นบีมูซา

01:57:00

เราได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งของเราอยู่กับชีวประวัติของท่านนบียูซุฟนับตั้งแต่วัยเด็กของท่าน  เราได้มีโอกาสรับรู้กลอุบายต่างๆของพี่น้องและการทดสอบมากมายที่ท่านเผชิญขณะอยู่ที่อียิปต์  จนกระทั่งท่านได้รับผลตอบแทนจากความอดทนและการเข้าใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าทุกกรณี จนได้รับความไว้วางใจถูกแต่งตั้งให้เป็นขุนคลังของอียิปต์ จนในที่สุดเขาได้พบกับบิดาและพี่น้องของเขาอีกครั้งหนึ่ง และมีผู้ประกาศข่าว พวกท่านจงเข้าสู่อียิปต์อย่างปลอดภัยเถิดถ้าหากอัลลอฮ์ประสงค์

ยูซูฟ และพี่น้องของเขาคือลูกหลานของอิสรออีลซึ่งก็คือ ยะอ์กูบ ลูกหลานของอิสรออีลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลานานหลายปีติดต่อกัน แต่พวกเขาอยู่ในสภาพที่ถูกกดขี่ ผู้ปกครองอียิปต์คือฟิรเอาน์ได้สังหารลูกหลานของพวกเขาที่เป็นเพศชายทั้งหมดโดยไว้ชีวิตเพศหญิงทั้งนี้เพราะเขาฝันว่าอำนาจการปกครองของเขาจะล่มสลายลง ด้วยน้ำมือของชายคนหนึ่งจากบะนีอิสรออีล

อัลเลาะห์ประสงค์ที่จะส่งนบีท่านหนึ่งจากบะนีอิสรออีล เพื่อมาเชิญชวนพวกเขาสู่การเคารพภักดี อัลเลาะห์เพียงผู้เดียวโดยไม่มีผู้ใดเป็นภาคีของพระองค์ และประกาศเชิญชวนฟิรเอาน์ให้เขาเป็นผู้ศรัทธา นบีท่านนี้ก็คือนบีมูซา

และต่อไปนี้เราจะเริ่มต้นชีวประวัติของมูซาและประชาชาติของเขา

มูซาเป็นศาสนทูตทรงเกียรติ เป็นนบีที่ยิ่งใหญ่ อัลเลาะห์ได้ทรงคัดเลือกเขาเพื่อทำงานที่มีความสำคัญ นั่นคืองานเผยแพร่สัจธรรม ประกาศเชิญชวนสู่เอกภาพของอัลลอฮ์ไม่นำสิ่งใดตั้งภาคีกับพระองค์ สถานที่เผยแพร่ศาสนาของเขาคืออียิปต์ แคว้นไซนาอ์ และชาม อัลเลาะห์ได้ประทานสัญลักษณ์ และอภินิหารให้แก่เขามากมายหลายประการอย่างที่ไม่เคยประทานให้แก่นบีท่านใดมาก่อน การกำเนิดของเขาเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การแต่งตั้งเขาเป็นนบี เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การแต่งตั้งเขาเป็นศาสนทูตก็เป็นสัญลักษณ์ และการประกาศศาสนาของเขาก็เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง

ส่วนประชาชาติของเขาคือ บะนีอิสรออีล ซึ่งอัลลอฮ์ได้คัดเลือกแล้วอีกเช่นเดียวกัน และอัลลอฮ์ได้ให้ความโปรดปรานแก่พวกเขา อย่างที่พระองค์ไม่เคยให้แก่ประชาชาติใดมาก่อน ถึงแม้อัลเลาะห์จะได้คัดเลือกพวกเขามาแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็เป็นคนหัวแข็งก้าวร้าว ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำและตักเตือนใดๆ  พวกเขาหันเหออกจากหลักเอกภาพของอัลเลาะห์ พวกเขาชอบตั้งคำถามมากมาย แม้ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรต้องตั้งคำถาม


วงศ์ตระกูลของมูซา 

นักประวัติศาสตร์กล่าวว่ามูซา เป็นบุตรของอิมรอน บุตรกอฮิต บุตรลาวีย์ บุตรยะอ์กูบ บุตร อิสหาก บุตร อิบรอฮีม

