห์โดยผู้ละหมาดไม่ได้เริ่มต้นด้วย
بسم الله الرحمن الرحيم
ถือว่าการอ่านฟาติฮะห์นั้นใช้ไม่ได้ เพราะอิบนุคุซัยมะห์ได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์
จากอุมมิซะละมะห์ (ร.ด.) ว่า แท้จริงท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับบิสมิลลาห์ เป็นอายะห์หนึ่ง
เงื่อนไขการอ่านฟาติฮะห์ที่ใช้ได้
ในการอ่านฟาติฮะห์นั้น จำเป็นต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ตนเองได้ยิน ถ้าหากเขามีประสาทรับฟังปานกลาง
ข. อ่านเรียงตามลำดับของฟาติฮะห์ ตามที่ปรากฎในอัลกุรอาน โดยต้องระมัดระวังการออกเสียงให้ถูกต้องตามตำแหน่งของแต่ละตัวอักษร และเน้นคำที่ "ชัดดะห์" ให้ชัดเจน
ค. ไม่อ่านผิดถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย ถ้าหากอ่านผิดไม่ถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย การอ่านนั้นก็ใช้ได้
ง. อ่านฟาติฮะห์ในขณะยืน ถ้าหากเขาก้มในขณะที่ยังคงอ่านฟาติฮะห์ไม่จบ การอ่านฟาติฮะห์ นั้นใช้ไม่ได้ เขาจะต้องกลับไปอ่านใหม่ และถ้าหากผู้ละหมาดไม่สามารถอ่านฟาติฮะห์ได้ เพราะไม่ใช่เป็นชาวอาหรับ หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม ให้เขาอ่านอัลกุรอานที่เขาจดจำได้เจ็ดอายะห์แทนการอ่านฟาติฮะห์ ถ้าหากเขาไม่ได้จดจำสิ่งใดจากอัลกุรอานเลย ก็ให้เขา "ซิกรุ้ลเลาะห์" นานเท่ากับเวลาที่อ่านฟาติฮะห์ หลังจากนั้นก็ก้มลงรุกัวะอฺ
5.รุกัวะอฺ
รุกัวะอฺ ตามบัญญัติศาสนาหมายถึง การที่ผู้ละหมาดก้มลงเท่าที่เขาจะสามารถก้มได้ โดยให้ฝ่ามือทั้งสองข้างถึงหัวเข่าทั้งสองข้างของเขา นี่เรียกว่าเป็นการรุกัวะอฺ ที่พอใช้ได้ ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์ก็คือ เขาจะต้องก้มลงให้แผ่นหลังเสมอกันเป็นแนวตรง
หลักฐานในเรื่องนี้คือ
อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า
"โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูดเถิด "(อัลฮัจย์ : 77)
และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ผู้ที่ท่านได้สอนวิธีละหมาดแก่เขาว่า
"หลังจากนั้นท่านจงรุกัวะอฺ จนหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ "
และการกระทำของท่านนบีได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์มากมาย
เงื่อนไขในการรุกัวะอฺ
การรุกัวะอฺ ที่ใช้ได้นั้น ผู้ละหมาดจะตั้งปฏิบัติดังนี้ :
ก. ก้มหัวให้ได้ระดับดังที่กล่าวมา คือฝ่ามือถึงหัวเข่าของเขา
บุคอรี (794) ได้รายงาน จากอะบีฮุมัยด์ อัซซาอิดีย์ (ร.ด.) ในเรื่องการละหมาดของ ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า
"และเมื่อท่านรุกัวะอฺ ได้ให้มือทั้งสองของท่านมั่นคงอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองของท่าน"
ข. ขณะก้มลงจะต้องไม่ตั้งใจก้มลงเพื่อสิ่งอื่นนอกจากรุกัวะอฺ ถ้าหากผู้ละหมาดก้มลงเพราะกลัวสิ่งหนึ่ง แล้วเขาปล่อยเลยตามเลยโดยตั้งใจเอาการก้มนั้นเป็นการก้มรุกัวะอฺ การรุกัวะอฺของเขาใช้ไม่ได้ เขาจำเป็นต้องกลับไปยืนตรงแล้วก้มลงโดยตั้งใจรุกัวะอฺใหม่
ค. ตอมะอฺนีนะห์ คือนิ่งสงบในท่าก้มนานเท่าการตัสเบียะห์ครั้งหนึ่ง ที่กล่าวนี้เป็น ตอมะอฺนีนะห์ อย่างพอใช้ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ผ่านมาแล้วว่า
"จนท่านหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ" อะห์มัด ตอบรอนี และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"มนุษย์ที่เลวในเรื่องลักขโมย คือผู้ที่ลักขโมยจากละหมาดของตน" พวกเขาถามว่า "โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) เขาลักขโมยจากละหมาดของเขาอย่างไร ?" ท่านตอบว่า "เขาไม่รุกัวะอฺ ในละหมาดให้สมบูรณ์ และไม่สุหยูดในละหมาดให้สมบูรณ์"
และบุคอรี (758) ได้รายงานจากฮุซัยฟะห์(ร.ด.) ว่า เขาเห็นชายคนหนึ่งไม่รุกัวะอฺ และสุหยูดให้สมบูรณ์ เขาได้กล่าวว่า
"ท่านยังไม่ได้ละหมาด และถ้าหากท่านตาย ท่านก็ตายโดยไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์ ซึ่งอัลเลาะห์ได้ให้มุฮำมัด (ซ.ล.) อยู่ในธรรมชาตินั้น" หมายความว่า ท่านยังไม่ได้ละหมาดตามที่ศาสนาต้องการ และถ้าหากท่านตายในสภาพเช่นนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) นำมา ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่มุสลิม ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์นั้นคือ ผู้ที่ละหมาดก้มลงจนหลังกับคอเสมอกันเป็นเส้นตรง ไม่คดงอ และขาทั้งสองข้างเหยียดตรง มือสองข้างจับอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง โดยถ่างนิ้วมือออกจากกัน และให้เขาอยู่ในอาการสงบ พร้อมกับกล่าวว่า سبحان ربي العظيم สามครั้ง
และมุสลิม (772) และผู้อื่นได้รายงาน
จาก ฮุซัยฟะห์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าฉันละหมาดร่วมกับท่านนบี (ซ.ล.) ในคืนหนึ่ง และในฮะดีษนี้มีข้อความว่า หลังจากนั้นท่านได้รุกัวะอฺ และได้กล่าวว่า " ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " หลังจากนั้นท่านได้สหยูด แล้วกล่าวว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา"
ติรมีซี (261) อะบูดาวูด (886) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า ท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดในพวกท่านรุกัวะอฺ และได้กล่าวในขณะที่เขารุกัวะอฺ ว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " สามครั้ง การรุกัวะอฺของเขาสมบูรณ์ และนั่นเป็นการรุกัวะอฺ อย่างพอใช้ได้
และได้ผ่านมาแล้วในฮะดีษอะบีฮุมัยด์ว่า
" หลังจากนั้นท่านได้ก้มหลังของท่าน"
6. เอียะอฺติดาลภายหลังรุกัวะอฺ
คือ การเงยจากรุกัวะอฺ มาหยุดนิ่ง เพื่อแยกรุกัวะอฺ ออกจากสุหยูด
หลักฐานเรื่องการเอียะอฺติดาล
คือฮะดีษที่มุสลิม (498) ได้รายงานจาก
จากอาอิชะห์ (ร.ด.) ว่า ตนได้อธิบายลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) โดยได้เล่าว่า "เมื่อท่านเงยศรีษะขึ้นจากรุกัวะอฺ ท่านจะยังไม่สุหยูดจนกว่าจะยืนตรงเสียก่อน "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
" หลังจากนั้นท่านจงเงยขึ้น จนอยู่ในสภาพยืนตรง" บุคอรี (734) และมุสลิม (397)
เงื่อนไขในการเอียะอฺติดาล
การเอียะอฺติดาลที่ใช้ได้มีดังต่อไปนี้
ก. ไม่ตั้งใจเป็นอย่างอื่นขณะเงยจากรุกัวะอฺ นอกจากตั้งใจว่าเป็นอิบาดะห์
ข. อยู่ในอาการสงบนิ่งในขณะเอียะอฺติดาล ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง
ค. ไม่หยุดอยู่นานจนน่าเกลียดในขณะเอียะอฺติดาล โดยนานเกินกว่าระยะอ่านฟาติฮะห์จบ เพราะเอียะอฺติดาล เป็นรุก่นสั้น ไม่อนุญาตให้ทำยาว
7. สุหยูดสองครั้งในทุกรอกาอัต
สุหยูดตามบัญญัติศาสนา หมายถึง หน้าผากของผู้ละหมาดวางอยู่บนพื้นที่ใช้สุหยูด (กราบ)
หลักฐานเรื่องสุหยูด
อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า
" พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูด "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
"หลังจากนั้น ท่านจงสุหยูด จนสงบนิ่งในท่าสุหยูด หลังจากนั้นจงเงยขึ้นจนสงบนิ่งในท่านั่ง จากนั้นจงสุหยูดจนสงบนิ่งในท่าสุหยูด " (ดูหลักฐานรุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล)
เงื่อนไขในการสุหยูด
การสุหยูด ที่ใช้ได้นั้นต้องรักษา เงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้หน้าผากกระทบกับพื้นที่สุหยูด
ข. สุหยูดบนอวัยวะทั้งเจ็ด ได้แก่ อวัยวะที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับไว้คือ
"ฉันถูกบัญชาให้สุหยูดบนกระดูกทั้งเจ็ด คือ หน้าผาก และท่านได้เอามือชี้ไปยังจมูกของท่าน มือทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสองข้าง และปลายเท้าทั้งสองข้าง " บุคอรี (779) และ มุสลิม (490) อวัยวะทั้งเจ็ดไม่จำเป็นต้องเปิด นอกจากหน้าผากเท่านั้น
ค. ให้ช่วงล่าง (ส่วนสะโพก) ของร่างกายสูงกว่าช่วงบนเท่าที่สามารถขณะสุหยูด เพราะเป็นการปฏิบัติตามที่ท่านนบี(ซ.ล.) กระทำไว้