เขาเป็นนบีที่มาจากต้นตระกูลที่เป็นนบีถึงสามท่านคือยะอ์กูบ  อิสหากและอิบรอฮีม
ส่วนมารดาของมูซา ชื่อ ยูกาบัด บุตรบุตรีของลาวีย์  จากลูกหลานของยะอ์กูบ
มารดาของมูซาก็เช่นเดียวกันเป็นลูกหลานของนบีทั้งสามท่านนั้น ซึ่งเป็นต้นตระกูลของบรรดานบีที่มายังบะนีอิสรออีลทั้งหมด

มูซาเกิดในอียิปต์ในยุคของกษัตริย์  (กอบูส บุตร มุสอับ บุตร มุอาวิยะห์) บิดาของมูซามีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปี  ขณะที่ให้กำเนิดเขานบีมูซาเป็นบุตรคนที่สอง รองจาก ฮารูน ซึ่งเป็นผู้ที่ผู้พี่ เขามีอายุมากกว่ามูซาหนึ่งปี






ฟิรเอาน์ผู้ปกครองอียิปต์ในยุคนั้น ได้ฝันเห็นไฟที่มุ่งหน้ามาจากเยรูซาเล็มจนเข้าสู่อียิปต์ ได้เผาบ้านเรือนในอียิปต์ และเผาผู้คนชาวอียิปต์ แต่ไม่ทำร้ายบะนีอิสรออีลเลย ไฟได้ทำลายบ้านเรือนเสียหาย และทำให้ผู้คนล้มตาย ฟิรเอาน์ตกใจด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุดเขาได้เรียกโหร นักเสกเป่า ทหารองครักษ์ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และชนชั้นปกครอง  เข้าพบและเล่าความฝันให้พวกเขาฟัง และขอให้พวกเขาช่วยทำนายฝัน พวกโหรได้ทำนายฝันแก่เขาว่า มีชายคนหนึ่งมาจากเมืองนั้น และความพินาศของอียิปต์จะอยู่เบื้องหน้าเขา ท่านผู้นำอย่าลืมว่าเมืองนั้นคือเยรูซาเล็มและในอาณาจักรของท่านก็มี บะนีอิสรออีล ที่มาจากเมืองนั้นอาศัยอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาถูกเรียกว่าชาวอิบรอนีย์

กษัตริย์ของอียิปต์เชื่อตามคำทำนายของพวกโหรและต้องการจะป้องกันตนเองให้พ้นจากกลุ่มชนที่ความฝันได้มาเตือนเขาให้ระมัดระวัง เขาจึงออกคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายชาวอิบรอนีย์ทุกคนที่ลืมตาออกมาดูโลก การกระทำอันโหดเหี้ยมนี้ ดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง สาเหตุที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างต่อเนื่อง ก็เพราะชาวอียิปต์ได้รับผลประโยชน์จากการมีชาวบะนีอิสรออีลอยู่กับพวกเขานั่นเอง ชาวอียิปต์บังคับให้พวกบะนีอิสรออีลทำงานที่ตกต่ำ และรับใช้ฟิรเอาน์กับพวกพ้องของเขา และการสังหารเด็กผู้ชายทำให้พวกบะนีอิสรออีลมีจำนวนน้อยลง เพราะเด็กต้องถูกฆ่าและคนชราก็เสียชีวิตไปตามกาลเวลา ชาวอียิปต์รู้ว่าพวกเขาต้องการคนรับใช้ แต่ก็ไม่มีใครนอกจากบะนีอิสรออีลเท่านั้น พวกอาวุโสชาวอียิปต์จึงเข้าพบกับฟิรเอาน์ และขอร้องเขาให้ไว้ชีวิตทารกเพศชายชาวอิบรอนีย์เป็นบางส่วน เพื่อจะได้มีคนรับใช้และทำประโยชน์ให้แก่พวกเขาตลอดไป ฟิรเอาน์ตอบรับข้อเสนอนี้ และเห็นชอบให้ทำการสังหารลูกหลานของบะนีอิสรออีล หนึ่งปีเว้นหนึ่งปี และในปีที่งดเว้นไม่สังหารลูกหลานของบะนีอิสรออีล ฮารูน พี่ชายของนบีมูซาได้ถือกำเนิดมา และในปีถัดไปที่ต้องสังหารเด็กๆ ชาวอิบรอนีย์นั้น นบีมูซาได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเขาจะรอดพ้นจากการถูกสังหารไปได้อย่างไร





การพ้นภัยของนบีมูซาถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของอัลเลาะผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร มารดาได้ให้กำเนิดนบีมูซาเขาได้ซ่อนนบีมูซาไว้ให้พ้นจากสายตาทหารของฟิรเอาน์ และเมื่อมารดาของนบีมูซากลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย อัลเลาะห์ได้ดลใจนางให้ใช้อุบายที่จะทำให้นบีมูซารอดพ้นไปได้ คล้ายกับนางได้ยินเสียงก้องจากอากาศ บอกแก่นางว่าจงให้นบีมูซาดื่มนม และเมื่อเธอกลัวว่าเขาจะได้รับอันตราย เธอจงลอยเขาไปตามแม่น้ำ เธออย่ากลัว อย่าเศร้าใจ แท้จริงเราจะนำเขากลับมาหาเธออีกและแต่งตั้งเขาเป็นศาสนทูต

มารดาของนบีมูซาเชื่อตามที่ได้รับการดลใจนั้น เธอได้เรียกช่างไม้มาเพื่อต่อหีบไม้ขึ้นใบหนึ่ง และนำร่างของนบีมูซาใส่ในหีบไม้ใบนั้น ซึ่งขณะนั้นนบีมูซามีอายุได้เพียงไม่กี่วัน เธอได้คลุมหีบใบนั้นด้วยกิ่งไม้แล้วนำไปลอยในแม่น้ําไนล์ และเธอได้กำชับให้พี่สาวของนบีมูซาคอยจับตาดูหีบไม้นั้นว่าไปทางไหน แล้วคอยดูว่านบีมูซาจะเป็นอย่างไรต่อไป พี่สาวของนบีมูซารับคำสั่งจากมารดา และได้ติดตามหีบไม้ใบนั้นไป คลื่นในแม่น้ำได้ซัดหีบไม้ใบนั้น จนไปติดอยู่ใกล้กับราชวังของฟิรเอาน์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับมีทาสหญิงบางคนที่ทำงานอยู่ในราชวังนั้น กำลังอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ เมื่อพวกนางเห็นหีบไม้ใบนั้น ก็คิดไปว่ามันอาจเป็นหีบสมบัติอันล้ำค่าที่สมควรนำไปมอบให้แก่นายหญิงของพวกตนคือ อาซิยา มเหสีของฟิรเอาน์





ทันทีที่พวกนางนำหีบใบนั้นไปยังราชวัง และเปิดมันต่อหน้านายผู้หญิง ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเพราะแทนที่จะมีสมบัติมีค่าอย่างที่พวกนางคาดคิด กลับเป็นทารกน้อยเพศชายนอนอยู่ในหีบใบนั้น และทันทีที่มเหสีของฟิรเอาน์เห็นนางก็รู้สึกรักทารกคนนั้นอย่างจับใจ คล้ายกับเขาเป็นลูกของนางเอง นางจะต้องปกป้องเขาให้พ้นจากการสังหารของฟิรเอาน์

ฟิรเอาน์ได้พูดขึ้นว่าฉันเกรงว่าเด็กคนนี้จะเป็นพวกบะนีอิสรออีล และเขาอาจเป็นคนที่ความฝันหมายถึงก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นความพินาศของเราก็จะอยู่ในกำมือของเขา

มเหสีของฟิรเอาน์พูดขึ้นว่า ท่านทั้งหลายอย่าสังหารเขาเป็นอันขาด เขาอาจเป็นประโยชน์แก่พวกเรา หรือเราอาจรับเขาเอาไว้เป็นบุตรเขาก็จะเป็นแก้วตาของฉันและของท่าน

ฟิรเอาน์กล่าวว่าให้เขาเป็นแก้วตาของเธอเพียงคนเดียวเถิด

บางครั้งเราจะเห็นว่าสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงเลือกให้แก่มนุษย์นั้นก็คือสิ่งที่พวกเขาเลือกให้แก่ตัวของพวกเขาเอง ถ้าหากฟิรเอาน์จะให้ความสำคัญกับคำพูดมเหสีของตนที่กล่าวว่า"เขาจะเป็นแก้วตาของฉันและของท่าน"และพอใจกับคำพูดดังกล่าว นบีมูซาก็จะเป็นแก้วตาของเขาด้วยแต่ อัลลอฮ์ ได้ลบออกจากหัวใจของเขาแล้ว นับตั้งแต่นาทีแรกที่เขาเห็นนบีมูซา ดังนั้นเรื่องราวระหว่างนบีมูซา กับ ชาวอียิปต์จึงได้ดำเนินไปอย่างที่ได้เกิดขึ้น