ง. ไม่สุหยูดลงไปบนผืนผ้าที่ติดอยู่กับตัวผู้ละหมาด โดยที่ผ้านั้นจะเคลื่อนไหวเมื่อผู้ละหมาดเคลื่อนไหว
จ. ไม่ตั้งใจสุหยูดเพราะสิ่งอื่น เช่น ความกลัว เป็นต้น
ฉ. กดหน้าผากลงกับพื้น ซึ่งถ้าหากมีสำลีอยู่มันจะต้องยุบและปรากฏรอยสุหยูดให้เห็น
ซ. สงบนิ่งในสุหยูด ด้วยอาการดังกล่าวนี้ ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง เป็นอย่างน้อย
การสุหยูดอย่างสมบูรณ์คือ จะต้องกล่าวตักบีร เมื่อลงสุหยูดวางเข่าทั้งสองข้างลง แล้ววางมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงวางหน้าผากและจมูก ให้วางมือทั้งสองข้างตรงไหล่ทั้งสองข้าง เหยียดนิ้วโดยไม่ต้องถ่างออกจากกัน หันไปทางกิบละห์ และแขม่วท้องให้ห่างจากขาอ่อนทั้งสองข้าง และถ่างข้อศอกทั้งสองข้างออกจากพื้นและสีข้าง และกล่าวว่า سبحان ربي الأعلى สามครั้ง
บุคอรี (770) และมุสลิม (292) ได้รายงานจากฮะดีษ อบีฮุรอยเราะฮ์ (ร.ด.) ในลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) ว่า
"หลังจากนั้นท่านจะกล่าวอัลลอฮุอักบัร ขณะที่ก้มลงอยู่ในท่าสุหยูด"
และที่มุสลิม (494) เล่าจากอัลบะรออฺ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"เมื่อท่านสุหยูดจงวางฝ่ามือทั้งสองของท่าน และจงยกข้อศออกทั้งสองของท่าน"
บุคอรี (383) และมุสลิม (495) ได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์ บุตรมาลิก บุตร บุฮัยนะห์ (ร.ด.) ว่า เมื่อ ท่านนบี (ซ.ล.) ละหมาด ท่านได้กางแขนทั้งสองของท่าน (ขณะสุหยูด) จนเห็นสีขาวที่รักแร้ทั้งสองข้างของท่าน
จากอะบีฮุมัยด์(ร.ด.) ว่า ท่านได้กางแขนออกห่างจากสีข้างของท่านทั้งสองข้าง และวางมือทั้งสองข้างตรงกับไหล่ทั้งสองข้างของท่าน
อะบูดาวูด (735) ได้รายงาน
จาก อะบีฮุมัยด์ (ร.ด.) ในเรื่องลักษณะการละหมาดของท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า เมื่อท่านได้สุหยูด ท่านจะแขม่วระหว่าง (ท้องกับ) กับขาอ่อนทั้งสองข้างของท่าน โดยไม่ให้ท้องของท่านวางบนส่วนใดของขาอ่อนทั้งสองข้างเลย และที่อะบีดาวูด(886) และติรมีซี (261) และผู้อื่นว่า ขณะสุหยูด ท่านได้กล่าวว่า ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา สามครั้ง และความจริงสุหยูดของท่านสมบูรณ์ และนั่นคือการสุหยูด อย่างพอใช้ได้
ขณะสุหยูด ผู้หญิงจะปฏิบัติแตกต่างจากผู้ชาย คือให้หุบแขนเข้าชิดลำตัวและวางแนบไปกับพื้นและไม่ต้องแขม่วท้อง
บัยฮะกีย์ (21223) ได้รายงานว่าท่านนบี (ซ.ล.) ได้เดินผ่านผู้หญิง สองคนที่กำลังละหมาดท่านได้กล่าวว่า
"เมื่อเธอทั้งสองสุหยูดเธอจงแนบเนื้อบางส่วนเข้ากับพื้นเพราะผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกันในเรื่องดังกล่าว"
8.นั่งระหว่างสองสุหยูด
จำเป็นต้องนั่งในระหว่างสองสุหยูดในทุกๆรอกาอัต
หลักฐานในเรื่องดังกล่าว
คำพูดของท่านนบี (ซ.ล.) ที่กล่าวไว้ในฮะดีษแล้วว่า
"หลังจากนั้นจงเงยขึ้น(จากสุหยูดครั้งแรก)จนขึ้นมาสงบในท่านั่ง"(ดูหลักฐานสุหยูด)
เงื่อนไขในการนั่งระหว่าง สองสุหยูด
การนั่งระหว่างสองสุหยูดที่ใช้ได้นั้นต้องรักษาเงื่อนไขต่อไปนี้
ก.ตั้งใจว่าการนั่งระหว่าง สองสุหยูดเป็นอิบาดะห์อย่าให้การนั่งระหว่าง สองสุหยูดเกิดขึ้นเพราะสิ่งอื่นใด เช่น ความกลัว เป็นต้น
ข.ไม่นั่งนานเกินไปจนน่าเกลียดโดยนั่งนานเกินกว่าเวลาการอ่านตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
ค.ต้องมีตอมะอฺนีนะห์ (สงบนิ่ง) ครู่หนึ่ง เท่ากับ กล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย
9.นั่งครั้งสุดท้าย
หมายถึงการนั่งในรอกาอัตสุดท้ายของละหมาดและตามด้วยสลาม
10. ตะชะฮ์ฮุดในการนั่งครั้งสุดท้าย
บุคอรี(5806) มุสลิม (402)และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนุมัสอูด(ร.ด.)ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.)พวกเราได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวว่า และบัยฮะกี(2/138)และดารุกุตนี(1/350)ว่า พวกเราเคยกล่าวก่อนที่ตะชะฮ์ฮุดจะถูกกำหนดมาให้พวกเราว่า "ขอความสันติจงมีแด่อัลเลาะห์ ก่อนมวลบ่าวของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่ญิบรีล ขอความสันติจงมีแด่มีกาอีล ขอความสันติจงมีแด่ "คนนั้นๆ" เมื่อละหมาดเสร็จท่านนบี(ซ.ล.) ได้หันหน้ามาทางพวกเราแล้วพูดขึ้นว่า "แท้จริงอัลเลาะฮ์ คือ อัสสลาม เมื่อคนใดในพวกท่านนั่งลงในละหมาดให้เขาจงกล่าว ฮัตตาฮียาตุ..."
คำว่า คือ อัสสลาม หมายถึง อัสสลาม เป็นพระนามหนึ่งของอัลเลาะห์ตะอาลา บางทัศนะก็ว่าอัสสลาม หมายความว่า อัลเลาะห์ทรงบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องและความเสียหาย(อันนิฮายะห์)
ตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
"บรรดาการคารวะเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ผู้เป็นนบี ตลอดจนความเมตตาและความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บรรดาบ่าวของอัลเลาะฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะฮ์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริง มุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
รูปแบบของตะชะฮ์ฮุด มีหลายรายงานซึ่งล้วนซอเฮียะห์ทั้งสิ้น ส่วนรูปแบบที่สมบูรณ์ตามแนวทัศนะของอิหม่ามชาฟิอี รอฮิมะฮุ้ลเลาะห์ ก็คือ รายงานของมุสลิม (403) และผู้อื่น
จากอิบนิอับบาส (ร.ด.) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์เคยสอนตะชะฮ์ฮุดให้เรา เหมือนกับสอนซูเราะห์จากอัลกุรอานให้เรา ท่านจะกล่าวว่า "คำคารวะต่างๆ ที่มีมงคลและละหมาดต่างๆ ที่ดีนั้นเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ท่านผู้เป็นนบี รวมทั้งความเมตตาของอัลเลาะห์และความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บ่าวของอัลลอฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริงมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
ในการอ่านตะชะฮ์ฮุดควรระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. อ่านให้ตนเองได้ยินถ้าหากมีประสาทการได้ยินปานกลาง
ข. อ่านต่อเนื่องกันถ้าหากมีการหยุดนานๆมาคั่น หรือนำซิเกรอื่นมาอ่านคั่น การอ่านตะชะฮ์ฮุดนั้นก็ใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องอ่านใหม่
ค. อ่านตะชะฮ์ฮุดขณะที่นั่ง ยกเว้นผู้ที่มีอุปสรรคก็ยินยอมให้อ่านตะชะฮ์ฮุดในสภาพเท่าที่เขาสามารถทำได้
ง. ตะชะฮ์ฮุดต้องเป็นภาษาอาหรับถ้าหากไม่สามารถอ่านเป็นภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลเป็นภาษาอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ และจะเป็นที่เขาต้องศึกษา
จ. ระมัดระวังตำแหน่งออกเสียงของอักษรต่างๆและคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์)จุดถ้าหากออกเสียงไม่ถูกต้อง หรือละเลยคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์) และอ่านคำผิด ซึ่งการดังกล่าวนั้นทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลง ตะชะฮ์ฮุดนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องอ่านใหม่
ฉ. อ่านตะชะฮ์ฮุดเรียงคำดังที่ปรากฏอยู่ในหลักฐาน
11. ซอลาวาต(ขอพรให้)ท่านนบี(ซ.ล.)ภายหลังตะชะฮ์ฮุดสุดท้าย
คือซอลาวาตหลังจากจบตะชะฮ์ฮุด ในการนั่งครั้งสุดท้าย และก่อนสลาม
หลักฐานในการซอลาวาต
อัลเลาะฮ์ ตะอาลาตรัสว่า
"แท้จริง อัลเลาะฮ์และมวลมลาอิกะห์ของพระองค์จะซอลาวาต นบี โอ้บรรดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงซอลาวาตและสลาม (ขอความสันติ) แก่นบีอย่างจริงจังเถิด" (อัลอะห์ ซาบ)
นักปราชญ์ได้มีมติเป็นหลักอิจมาอ์ว่า การซอลาวาตในละหมาดเท่านั้นที่จำเป็น(วาญิบ)ส่วนนอกละหมาดไม่จำเป็น (วาญิบ) ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจำเป็น (วาญิบ) ต้องซอลาวาตในละหมาด
อิบนุฮิบบาน(515)และฮากิม(1/268) ได้นำออกรายงานและฮากิมว่าเป็นฮะดีษซอเฮียะห์ จากอิบนุมัสอูด (ร.ด.) ในเรื่องคำถามถึงวิธีการการซอลาวาตนบี ว่า"เราจะซอลาวาตท่านอย่างไรขณะที่เราจะซอลาวาตท่านในการละหมาดของเรา "ท่านนบีได้กล่าวว่าพวกเขาจงกล่าว....