มเหสีของฟิรเอาน์ได้ให้การเลี้ยงดูนบีมูซาเป็นอย่างดี แต่นบีมูซาก็เอาแต่ร้องไห้เพราะเขาหิว เขาพลัดพรากจากมารดาที่ให้ความรักแก่เขา เขาจำเป็นต้องได้รับน้ำนม แล้วใครเล่าจะให้น้ำนมแก่เขาและนั่นก็จะปรากฏสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์อีกประการหนึ่ง เพราะนบีมูซาไม่ได้รับน้ำนมจากแม่นมคนใด ที่มเหสีของฟิรเอาน์จัดหามาเพื่อเลี้ยงดูเขา และถือเป็นโอกาสที่พี่สาวของนบีมูซาจะนำข้อเสนอของตน โดยกล่าวว่าฉันขอแนะนำพวกท่านให้ไปหาครอบครัวหนึ่งที่จะสามารถดูนบีมูซาให้แก่พวกท่านได้ และฉันขอแนะนำแม่นมคนหนึ่งให้แก่พวกท่าน ที่เขาจะให้นมและเลี้ยงดูนบีมูซาได้เช่นเดียวกับมารดาที่ห่วงใยบุตรของตนเอง

มเหสีของฟิรเอาน์ไม่ลังเลแม้แต่น้อยดังได้รับคำแนะนำนั้น และได้สั่งการไปว่า

เธอจงไปนำตัวแม่นมคนนั้นมาทันที เพราะเด็กน้อยกำลังตกอยู่ในอันตราย และเขาจะปลอดภัยถ้าหากยอมรับน้ำนมจากเต้านมของนาง

พี่สาวของนบีมูซาเดินทางกลับไปหาผู้เป็นแม่ แจ้งให้แม่ทราบข่าวดีแล้วนำแม่มาเดินทางไปยังราชวังของฟิรเอาน์เมื่อไปถึงนางก็ได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นแม่ทันที นบีมูซาไม่ปฏิเสธเต้านมของนาง เขาดื่มนมจนอิ่มหลังจากหิวกระหาย และหลับไปมเหสีของฟิรเอาน์ได้ขอร้องมารดาของนบีมูซาให้อยู่ในราชวังพร้อมกับเขา แต่นางปฏิเสธโดยอ้างว่ามีบ้านมีสามีและบุตรที่ต้องดูเเล มเหสีของฟิรเอาน์จึงยอมตกลงให้มารดาของนบีมูซา นำนบีมูซากลับไปเลี้ยงดูที่บ้านในช่วงที่ดื่มนม และสัญญาของอัลเลาะห์ที่ให้ไว้แก่มารดาของนบีมูซาก็เป็นจริงจากคำตรัสที่ว่า"แท้จริงเราจะนำเขากลับมาหาเธออีก"


วัยเด็กของนบีมูซา

ในวัยเด็กนบีมูซาได้ใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมอกของบิดามารดาของตนและอยู่ร่วมกับ ฮารูนพี่ชาย และพี่สาวของตนอย่างอบอุ่น จนเมื่อถึงวัยหย่านม นบีมูซาจึงต้องกลับไปอยู่ในราชวังของฟิรเอาน์อีกครั้งหนึ่ง เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในราชวังเหมือนกับเป็นคนในวังคนหนึ่งชื่อที่พวกนั้นเรียกเขาคือ มูซา บุตร ฟิรเอาน์

นักประวัติศาสตร์เล่าว่าเมื่อฟิรเอาน์เห็นมูซากลับไปยังราชวังอีก และได้วิ่งเล่นอยู่ในราชวังตามประสาเด็ก เขาก็อยากจะหยอกล้อกับมูซา แต่มูซาได้จับเคราของเขาแล้วกระชากโดยแรงทำให้เคราหลุดออกมาหลายเส้นฟิรเอาน์รู้สึกเจ็บ และโกรธมากจึงจะออกถึงกับออกคำสั่งว่า

จงไปนำตัวเพชฌฆาตมาประหารเด็กน้อยคนนี้เสียฉันรู้สึกว่าเขานี่แหละ คือคนที่จะมาทำลายอำนาจของฉัน