ฮะดีษนี้ได้กำหนดแน่นอนว่าที่ที่ควรกล่าวซอลาวาต นบี คือในละหมาด
และที่ที่เหมาะสมแก่ซอลาวาต คือ ตอนท้ายละหมาด ดังนั้นจึงจำเป็น(วาญิบ)ซอลาวาตในการนั่งครั้งสุดท้ายภายหลังตะชะฮ์ฮุด
และฮะดีษที่ ติรมีซี(3475) อะบูดาวูด (1481) และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า
"เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านละหมาดให้เขาจงสรรเสริญและสดุดีองค์อภิบาลของเขา หลังจากนั้นให้เขาซอลาวาตนบี หลังจากนั้นให้เขาจงขอดุอาในภายหลังตามแต่ต้องการ"
อย่างน้อยของคำที่ใช้ในการซอลาวาตนบี(ซ.ล.)ก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาแก่มูฮำมัด"
ส่วนถ้อยคำที่สมบูรณ์ในการซอลาวาตก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่มุฮัมมัด และแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่อิบรอฮีม และแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม และได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่มูฮำมัดและแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเพิ่มพูนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม ในสากลโลก แน่แท้พระองค์นั้นควรแก่การสรรเสริญและให้เกียรติ"
คำซอลาวาตนี้ได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์ หลายฮะดีษ ที่บุคอรี มุสลิมและผู้อื่นได้รายงาน ซึ่งบางสายรายงานก็มีเพิ่ม บางสายก็มีหย่อน ดู บุคอรี(3190)และมุสลิม (406)
เงื่อนไขในการซอลาวาต
การซอลาวาต ต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้ตนเอง ได้ยินซอลาวาต ถ้าหากมีประสาทได้ยินปานกลาง
ข. ใช้คำว่า "มุฮำมัด" หรือใช้คำว่า "รอซู้ล" หรือ "นบี" ถ้าใช้คำว่า "อะหมัด" ในการซอลาวาตถือว่าใช้ไม่ได้
ค. คำซอลาวาตต้องเป็นภาษาอาหรับ ถ้าหากไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลความหมายเป็นภาษาที่ต้องการ และจำเป็นต้องศึกษาโดยรีบด่วนเมื่อสามารถจะกระทำได้
ง. เรียบเรียงคำซอลาวาตตามที่ปรากฏ และจำเป็นต้องเรียบเรียงระหว่างคำซอลาวาตกับ ตะชะฮ์ฮุด การเอาซอลาวาตไว้ก่อนตะชะฮ์ฮุดถือว่าใช้ไม่ได้
12 กล่าวสลามครั้งแรก
คือให้ผู้ละหมาดกล่าว โดยหันหน้าไปทางขวาว่า
"อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
หลักฐานการกล่าวสลามครั้งแรก
คือคำพูดของท่านนบี (ซ.ล.)ในฮะดีษที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องตักบีร่อตุ้ลเอียะห์รอมว่า
"ที่จะทำให้เป็นสิ่งต้องห้ามในละหมาดก็คือตักบีร และที่จะทำให้อนุญาตก็คือ การกล่าวสลาม"
คำสลามอย่างพอใช้ได้ก็คือ"อัสสะลามุ อะลัยกุม "เพียงครั้งเดียวและอย่างสมบูรณ์ก็คือ "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์" สองครั้ง ครั้งแรกหันไปทางขวา ครั้งที่สองหันไปทางซ้าย
มุสลิม (582) ได้รายงานจากสะอัด (ร.ด.) ได้กล่าวว่า
"ฉันเห็นท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวสลาม หันไปทางด้านขวาและทางด้านซ้ายจนฉันเห็นความขาวที่แก้มของท่าน "
อะบูดาวูด ( 996 ) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.) ว่าท่านนบีได้กล่าวสลามหันไปทางด้านขวา และทางด้านซ้าย จนเห็นความขาวที่แก้มของท่านว่า "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์ , อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
ติรมีซี (295)ได้กล่าวว่า ฮะดีษ อิบนิมัสอูด (ร.ด.) เป็นฮะดีษฮะซัน ซอเฮียะห์
13.เรียบเรียงรุก่นเหล่านี้ตามลำดับที่ได้กล่าวมา
โดยเริ่มด้วยการเนียต ตักบีรอตุ้ลเอียะห์รอม อ่านฟาติฮะห์ รุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล และ สุหยูด เช่นนี้ จนจบ
ดังนั้น หากนำรุก่นบางอย่างมาทำก่อนที่จะถึงวาระของมันตามที่ศาสนาบัญญัติโดยเจตนา ถือว่าละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ ส่วนการกระทำโดยไม่เจตนา ละหมาดจะใช้ไม่ได้ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนที่ไม่เรียบเรียงลำดับ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกลับไปทำใหม่ทั้งหมด
และเมื่อดำเนินไปตามนี้ ถ้าหากผู้ที่ละหมาดยังคงละหมาดต่อไปหลังจากเปลี่ยนแปลงลำดับของรุก่นละหมาดแล้ว จนถึงที่เดียวกับรอกาอัต ที่ผ่านมาสิ่งที่กระทำถูกต้องในรอกาอัตต่อไปจะเข้าแทนที่สิ่งที่ใช้ไม่ได้ในรอกาอัตที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจำเป็นต้องเพิ่มละหมาดอีกหนึ่งรอกาอัต แทนรอกาอัต ที่ใช้ไม่ได้นั้น
3- รายงานจากอาอิชะห์
มารดาของมวลผู้ศรัทธา (ร.ด.)
ว่าสิ่งแรกที่ถูกเริ่มต้นมีการติดต่อสื่อสารกับท่านคือความฝันดีขณะนอนหลับ
ท่านไม่เคยฝันใดๆนอกจากมันเกิดเป็นความจริง เหมือนแสงสว่างที่มาในยามเช้า หลังจากนั้นท่านก็ชอบที่จะอยู่อย่างสันโดษ
และท่านก็ได้ปลีกตัวไปอยู่ในถ้ำที่ภูเขาฮิรออ์ ปฎิบัติธรรม(ตามแบบฉบับนบีอิบรอฮีม)
อยู่ในถ้ำนั้น คือการปฎิบัติธรรมเป็นเวลาหลาย คืน
ก่อนที่ท่านจะกลับไปหาครอบครัวของท่าน
และจัดเตรียมเสบียงเพื่อการนั้น หลังจากนั้นท่านจะกลับไปหาคอดีญะห์
และจัดเตรียมเสบียงไปเป็นเวลาหลายคืน จนกระทั่งสัจธรรมได้มายังท่าน
ขณะท่านอยู่ในถ้ำที่ภูเขาฮิรออ์
มะลัก(เอกพจน์ของมะลาอิกะห์) ได้มาหาท่านแล้วกล่าว่า เจ้าจงอ่านเถิด ท่านตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น
เขาได้จับฉันและกอดรัดฉันแน่น จนฉันรู้สึกอึดอัด แล้วเขาก็ปล่อยฉัน
เขาได้กล่าวว่า ท่านจงอ่าน ฉันตอบว่า
ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้จับฉันและกอดรัดฉันแน่น เป็นครั้งที่สอง จนฉันรู้สึกอึดอัด แล้วเขาก็ปล่อยฉัน
เขาได้กล่าวอีกว่า ท่านจงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น
เขาได้จับฉันและกอดรัดฉันแน่น เป็นครั้งที่สาม
จนฉันรู้สึกอึดอัด แล้วเขาก็ปล่อยฉัน หลังจากนั้นเขาได้กล่าวว่า “เจ้าจงอ่าน
ด้วยนามแห่งองค์อภิบาลของเจ้าเถิด ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้าง
พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด
เจ้าจงอ่านเถิด องค์อภิบาลของเจ้าใจบุญยิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงสอนให้รู้จักปากกา” ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ได้กลับไปพร้อมด้วยข้อความเหล่านั้น หัวใจของท่านเต้นระรัว ท่านได้เข้าไปหา คอดีญะห์ บินติ คุวัยลิด
แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงห่มผ้าให้ฉัน พวกเขาได้ห่มผ้าให้ท่าน
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่คอดีญะห์ และเล่าให้นางฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ขอสาบานว่าฉันกลัวจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวฉัน คอดีญะห์กล่าวว่า คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า อัลเลาะห์
จะไม่ทำให้ท่านตกต่ำตลอดไป เพราะท่านติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติ ท่านรับภาระคนที่ช่วยตัวเองไม่ได้
ท่านเป็นที่พึ่งของคนยากไร้
ท่านต้อนรับแขก และท่านช่วยปัดเป่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นคอดีญะห์ได้พาท่านไปหา วะรอเกาะห์ บิน เนาฟัล บิน อะสัด บีน อับดิ้ลอุซซา ซึ่งเป็น
บุตรชายลุงของคอดีญะห์ เขาเป็นผู้มีความรู้ศาสนาคริสต์ เป็นอย่างดี ในยุคญาฮิลียะห์(ยุคก่อนอิสลาม) เขาได้เขียนคัมภีร์ภาษาฮีบรู
และเขียนคัมภีร์อินญีล ตามที่อัลเลาะห์ทรงประสงค์ให้เขาได้เขียน
เขาเป็นผู้สูงอายุที่ตาบอด
คอดีญะห์ได้กล่าวว่า โอ้ ลูกของลุงฉัน
ได้โปรดรับฟังเรื่องราวจากลูกพี่ลูกน้องของท่านเถิด วะรอเกาะห์ ได้กล่าวแก่ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล.) ว่า โอ้ลูกพี่ลูกน้องของฉัน
ท่านได้พบเห็นสิ่งใดหรือ ?
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)
ได้เล่าเรื่องราวที่ท่านได้พบเห็นมาให้เขาฟัง
วะรอเกาะห์ได้กล่าวแก่ท่านว่า นี่คือ
“อันนามูส” (ผู้ถือความลับในที่นี้คือ
ญิบรีล)
ซึ่งอัลเลาะห์ได้เคยบัญชาให้เขาลงมายังนบีมูซา หวังว่าฉันจะมีกำลังเหมือนคนหนุ่ม
(ในวันที่ศาสนาอิสลามเปิดเผย)
หวังว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ในวันที่พวกพ้องของท่านขับไล่ท่านออกไป ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ กล่าวว่า
พวกเขาจะขับไล่ฉันออกไปอย่างนั้นหรือ ? วะรอเกาะห์ ตอบว่าถูกแล้ว
จะไม่มีผู้ใดที่นำสิ่งที่เหมือนกับท่านนำมา นอกจากเขาจะถูกรังแกข่มเหง และถ้าหากฉันทันได้พบกับวันนั้น
ฉันจะต้องช่วยเหลือท่านอย่างจริงจัง
หลังจากนั้นไม่นาน วะรอเกาะห์ ก็เสียชีวิต และการติดต่อสื่อสาร(วะฮีย์)
ก็ขาดตอนลง.
การประกันภัยในทรรศนะของอิสลาม
สภานิติศาสตร์อิสลาม ขององค์การสันนิบาตโลกอิสลาม
ในการประชุมครั้งที่หนึ่ง มติที่ห้า
ระเบียบของการถือศิลอด
สำหรับการถือศิลอดมีระเบียบหลายประการพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ :
1. รีบละศิลอด :
คือรีบละศิลอดทันทีภายหลังตะวันลับขอบฟ้า หลักฐานในเรื่องนี้ คือฮาดิษ บุคอรี ( 1856 ) และมุสลิม ( 1098 ) ที่รายงานจาก สะหัล บุตร สะอัด ( ร.ด ) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าว่า :
" มนุษย์จะยังคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด และที่ดีนั้นควรละศิลอดด้วยอินทผาลัมสด หรือแห้ง ถ้าหากไม่มีให้ละศิลอดด้วยน้ำ"
ติรมีซี ( 696 ) และอบูดาวูด ( 3356 ) ได้รายงานว่าท่านนบี ( ซ.ล ) :
" เคยละศิลอดก่อนละหมาด ด้วยอินทผาลัมสด ถ้าไม่มีก็ด้วยอินทผาลัมแห้ง และถ้าไม่มีท่านก็จะดื่มน้ำหลายอึก เพราะมันทำให้สะอาด "
2. รับประทานอาหารดึก ( สะฮูร ) :
คือการรับประทานอาหารภายหลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ ฮาดิษ บุคอรี ( 1823 ) และมุสลิม ( 1095 ) ได้รายงานจากท่านนบี ( ซ.ล ) ว่าท่านได้กล่าวว่า :
" ท่านทั้งหลายจงรับประทานอาหารดึก เพราะในอาหารดึกนั้นมีความเพิ่มพูน "
ส่วนเคล็ดลับที่สุนัตให้รับประทานอาหารดึกนั้น เพื่อให้แข็งแรงสามารถถือศิลอดในวันรุ่งขึ้นได้ ฮากิมได้รายงานในหนังสือ มุสตัดร๊อก ของเขา ( 1/425 ) ว่าท่านนบี ( ซ.ล ) ว่า :
" ท่านทั้งหลายจงเอาอาหารดึกมาช่วยการถือศิลอดในเวลากลางวันเถิด "
เข้าเวลาอาหารดึก เมื่อเข้าเวลาเที่งคืน การรับประทานอาหารดึกไม่ว่าจะมากหรือเล็กน้อย หรือเพียงแค่ดื่มน้ำ ก็ถือว่าได้รับความประเสริฐแล้ว
อิบนุฮิบบานได้รายงานในหนังสือ ซอเฮี๊ยะของเขาว่าท่านนบี ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :
" ท่านทั้งหลายจงรับประทานอาหารดึกเถิด แม้เป็นน้ำเพียงอึกเดียวก็ตาม" ( มะวาริดุซซอมอาน 884 )
3. ควรรับประทานอาหารดึกในเวลาใกล้รุ่ง :
โดยกะเวลาให้การรับประทานและดื่มน้ำเสร็จก่อนแสงอรุณขึ้นเล็กน้อย หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ ฮาดิษ ที่อิหม่าม อะห์หมัดได้รายงานไว้ในหนังสือ มุสนัดของเขา ( 5/147 ) จากท่านนบี ( ซ .ล ) ว่า :
" ประชากรของฉันจะคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด และล่าช้าการรับประทานอาหารดึก "
และบุคอรี ( 556 ) ได้รายงานจากอะนัส ( ร.ด ) ว่าท่านนบี ( ซ.ล ) และ เซต บุตร ซาบิต ได้รับประทานอาหารดึก เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารดึกเสร็จ ท่านนบี ( ซ . ล ) ได้ลุกขึ้นและไปละหมาดพวกเราถามอะนัสว่า ช่วงเวลาระหว่างที่ทั้งสองเสร็จจากการรับประทานอาหารดึกและเขาทั้งสองเข้าไปละหมาดห่างกันเท่าใด ? เขาตอบว่า เท่ากับช่วงที่คนหนึ่งอ่านกรุอ่านได้สิบห้าอายะห์
สำหรับการถือศิลอดมีระเบียบหลายประการพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ :
1. รีบละศิลอด :
คือรีบละศิลอดทันทีภายหลังตะวันลับขอบฟ้า หลักฐานในเรื่องนี้ คือฮาดิษ บุคอรี ( 1856 ) และมุสลิม ( 1098 ) ที่รายงานจาก สะหัล บุตร สะอัด ( ร.ด ) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าว่า :
" มนุษย์จะยังคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด และที่ดีนั้นควรละศิลอดด้วยอินทผาลัมสด หรือแห้ง ถ้าหากไม่มีให้ละศิลอดด้วยน้ำ"
ติรมีซี ( 696 ) และอบูดาวูด ( 3356 ) ได้รายงานว่าท่านนบี ( ซ.ล ) :
" เคยละศิลอดก่อนละหมาด ด้วยอินทผาลัมสด ถ้าไม่มีก็ด้วยอินทผาลัมแห้ง และถ้าไม่มีท่านก็จะดื่มน้ำหลายอึก เพราะมันทำให้สะอาด "
2. รับประทานอาหารดึก ( สะฮูร ) :
คือการรับประทานอาหารภายหลังเที่ยงคืนไปแล้ว หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ ฮาดิษ บุคอรี ( 1823 ) และมุสลิม ( 1095 ) ได้รายงานจากท่านนบี ( ซ.ล ) ว่าท่านได้กล่าวว่า :
" ท่านทั้งหลายจงรับประทานอาหารดึก เพราะในอาหารดึกนั้นมีความเพิ่มพูน "
ส่วนเคล็ดลับที่สุนัตให้รับประทานอาหารดึกนั้น เพื่อให้แข็งแรงสามารถถือศิลอดในวันรุ่งขึ้นได้ ฮากิมได้รายงานในหนังสือ มุสตัดร๊อก ของเขา ( 1/425 ) ว่าท่านนบี ( ซ.ล ) ว่า :
" ท่านทั้งหลายจงเอาอาหารดึกมาช่วยการถือศิลอดในเวลากลางวันเถิด "
เข้าเวลาอาหารดึก เมื่อเข้าเวลาเที่งคืน การรับประทานอาหารดึกไม่ว่าจะมากหรือเล็กน้อย หรือเพียงแค่ดื่มน้ำ ก็ถือว่าได้รับความประเสริฐแล้ว
อิบนุฮิบบานได้รายงานในหนังสือ ซอเฮี๊ยะของเขาว่าท่านนบี ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :
" ท่านทั้งหลายจงรับประทานอาหารดึกเถิด แม้เป็นน้ำเพียงอึกเดียวก็ตาม" ( มะวาริดุซซอมอาน 884 )
3. ควรรับประทานอาหารดึกในเวลาใกล้รุ่ง :
โดยกะเวลาให้การรับประทานและดื่มน้ำเสร็จก่อนแสงอรุณขึ้นเล็กน้อย หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ ฮาดิษ ที่อิหม่าม อะห์หมัดได้รายงานไว้ในหนังสือ มุสนัดของเขา ( 5/147 ) จากท่านนบี ( ซ .ล ) ว่า :
" ประชากรของฉันจะคงอยู่ในความดี ตราบที่พวกเขารีบละศิลอด และล่าช้าการรับประทานอาหารดึก "
และบุคอรี ( 556 ) ได้รายงานจากอะนัส ( ร.ด ) ว่าท่านนบี ( ซ.ล ) และ เซต บุตร ซาบิต ได้รับประทานอาหารดึก เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารดึกเสร็จ ท่านนบี ( ซ . ล ) ได้ลุกขึ้นและไปละหมาดพวกเราถามอะนัสว่า ช่วงเวลาระหว่างที่ทั้งสองเสร็จจากการรับประทานอาหารดึกและเขาทั้งสองเข้าไปละหมาดห่างกันเท่าใด ? เขาตอบว่า เท่ากับช่วงที่คนหนึ่งอ่านกรุอ่านได้สิบห้าอายะห์
4. ควรต้องสงวนถ้อยคำ :
โดยละทิ้งคำพูดประเภทโกหก ด่า นินทา ยุแหย่ และต้องควบคุมจิตใจ ไม่ให้เกิดกำหนัดต่างๆ เช่นการมองดูเพศตรงข้าม และฟังเพลง เป็นต้น บุคอรี ( 1804 ) ได้รายงานจาก อะบูฮูรอยเราะห์ ( ร.ด ) ว่า :
" ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า ผู้ใดไม่ละทิ้งคำพูดเท็จ และไม่เลิกกระทำการโป้ปด อัลเลาะห์จะไม่ทรงเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เขาอดอาหารและเครื่องดื่ม "