ช่างน่าประหลาดกับความคิดของฟิรเอาน์เพราะถ้าหากอำนาจของเขาจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของเด็กคนนี้จริงๆ อัลเลาะห์ก็จะต้องปกปักษ์รักษาเขา ไม่ให้ผู้ใดทำอันตรายเขาได้ และถ้าหากเขาไม่ใช่เด็กคนนั้น ก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะสังหารเด็กน้อยคนนี้

และสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์ก็เกิดขึ้นอีกประการหนึ่งในการแสดงท่าทีนี้ของฟิรเอาน์นั่นคือ มเหสีของเขาได้กล่าวขึ้นว่า นบีมูซาเป็นเด็กที่ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไร    สมควร อะไรไม่สมควร ให้เราทำการทดสอบเขาดูก่อนว่าเขามีความสามารถในการแยกแยะได้มากน้อยเพียงใด แล้วจึงค่อยทำการตัดสินเขาในภายหลัง ตามความสามารถนั้น

มเหสีของฟิรเอาน์ได้นำเอาภาชนะมาสองใบ นางได้ใส่ไข่มุกสองเม็ดไว้ในภาชนะใบแรก ส่วนพระชนะใบที่สองนางได้วางถ่านไฟไว้สองก้อน และนำภาชนะทั้งสองนั้นมาวางลงข้างหน้านบีมูซา โดยมีฟิรเอาน์คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด อัลเลาะห์ได้ส่งญิบรีลลงมาเพื่อนำถ่านไฟทั้งสองก้อนนั้นใส่ลงในมือของนบีมูซา ซึ่งเด็กน้อยมูซาก็ได้คว้าถ่านไฟทั้งสองก้อนนั้นเข้าปาก จนลิ้นไหม้พอง เมื่อประจักษ์ต่อสายตาของตนอย่างนี้ ฟิรเอาน์จึงเชื่อว่ามูซาไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ได้กระทำลงไปได้ เขาจึงได้ไว้ชีวิตนบีมูซา ให้เป็นแก้วตาของมเหสีของตนต่อไป และนบีมูซาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในราชวังจนเติบโตเป็นหนุ่ม


มูซาออกจากอียิปต์เพียงลำพังผู้เดียว

อัลเลาะห์ได้ปกป้องและคุ้มครองนบีมูซามาโดยตลอด ทั้งที่นบีมูซาเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในราชวังของฟิรเอาน์ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงมีสายสัมพันธ์และความรักกับพวกบะนีอิสรออีล และยังไม่ทันที่นบีมูซาจะเป็นหนุ่มเต็มร่างและอยู่วัยฉกรรจ์ ชาวอียิปต์ก็ไม่กล้าที่จะข่มเหงและรังแกพวกบะนีอิสรออีลเพราะเกรงกลัวพละกำลังและความกล้าหาญของนบีมูซาสำหรับเรื่องนี้อัลกุรอานและหนังสืออธิบายความหมายอัลกุรอานได้เราให้เราทราบชีวประวัติของนบีมูซาไว้ว่า

วันหนึ่งมูซาได้ออกไปเดินเล่นอยู่ในเมือง เขาได้พบชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังข่มเหงชาวบะนีอิสรออีลคนหนึ่งเพื่อบังคับเขาให้ทำงาน ชายชาวอิสราเอลได้ตะโกนขอความช่วยเหลือจากมูซา ซึ่งมูซาก็รีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือเขา เพื่อให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์คนนั้นทันที และได้เกิดการต่อสู้กันขึ้นระหว่างมูซากับชาวอียิปต์ซึ่งจบลงด้วยการเสียชีวิตของชาวอียิปต์คนนั้น มูซาไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิด และเป็นฝ่ายข่มเหงเขาแต่อย่างใด แต่มันเป็นกำหนดของอัลลอฮ์ที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพื่อเป็นสาเหตุรองรับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ชาวอียิปต์คนนั้นไม่รู้จักมูซาจึงบอกให้มูซาไปเสียให้พ้นอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชาวอิสราเอลคนนั้น ที่เขากำลังบังคับให้ทำงานตามที่เขาต้องการ แต่มูซาก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าเขาก็เป็นชาวอิสราเอลด้วย ทั้งที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าเขาคือลูกของฟิรเอาน์ เขาไม่ต้องการเห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับพวกพ้องของเขา ดังนั้นเขาจึงต่อยชาวอียิปต์ไปครั้งหนึ่งเบาๆตามที่อัลกุรอ่านได้กล่าวไว้ แต่กำหนดของอัลลอฮ์ต้องเกิดขึ้น และดำเนินไป การต่อยครั้งนั้นทำให้ชายชาวอียิปต์เสียชีวิตทันที มีบางทัศนะที่รายงานว่ามูซาได้จัดการฝังศพชาวอียิปต์คนนั้น และไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้นอกจากอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรเท่านั้น