ที่จริงแล้วการด่าทอ การโกหก การนินทา และการยุแหย่นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ( ฮะรอม ) อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ที่นำมาเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถือศิลอด ก็เพราะนอกจากเป็นบาป แล้ว มันยังทำลายผลบุญของการถือศิลอดอีกด้วย แม้ว่าการถือศิลอดจะมีผลใช้ได้และพ้นการบังคับ ของศาสนาก็ตาม ทั้งนี้เพราะสิ่งที่กล่าวมานี้จัดอยู่ในระเบียบของการถือศิลอด ที่ผู้ถือศิลอดต้องดำเนินตาม
5. ควรอาบน้ำยกฮะดัษใหญ่ ( ญูนุบ ) ก่อนแสงอรุณขึ้น :
เพื่อให้ร่างกายสะอาดก่อนที่จะเริ่มต้นถือศิลอด ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า การมีญูนุบ จะทำการถือศิลอดไม่ได้ แต่ที่ดีนั้นควรอาบน้ำยกฮาดัษ ญูนุบ ก่อนแสงอรุณขึ้น หลักฐานในเรื่องดังกล่าว ได้แก่ ฮาดิษที่บุคอรี ( 1825 .1830 ) ได้รายงานว่า :
" ท่านนบี ( ซ.ล ) มีญูนุบที่ไม่ใช่เกิดจากความฝัน หลังจากนั่นท่านได้อาบน้ำและทำการถือศิลอด "
สำหรับสตรีที่หมดเลือดประจำเดือน และเลือดนิฟาส ก็ควรอาบน้ำยกฮาดัษก่อนแสงอรุณขึ้นถ้าเลือดหยุดก่อนหน้านั้น
6. ควรระงับการกรอกเลือด การเจาะเส้นเลือด และการกระทำคล้ายกับสองอย่างนี้ :
โดยละทิ้งคำพูดประเภทโกหก ด่า นินทา ยุแหย่ และต้องควบคุมจิตใจ ไม่ให้เกิดกำหนัดต่างๆ เช่นการมองดูเพศตรงข้าม และฟังเพลง เป็นต้น บุคอรี ( 1804 ) ได้รายงานจาก อะบูฮูรอยเราะห์ ( ร.ด ) ว่า :
" ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า ผู้ใดไม่ละทิ้งคำพูดเท็จ และไม่เลิกกระทำการโป้ปด อัลเลาะห์จะไม่ทรงเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เขาอดอาหารและเครื่องดื่ม "
ที่จริงแล้วการด่าทอ การโกหก การนินทา และการยุแหย่นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ( ฮะรอม ) อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ที่นำมาเกี่ยวข้องกับผู้ที่ถือศิลอด ก็เพราะนอกจากเป็นบาป แล้ว มันยังทำลายผลบุญของการถือศิลอดอีกด้วย แม้ว่าการถือศิลอดจะมีผลใช้ได้และพ้นการบังคับ ของศาสนาก็ตาม ทั้งนี้เพราะสิ่งที่กล่าวมานี้จัดอยู่ในระเบียบของการถือศิลอด ที่ผู้ถือศิลอดต้องดำเนินตาม
5. ควรอาบน้ำยกฮะดัษใหญ่ ( ญูนุบ ) ก่อนแสงอรุณขึ้น :
เพื่อให้ร่างกายสะอาดก่อนที่จะเริ่มต้นถือศิลอด ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า การมีญูนุบ จะทำการถือศิลอดไม่ได้ แต่ที่ดีนั้นควรอาบน้ำยกฮาดัษ ญูนุบ ก่อนแสงอรุณขึ้น หลักฐานในเรื่องดังกล่าว ได้แก่ ฮาดิษที่บุคอรี ( 1825 .1830 ) ได้รายงานว่า :
" ท่านนบี ( ซ.ล ) มีญูนุบที่ไม่ใช่เกิดจากความฝัน หลังจากนั่นท่านได้อาบน้ำและทำการถือศิลอด "
สำหรับสตรีที่หมดเลือดประจำเดือน และเลือดนิฟาส ก็ควรอาบน้ำยกฮาดัษก่อนแสงอรุณขึ้นถ้าเลือดหยุดก่อนหน้านั้น
6. ควรระงับการกรอกเลือด การเจาะเส้นเลือด และการกระทำคล้ายกับสองอย่างนี้ :
เพราะจะทำให้ร่างกายของผู้ถือศิลอดอ่อนเพลีย และผู้ถือศิลอดไม่ควรซิมอาหารและใช้ลิ้นแตะอาหาร เพราะกลัวว่าจะมีสิ่งใดหลุดเข้าไปถึงเขตภายใน ซึ่งจะทำให้เสียการถือศิลอด
7. ควรกล่าวขณะละศิลอดว่า :
ข้าแด่อัลเลาะห์เจ้า ข้าพเจ้าถือศิลอดเพื่อพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าละศิลอดด้วยปัจจัยยังชีพ ( ริสกี ) ของพระองค์ท่าน ความากระหายมลายไป เส้นเลือดชุ่มน้ำ ผลบุญปรากฏหากอัลเลาะห์ประสงค์
8. ควรเลี้ยงอาหารละศิลอดแก่ผู้ถือศิลอด :
โดยการเลี้ยงอาหาร และถ้าหากไม่สามารถเลี้ยงอาหารได้ ก็ให้อินทผาลัม หรือน้ำดื่มในการละศิลอด
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าวว่า :
" ผู้ใดเลี้ยงอาหารละศิลอดแก่ผู้ถือศิลอด เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผู้ถือศิลอด โดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย "
9. ทำทานให้มาก อ่านและทบทวนอัลกรุอ่าน เอี๊ยะตีกาฟในมัสยิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสิบวันสุดท้ายของรอมาดอน :
เล่าจากอนัส ( ร.ด ) ว่า ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ การทำทานอะไรประเสริฐที่สุด ท่านตอบว่า การทำทานในรอมาดอน รายงานโดย ติรมีซี ( 663 )
บุคอรี ( 1803 ) และมุสลิม ( 2308 ) รายงานว่า ญิบรีลได้พบท่านนบี ( ซ.ล ) ทุกปี ในรอมาดอนจนสิ้นเดือน ญิบรีลจะนำอัลกรุอ่านมานำเสนอต่อท่านนบี ( ซ.ล ) สำหรับเรื่องเอี๊ยะตีกาฟ จะนำมากล่าวไว้ท้ายเรื่องการถือศิลอด
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ( มักรูห์ ) ในขณะถือศิลอด :
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติขณะถือศิลอดใด้แก่สิ่งที่ขัดกันกับระเบียบของการถือศิลอดดังได้กล่าวมาแล้ว บางอย่างจัดเข้าอยู่ในประเภท มักรูห์ตันซีห์ เช่น ล่าช้าในการละศิลอดและรีบรับประทานอาหารดึก ( สะฮูด ) และบางอย่างจัดเข้าอยู่ในประเภท สิ่งที่ต้องห้าม ( หะรอม ) เช่น การนินทา การยุแหย่ และการพูดปด
ข้าแด่อัลเลาะห์เจ้า ข้าพเจ้าถือศิลอดเพื่อพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าละศิลอดด้วยปัจจัยยังชีพ ( ริสกี ) ของพระองค์ท่าน ความากระหายมลายไป เส้นเลือดชุ่มน้ำ ผลบุญปรากฏหากอัลเลาะห์ประสงค์
8. ควรเลี้ยงอาหารละศิลอดแก่ผู้ถือศิลอด :
โดยการเลี้ยงอาหาร และถ้าหากไม่สามารถเลี้ยงอาหารได้ ก็ให้อินทผาลัม หรือน้ำดื่มในการละศิลอด
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าวว่า :
" ผู้ใดเลี้ยงอาหารละศิลอดแก่ผู้ถือศิลอด เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผู้ถือศิลอด โดยไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย "
9. ทำทานให้มาก อ่านและทบทวนอัลกรุอ่าน เอี๊ยะตีกาฟในมัสยิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสิบวันสุดท้ายของรอมาดอน :
เล่าจากอนัส ( ร.ด ) ว่า ได้มีผู้ถามว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ การทำทานอะไรประเสริฐที่สุด ท่านตอบว่า การทำทานในรอมาดอน รายงานโดย ติรมีซี ( 663 )
บุคอรี ( 1803 ) และมุสลิม ( 2308 ) รายงานว่า ญิบรีลได้พบท่านนบี ( ซ.ล ) ทุกปี ในรอมาดอนจนสิ้นเดือน ญิบรีลจะนำอัลกรุอ่านมานำเสนอต่อท่านนบี ( ซ.ล ) สำหรับเรื่องเอี๊ยะตีกาฟ จะนำมากล่าวไว้ท้ายเรื่องการถือศิลอด
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ( มักรูห์ ) ในขณะถือศิลอด :
สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติขณะถือศิลอดใด้แก่สิ่งที่ขัดกันกับระเบียบของการถือศิลอดดังได้กล่าวมาแล้ว บางอย่างจัดเข้าอยู่ในประเภท มักรูห์ตันซีห์ เช่น ล่าช้าในการละศิลอดและรีบรับประทานอาหารดึก ( สะฮูด ) และบางอย่างจัดเข้าอยู่ในประเภท สิ่งที่ต้องห้าม ( หะรอม ) เช่น การนินทา การยุแหย่ และการพูดปด
รุกุ่น ( องค์ประกอบสำคัญ ) ของการถือศิลอด
การถือศิลอดจะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบสำคัญสองประการ คือ :
หนึ่ง - ตั้งเจตนา ( เนียต ) :
คือตั้งเจตนาทำการถือศิลอดด้วยหัวใจ การใช้แต่ปากกล่าวถ้อยคำยังถือว่าใช่ไม่ได้ และไม่มีเงื่อนไขว่าต้องใช้ปากกล่าวถ้อยคำที่จะใช้ตั้งเจตนา หลักฐานที่ว่าการตั้งเจตนาเป็นองค์ประกอบสำคัญได้แก่ ฮาดิษที่ท่านนบี ( ซ.ล ) กล่าวว่า :
?การกระทำต่างๆที่จะมีผลใช้ได้นั้นต้องมีการตั้งเจตนา ? รายงานโดย บุคอรี ( 1 ) และมุสลิม ( 1908 )
ถ้าหากเป็นการตั้งเจตนาเพื่อการถือศิลอดในเดือนรอมาดอน จำต้องประกอบด้วยสิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ :
1. ต้องตั้งเจตนาในเวลากลางคืน :
คือต้องมีการตั้งเจตนาในเวลากลางคืนก่อนแสงอรุณขึ้น ถ้าหากไม่ได้มีการตั้งเจตนาเอาไว้ในตอนกลางคืน เช่นมาตั้งเจตนาภายหลังแสงอรุณขึ้นแล้ว การตั้งเจตนาใช้ไม่ได้ และเมื่อการตั้งเจตนาใช่ไม่ได้ การถือศิลอดก็ใช่ไม่ได้
หลักฐานในเรื่องดังกล่าวได้แก่ฮาดิษที่ท่านนบี ( ซ.ล ) กล่าวว่า :
? ผู้ใดไม่ได้ตั้งเจตนาทำการถือศิลอดเอาไว้ในเวลากลางคืน ก็ไม่มีการถือศิลอดสำหรับเขา? รายงานโดย ดารุกุตนี ( 2/172 ) ดารุกุตนี กล่าวว่า ผู้รายงานฮาดิษนี้เชื่อถือได้ และรายงานโดย บัยฮะกี ( 4/202 )
2. ต้องระบุเจาะจงให้แน่ชัด :
โดยต้องระบุประเภทของการถือศิลอดให้ชัดเจน หากเป็นการถือศิลอดในเดือนรอมาดอนเขาก็ต้องตั้งเจตนาว่า ? ข้าพเจ้าตั้งใจถือศิลอดในวันพรุ่งนี้เป็นฟัรดูเดือนรอมาดอน ? ถ้าหากเขาตั้งเจตนาว่าเป็นการถือศิลอดเฉยๆ โดยไม่ระบุไปว่าเป็นการถือศิลอดเดือนรอมาดอน การตั้งเจตนาของเขาใช้ไม่ได้ เพราะฮาดิษ ที่ว่า :
? การกระทำต่างๆ ที่จะมีผลใช้ได้นั้นต้องมีการตั้งเจตนา ? ที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ว่า :
? แต่ละคนจะได้รับสิ่งที่ตนตั้งเจตนาไว้ ? หมายความว่า การกระทำจะเป็นไปตามการตั้งเจตนาที่จะกระทำของเขา
3. ต้องตั้งเจตนาซ้ำ :
หมายความว่าต้องมีการตั้งเจตนา ( เนียต ) ถือศิลอดทุกคืนก่อนแสงอรุณขึ้น สำหรับการถือศิลอดในวันถัดไป การตั้งเจตนาเพียงครั้งเดียว จะใช้กับการถือศิลอดตลอดทั้งเดือนไม่ได้ เพราะการถือศิลอดเดือนรอมาดอนไม่ใช่เป็นอีบาดะห์เดียว แต่เป็นหลายอีบาดะห์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ตลอดเดือน ซึ่งแต่ละอีบาดะห์ ต้องมีเจตนาที่เป็นอิสระต่อกัน ( 1)
ส่วนการถือศิลอดที่เป็นสุนัตนั้น ไม่ได้มีเงื่อนไขว่าต้องตั้งเจตนา ( เนียต ) ในเวลากลางคืน และไม่มีเงื่อนไขว่าต้องระบุเจาะจง ดังนั้นการตั้งเจตนาก่อนตะวันคล้อยโดยที่เขายังไม่ได้กระทำการใดๆที่ทำให้เสียศิลอดเลยตั้งแต่แสงอรุณขึ้น หรือตั้งเจตนาถือศิลอดเฉยๆ สำหรับการถือศิลอดที่เป็นสุนัต ถือว่ามีผลใช้ได้แล้ว
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษอาอะชะห์ ( ร.ด ) ท่านนบี ( ซ .ล ) ได้กล่าวแก่เธอในวันหนึ่งว่า :
? พวกท่านมีอาหารเช้าไหม? อาอิชะห์ตอบว่า ไม่มี ท่านกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นฉันถือศิลอด ? รายงานโดย ดารุกุตนี
----------------
(1) อนุญาตให้ตามมัซฮับ มาลิกี ได้ในเรื่องการเหนียตถือศีลอดตลอดทั้งเดือน โดยเนียตในคืนแรกครั้งเดียว เพื่อป้องกันการลืมเหนียตทุก ๆ คืน (ผู้แปล)
สอง : อดกลั้นไม่กระทำสิ่งที่จะทำให้เสียการถือศิลอด :
สิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอดมีหลายประการ :
1. การกิน การดื่ม :
เมื่อเกิดจากเจตนา ไม่ว่าอาหารหรือเครื่องดื่มจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากเขากินและดื่มโดยลืมไปว่าตัวเองถือศิลอด ไม่ว่าจะกินและดื่มมากขนาดไหนก็ตาม การถือศิลอดของเขาก็ไม่เสีย
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษอะบูฮุรอยเราะห์ ( ร.ด ) ว่า ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :
"ผู้ใดลืมขณะที่ถือศิลอด และเขาได้กินหรือดื่ม ให้เขาจงถือศิลอดให้ตลอดเถิดเพราะแท้ที่จริงอัลเลาะห์เป็นผู้ให้อาหารและน้ำดื่มแก่เขา " รายงานโดย มุสลิม ( 1155 ) และบุคอรี ( 1831 )
2. มีวัตถุเข้าไปถึงภายในจากทางทวารที่เปิด :
คำที่ว่า วัตถุ หมายถึงสิ่งที่มองเห็นด้วยตา คำที่ว่าภายใน หมายถึง โพลงสมอง หรือลึกลงไปเกินลูกกระเดือกถึงกระเพาะและลำไส้
คำที่ว่าทวารที่เปิด ได้แก่ ปาก รุหู รูทวารหน้า และทวารหลัง ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย
การหยอดหู ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะหูเป็นทวารที่เปิด
การหยอดตา ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะตาไม่ใช่ทวารเปิด
การสวนทวารหนัก ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะรูทวารเปิด
การฉีดยาเข้าเส้น ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะเส้นไม่ใช่ทวารเปิด
ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องกระทำโดยเจตนา ถ้าหากกระทำโดยลืม ก็ไม่เกิดผลเสีย โดยเทียบเคียง ( กิยาส ) กับการกินและการดื่ม
หากแมลงวันหรือยุง หรือฝุ่นละอองตามทางเข้าไปถึงภายใน ก็ไม่เสียการถือศิลอดอีกเช่นกัน เพราะเป็นการยากลำบากที่จะป้องกันได้
การกลืนน้ำลายตนเอง ก็ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด ถ้าหากกลืนน้ำลายที่มีนายิสปะปนอยู่ เช่นคนที่มีเลือดออกที่เหงือก และเขาไม่ได้ล้างปากให้สะอาด แม้น้ำลายจะขาวก็ตาม ทำให้เสียการถือศิลอด
ถ้าหากบ้วนปากหรือสูดน้ำเข้าจมูกขณะอาบน้ำละหมาด น้ำที่บ้วนปากหรือที่ใช้สูดเข้าจมูกนั้นพลาดเข้าไปข้างใน ไม่ทำให้เสียการถือศิลอดถ้าหากเขาไม่ได้ทำให้น้ำเข้าปากหรือจมูกลึกเกินไปขณะบ้วนปากหรือสูดเข้าจมูก แต่ถ้าหากเขาปล่อยให้น้ำเข้าลึกเกินไปก็ทำให้เสียการถือศิลอด เพราะเขาได้กระทำสิ่งที่เป็นข้อห้ามไม่ให้กระทำขณะถือศิลอด
ถ้าหากมีเศษอาหารติดอยู่ตามซอกฟัน และมันได้หลุดติดไปกับน้ำลายลงไปภายในโดยไม่ได้มีเจตนา ให้พิจารณาดังนี้ ถ้าเขาไม่สามารถแยกอาหารออกจากน้ำลาย และบ้วนอาหารทิ้งไปได้ ก็ไม่เสียการถือศิลอด เพราะสุดวิสัย และไม่เป็นผู้ประมาท และถ้าหากเขาสามารถแยกได้แต่ไม่ยอมแยกก็ถือว่า เสียการถือศิลอด เพราะเขาบกพร่องและประมาท
ถ้าหากถูกบังคับ ให้กินและดื่มก็ไม่เสียการถือศิลอดอีกเช่นเดียวกัน เพราะกระทำไปโดยไม่สมัครใจ
3. จงใจทำให้อาเจียน :
การจงใจทำให้อาเจียน ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอด แม้ผู้ถืดศิลอดจะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดกลับเข้าไปภายในอีกเลยก็ตาม แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถฝืนการอาเจียนไว้ได้ ก็ไม่ทำให้เสียการถือศิลอดแม้จะรู้ว่ามีบางอย่างที่ออกมากลับเข้าไปภายในอีก โดยที่เขาไม่ได้เจตนาก็ตาม
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษที่อะบูฮูรอยเราะห์ (ร.ด) ได้รายงานว่า ท่านนบี ( ซ. ล ) กล่าวว่า :
" ผู้ใดไม่สามารถฝืนการอาเจียนไว้ได้ ขณะที่เขาถือศิลอด เขาไม่จำเป็นต้องชดใช้ และหากเขาจงใจให้อาเจียน ให้เขาจงชดใชเถิด" นำออกรายงานโดย อะบูดาวูด ( 2380 ) ติรมีซี ( 720 ) และท่านอื่น