วันต่อมามูซาได้เข้าไปในเมืองอีก เขากลัวว่าเรื่องราวของเขาจะถูกเปิดเผย เพราะมีผู้พบศพชาวอียิปต์ที่ถูกฆ่าแล้ว แต่พวกเขายังไม่รู้ตัวคนฆ่า ถ้าหากพวกเขารู้ตัวคนฆ่า ก็จะลงโทษฆาตกรด้วยการประหารชีวิต และเหตุการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นอีกเมื่อชาวอิสราเอลคนเดียวกับ เมื่อวานนี้ได้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับชาวอียิปต์อีกคนหนึ่ง มูซารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขารีบเข้าไประงับเหตุ แต่ในครั้งนี้เขาได้ต่อว่าชาวอิสราเอลคนนั้นซึ่งเป็นพวกพ้องของเขาเอง และกล่าวแก่เขาว่า อะไรกันนี่ทะเลาะกันทุกวันเลยหรือ ทำไมจึงทำตัวเหลวไหลอย่างนี้

ชาวอิสราเอลคนนั้นกลัวว่ามูซาจะเข้ามาทำร้ายตนและพยายามที่จะป้องกันตนเองจึงพูดขึ้นว่า

ท่านเป็นอะไรไปมูซาท่านต้องการจะสังหารฉันเหมือนที่ท่านได้สังหารไปแล้วชีวิตหนึ่งเมื่อวานนี้อย่างนั้นหรือท่านต้องการจะเป็นผู้เผด็จการในหน้าแผ่นดิน ท่านไม่ต้องการจะเป็นผู้สรรค์สร้างคุณธรรมหรือ

ความลับของมูซาถูกเปิดเผยขึ้น ชาวอียิปต์คนนั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขารู้ได้ทันทีว่ามูซาคือคนที่ฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้เขาจึงรีบไปบอกพวกพ้องของเขาให้ทราบข่าวนี้ตามที่เขารู้มา ฟิรเอาน์จึงส่งเจ้าหน้าที่ไปค้นหามูซาและจับกุมเขา แต่อัลเลาะห์ก็มีทหารที่จะคอยให้ความอารักขามูซา และกลุ่มชนผู้มีศรัทธาและมีคนหนึ่งจากกลุ่มชนที่มีศรัทธาที่เป็นพวกพ้องของฟิรเอาน์ เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ออกตามหามูซา เพื่อจะบอกเตือนเขาให้หลบหนีจากฟิรเอาน์ และทหารของเขาเมื่อเขาตามหาจนพบแล้ว เขาได้บอกแก่มูซาว่าฟิรเอาน์ และพวกพ้องของเขากำลังวางแผนจะสังหารท่านดังนั้นท่านจงออกไปเสียจากเมืองนี้เถิดฉันเป็นผู้ที่หวังดีกับท่าน

มูซาเดินทางออกจากอียิปต์มุ่งหน้าสู่ตะวันออก เขาเดินทางไปเพียงลำพังคนเดียวในทะเลทรายซัยนาอ์(ซีนาย)โดยไม่มีเสบียงและไม่มีน้ำ เขาเดินไปโดยไม่มีรองเท้าสวมใส่ เขาต้องกินใบไม้แทนอาหารเขาเหน็ดเหนื่อยมาก จนในที่สุดเขาก็ได้เดินทางไปถึงแผ่นดินมัดยัน และที่นั่นชีวประวัติอีกส่วนหนึ่งของเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้นและถูกบันทึกไว้




You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

featured Slider

Popular Posts

Like us on Facebook

ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา

Flickr Images



บทเรียนสั้นๆเหล่านี้กล่าวถึงเรื่อง “อุลูมุ้ลกุรอาน” ที่เราต้องการนำเสนอแก่กุลบุตรกุลธิดาของเรา ก่อนที่พวกเขาจะศึกษาวิชา “ตัฟซีร” เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ข้อมูลที่นักวิชาการทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ได้นำเสนอไว้ เพื่อรับใช้อัลกุรอาน