4. ร่วมประเวณีโดยเจตนา :
แม้ไม่ถึงขั้นหลั่งอสุจิก็ตาม หลักฐานในเรื่องนี้ คือดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า :
( ท่านทั้งหลายจงกินและจงดื่ม จนกว่าเส้นด้ายสีขาว จากเส้นด้ายสีดำ ของแสงอรุณจะปรากฏแก่พวกท่านจากนั้นให้พวกท่านจงถือศิลอดให้ครบถึงกลางคืนเถิด และท่านทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง ขณะพวกท่านเอียะตีกาฟอยู่ในมัสยิด ) ( อัลบากอเราะห์ 187 )
คำที่ว่าเส้นด้ายขาว คือ แสงอรุณของเวลากลางวัน คำที่ว่าเส้นด้ายดำ ความมืดของเวลากลางคืน คำที่แสงอรุณขึ้น หมายถึง แสงอรุณที่ขอบฟ้าซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าสิ้นสุดเวลากลางคืนและเริ่มเข้าสู่เวลากลางวัน คำที่ว่า และท่านทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง หมายถึงอย่าร่วมประเวณีกับพวกนาง
ถ้าหากได้ร่วมประเวณีโดยลืมว่าตนถือศิลอด ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด โดยเทียบเคียง ( กียาส ) กับการกินและการดื่มโดยลืม
การจงใจทำให้อาเจียน ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอด แม้ผู้ถืดศิลอดจะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดกลับเข้าไปภายในอีกเลยก็ตาม แต่ถ้าหากเขาไม่สามารถฝืนการอาเจียนไว้ได้ ก็ไม่ทำให้เสียการถือศิลอดแม้จะรู้ว่ามีบางอย่างที่ออกมากลับเข้าไปภายในอีก โดยที่เขาไม่ได้เจตนาก็ตาม
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษที่อะบูฮูรอยเราะห์ (ร.ด) ได้รายงานว่า ท่านนบี ( ซ. ล ) กล่าวว่า :
" ผู้ใดไม่สามารถฝืนการอาเจียนไว้ได้ ขณะที่เขาถือศิลอด เขาไม่จำเป็นต้องชดใช้ และหากเขาจงใจให้อาเจียน ให้เขาจงชดใชเถิด" นำออกรายงานโดย อะบูดาวูด ( 2380 ) ติรมีซี ( 720 ) และท่านอื่น
4. ร่วมประเวณีโดยเจตนา :
แม้ไม่ถึงขั้นหลั่งอสุจิก็ตาม หลักฐานในเรื่องนี้ คือดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า :
( ท่านทั้งหลายจงกินและจงดื่ม จนกว่าเส้นด้ายสีขาว จากเส้นด้ายสีดำ ของแสงอรุณจะปรากฏแก่พวกท่านจากนั้นให้พวกท่านจงถือศิลอดให้ครบถึงกลางคืนเถิด และท่านทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง ขณะพวกท่านเอียะตีกาฟอยู่ในมัสยิด ) ( อัลบากอเราะห์ 187 )
คำที่ว่าเส้นด้ายขาว คือ แสงอรุณของเวลากลางวัน คำที่ว่าเส้นด้ายดำ ความมืดของเวลากลางคืน คำที่แสงอรุณขึ้น หมายถึง แสงอรุณที่ขอบฟ้าซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าสิ้นสุดเวลากลางคืนและเริ่มเข้าสู่เวลากลางวัน คำที่ว่า และท่านทั้งหลายอย่าสัมผัสพวกนาง หมายถึงอย่าร่วมประเวณีกับพวกนาง
ถ้าหากได้ร่วมประเวณีโดยลืมว่าตนถือศิลอด ไม่ทำให้เสียการถือศิลอด โดยเทียบเคียง ( กียาส ) กับการกินและการดื่มโดยลืม
5. กระทำให้อสุจิหลั่ง :
คือกระทำให้อสุจิหลั่งด้วยการสัมผัส จูบ เป็นต้น หรือโดยใช้มือ ถ้าหากผู้ถือศิลอดเจตนา กระทำก็ถือว่าเสียศิลอด ส่วนกรณีไม่สามารถอดกลั้นไม่ให้หลั่งได้ ก็ไม่เสียการถือศิลอด
การจูบภรรยาขณะถือศิลอดในเดือนรอมาดอนถือเป็น มักรูห์ตะห์รีม สำหรับบุคคลที่การจูบของเขาทำให้เกิดความกำหนัด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็ตาม เพราะการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการล่อแหลมที่จะเสียศิลอดได้
สำหรับการจูบไม่ก่อให้เกิดกำหนัด ที่ดียิ่งสำหรับเขาคือการไม่จูบเพื่อเป็นการปิดประตูที่จะนำไปสู่การเสียศิลอด
มุสลิม ( 1106 ) ได้รายงานจากอะอีชะห์ ( ร.ด ) ว่า :
" ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ . ล ) เคยจูบฉันขณะที่ท่านถือศิลอด จะมีใครในหมู่พวกท่านที่จะสามารถควบคุมความต้องการของตนเองได้ เหมือนกับที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ . ล ) ควบคุมความต้องการของท่าน"
ผู้รู้กล่าวว่า คำพูดของอาอิชะห์ ( ร.ด ) หมายความว่า พวกท่านควรระมัดระวังเรื่องการจูบ พวกท่านอย่าสำคัญตนผิดว่าพวกท่านสามารถควบคุมความต้องการของตังเองได้เหมือนท่านนบี ( ซ . ล ) ที่ควบคุมความต้องการของตัวท่านได้ การจูบของท่านจึงไม่น่าไปสู่การหลั่งหรือเกิดกำหนัด แต่พวกท่านจะไม่สามารถเช่นนั้น
6. มีเลือดประจำเดือนหรือนิฟาส :
เพราะเลือดทั้งสองเป็นอุปสรรคขัดขวางการถือศิลอด สตรีคนใดที่มีเลือดประจำเดือนหรือนิฟาสเกิดขึ้นในช่วงใดของเวลากลางวันขณะถือศิลอด ถือว่าเสียการถือศิลอดของนาง และจำเป็นนางต้องชดใช้ การถือศิลอดในภายหลัง บุคอรี ( 298 ) และมุสลิม ( 80 ) ได้รายงานจากอบีสะอีด ( ร.ด) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวถึงผู้หญิงขณะที่ท่านถูกถามเกี่ยวกับความบกพร่องในเรื่องศาสนาของนางว่า :
" เมื่อนางมีเลือดประจำเดือน นางไม่ต้องละหมาด และไม่ต้องถือศิลอดไม่ใช่หรือ "
7. เป็นบ้าและสิ้นสภาพการเป็นอิสลาม :
ทั้งสองประการนี้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ได้ เพราะขาดคุณสมบัติ ของผู้ที่ทำอีบาดะห์
ดังกล่าวมานี้ ผู้ที่ถือศิลอดจะต้องอดกลั้นไม่กระทำสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอดต่างๆ เพื่อให้การถือศิลอดของตนมีผลใช้ได้ เริ่มตั้งแต่แสงอรุณขึ้น จนตะวันลับขอบฟ้า ถ้าหากผู้ถือศิลอดกระทำสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอด โดยเชื่อว่าแสงอรุณยังไม่ขึ้น แต่ปรากฏว่าความเชื่อของเขาไม่ตรงความจริงการถือศิลอดของเขาใช่ไม่ได้ และเขาจะต้องอดอาหารตลอดวันนั้น เพื่อให้เกียรติแก่รอมาดอน และจะต้องชดใช้ในภายหลังด้วย
และเช่นเดียวกับกรณีดังกล่าว ถ้าหากเขาละศิลอดในตอนค่ำโดยเชื่อว่าตะวันลับขอบฟ้าแล้ว แต่ปรากฏว่าตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า การถือศิลอดของเขาใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องชดใช้ในภายหลัง
คือกระทำให้อสุจิหลั่งด้วยการสัมผัส จูบ เป็นต้น หรือโดยใช้มือ ถ้าหากผู้ถือศิลอดเจตนา กระทำก็ถือว่าเสียศิลอด ส่วนกรณีไม่สามารถอดกลั้นไม่ให้หลั่งได้ ก็ไม่เสียการถือศิลอด
การจูบภรรยาขณะถือศิลอดในเดือนรอมาดอนถือเป็น มักรูห์ตะห์รีม สำหรับบุคคลที่การจูบของเขาทำให้เกิดความกำหนัด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงก็ตาม เพราะการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการล่อแหลมที่จะเสียศิลอดได้
สำหรับการจูบไม่ก่อให้เกิดกำหนัด ที่ดียิ่งสำหรับเขาคือการไม่จูบเพื่อเป็นการปิดประตูที่จะนำไปสู่การเสียศิลอด
มุสลิม ( 1106 ) ได้รายงานจากอะอีชะห์ ( ร.ด ) ว่า :
" ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ . ล ) เคยจูบฉันขณะที่ท่านถือศิลอด จะมีใครในหมู่พวกท่านที่จะสามารถควบคุมความต้องการของตนเองได้ เหมือนกับที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ . ล ) ควบคุมความต้องการของท่าน"
ผู้รู้กล่าวว่า คำพูดของอาอิชะห์ ( ร.ด ) หมายความว่า พวกท่านควรระมัดระวังเรื่องการจูบ พวกท่านอย่าสำคัญตนผิดว่าพวกท่านสามารถควบคุมความต้องการของตังเองได้เหมือนท่านนบี ( ซ . ล ) ที่ควบคุมความต้องการของตัวท่านได้ การจูบของท่านจึงไม่น่าไปสู่การหลั่งหรือเกิดกำหนัด แต่พวกท่านจะไม่สามารถเช่นนั้น
6. มีเลือดประจำเดือนหรือนิฟาส :
เพราะเลือดทั้งสองเป็นอุปสรรคขัดขวางการถือศิลอด สตรีคนใดที่มีเลือดประจำเดือนหรือนิฟาสเกิดขึ้นในช่วงใดของเวลากลางวันขณะถือศิลอด ถือว่าเสียการถือศิลอดของนาง และจำเป็นนางต้องชดใช้ การถือศิลอดในภายหลัง บุคอรี ( 298 ) และมุสลิม ( 80 ) ได้รายงานจากอบีสะอีด ( ร.ด) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวถึงผู้หญิงขณะที่ท่านถูกถามเกี่ยวกับความบกพร่องในเรื่องศาสนาของนางว่า :
" เมื่อนางมีเลือดประจำเดือน นางไม่ต้องละหมาด และไม่ต้องถือศิลอดไม่ใช่หรือ "
7. เป็นบ้าและสิ้นสภาพการเป็นอิสลาม :
ทั้งสองประการนี้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ได้ เพราะขาดคุณสมบัติ ของผู้ที่ทำอีบาดะห์
ดังกล่าวมานี้ ผู้ที่ถือศิลอดจะต้องอดกลั้นไม่กระทำสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอดต่างๆ เพื่อให้การถือศิลอดของตนมีผลใช้ได้ เริ่มตั้งแต่แสงอรุณขึ้น จนตะวันลับขอบฟ้า ถ้าหากผู้ถือศิลอดกระทำสิ่งที่ทำให้เสียการถือศิลอด โดยเชื่อว่าแสงอรุณยังไม่ขึ้น แต่ปรากฏว่าความเชื่อของเขาไม่ตรงความจริงการถือศิลอดของเขาใช่ไม่ได้ และเขาจะต้องอดอาหารตลอดวันนั้น เพื่อให้เกียรติแก่รอมาดอน และจะต้องชดใช้ในภายหลังด้วย
และเช่นเดียวกับกรณีดังกล่าว ถ้าหากเขาละศิลอดในตอนค่ำโดยเชื่อว่าตะวันลับขอบฟ้าแล้ว แต่ปรากฏว่าตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า การถือศิลอดของเขาใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องชดใช้ในภายหลัง
เงื่อนไขที่ทำให้จำเป็นต้องถือศิลอด
และเงื่อนไขที่จะทำให้การถือศิลอดมีผลใช้ได้
ผู้ที่ครบเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือผู้ที่จำเป็นต้องถือศิลอดเดือนรอมาดอน
1.
อิสลาม :
ดังนั้นการถือศิลอดจะไม่บังคับแก่ผู้ไร้ศรัทธา
( การเฟร ) หมายความว่าจะไม่ถูกเรียกร้องให้มาทำการถือศิลอดในดุนยานี้ เพราะเขาไม่ได้เข้าอยู่ในอิสลาม
ตราบที่เขาไม่ได้เข้าอยู่ในอิสลามก็ไม่มีความหมายอะไรที่เขาจะถือศิลอด และไม่มีความหมายที่จะเรียกร้องให้เขามาถือศิลอด
ส่วนในอาคีเราะห์นั้นผู้ไร้ศรัทธาจะต้องถูกลงโทษ
2.
อยู่ในเกณฑ์บังคับขอศาสนา :
หมายถึงเป็นมุสลิมที่บรรลุศาสนภาวะ มีสติปัญญาสมบูรณ์
ถ้าหากมีลักษณะไม่ครบสองประการนี้ เขาก็ไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับ เมื่อไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับของศาสนา
เขาก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ใดๆทางศาสนา
หลักฐานในเรื่องดังกล่าว :
ได้แก่ฮาดิษ อะลี ( ร.ด ) ที่รายงานจากท่านนบี
( ซ.ล ) ว่า :
“ปากกา
( การบังคับของศาสนา ) ได้ถูกยกออกจากสามคนนี้ คือคนนอนหลับจนกว่าจะตื่นนอน จากเด็กจนกว่าจะบรรลุศาสนภาวะ
และจากคนบ้าจนกว่าจะได้สติ” รายงานโดย
อะบูดาวูด ( 4403 ) และบุคคลอื่น
3.
ไม่มีอุปสรรคขัดขวางการถือศิลอด หรือไม่มีอุปสรรคที่ทำให้อนุญาตละศิลอด
สำหรับอุปสรรคที่ขัดขวางการถือศิลอดได้แก่
:
ก . มีเลือดประจำเดือน ( ฮัยด์ ) หรือ น้ำคาวปลาหลังการคลอดบุตร
( นิฟาส ) ในช่วงใดช่วงหนึ่ง ของเวลากลางวัน
ข . เป็นลม สลบ หรือเป็นบ้าตลอดทั้งวัน ถ้าหากหายจากอาการดังกล่าว
แม้เพียงครู่เดียวในเวลากลางวัน ถือว่าอุปสรรคดังกล่าวหายไป เขาจำเป็นต้องอดอาหาร
( อิมซาก ) ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของวันนั้น
ส่วนอุปสรรคที่ทำให้อนุญาตละศิลอดได้แก่
:
1.
อาการป่วยที่จะทำให้เกิดอันตรายอย่างยิ่ง หรือเจ็บปวด หรือ ทรมานอย่างยิ่ง สำหรับอาการป่วย
หรือ อาการเจ็บปวด ที่ทวีความรุนแรงขึ้นถึงขั้นกลัวว่าจะเสียชีวิต จำเป็นต้องละศิลอดทันที
2.
การเดินทางไกลซึ่งที่มีระยะทางไม่น้อยกว่า 83 กิโลเมตร โดยมีเงื่อนไขว่าเป็นการเดินทางที่ศาสนาอนุญาต
และการเดินทางนั้นใช้เวลาทั้งวัน
ถ้าหากตอนเช้าเขาถือศิลอดอยู่กับบ้าน แล้วออกเดินทางในตอนกลางวัน
ก็ไม่ยินยอมให้เขาละศิลอด
หลักฐานในข้ออุปสรรคสองประการนี้ : ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลา ที่ว่า :
( ผู้ใดป่วยหรืออยู่ในการเดินทาง
ให้เขาชดใช้การถือศิลอดในวันอื่น ) ( อัลบากอเราะห์ 185 )
3.
ไม่สามารถถือศิลอดได้ ผู้ที่ไม่สามารถทำการถือศิลอดได้ เพราะชราภาพ หรือป่วยเรื้อรัง
หมดหวังที่จะหาย ไม่จำเป็นต้องถือศิลอด เพราะการถือศิลอดบังคับกับผู้ที่มีความสามารถเท่านั้น
หลักฐานในเรื่องนี้ : ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลา ที่ว่า :
( เหนือผู้ที่ไม่สามารถทำการถือศิลอดได้
จะต้องเสียค่าปรับเป็นอาหารมอบแก่คนยากจน ) ( อัลบากอเราะห์ 184 )
บางกิรออะห์อ่าน ( ยุเตาวะกูนะฮู ) หมายความว่าพวกเขาถูกกำหนดให้ถือศิลอด แต่พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติได้
อิบนุอับบาส ( ร.ด) กล่าวว่า คือชาย
หญิงที่ชราภาพ ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาจ่ายอาหารแก่คนยากจนแทนการถือศิลอดทุกวัน
รายงานโดย บุคอรี ( 4235 )
Popular Posts
-
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง คำนำ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้อภิบาลสากลโลก ขอความเมตตาและความสันติ...
-
6- อัลกุรอานที่เป็น มักกีย์ และมะดะนีย์ 1- คำนิยามที่ถูกต้อง : อัลกุรอานที่เป็น มักกีย์ นั้นคือ : อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาก่อนการฮิจเ...
-
5- ข้อความแรกและสุดท้ายจากอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมา 1- แหล่งอ้างอิงในการเรียนรู้ข้อความแรกและสุดท้ายจากอัลกุรอานที่ถูกประทานลง มา ก็...
-
“ การครองตน ครองคน และครองงาน ” โดยอรุณ บุญชม การครองตน อิสลามมีหลักในการครองตนดังต่อไปนี้ (1) หล...
-
2 – ตำราต่างๆ ในวิชา อุลูมุ้ลกุรอาน ซอฮาบะห์ในยุคของท่านนบี ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยตำราในวิชา อุลูมุ้ลกุรอาน เพราะพวกเขารู้วิชานี้ดี...
-
- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่...
-
นบีอิสหาก ( อ . ล ) ความมหัศจรรย์และหลักฐานสำคัญ นบีอิบรอฮีม มีอายุล่วงเข้าสู่วัยชรา โดยยังไม่มีบุตร มะลาอิกะห์ ได้มาแจ้งข่าวดีแก่...
-
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง คำนำ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้อภิบาลสากลโลก ขอความเมตตาและความสัน...
-
12 – ตัฟซีร อัลกุรอาน 1-คำว่าตัฟซีร : ความหมายของคำว่า ตัฟซีรคือ : ทำให้ชัดเจน และอธิบาย . ยกตัวอย่างเช่นท่านกล่าวว่า : ฟัซซัรตุ ฮาซิฮิ...
-
ท่านอบูบักร์ (Abu Bakr) ฮศ .11-13/ คศ .632-634. ชีวิตในตอนต้น ท่านอบูบักร์เป็นคอลีฟะฮ์ระหว่างปี ฮ . ศ . 11-13 หรือ ค . ศ . 632-63...