วิญญาณภายหลังออกจากร่าง
06:44:00วิญญาณภายหลังออกจากร่าง ผู้นั้นก็จะตาย และวิญญาณจะยังคงอยู่ รับรู้ได้ยินผู้ที่มาเยี่ยม และรู้จักผู้ที่มาเยี่ยม และตอบโต้สลามแก่คนที่มาเยี่ยม รู้สึกรสของความสุข และรู้รสความเจ็บปวดของการลงโทษ
วิญญาณ
-
การไต่ถามในหลุมฝังศพ
-
ที่พำนักของวิญญาณ
วิญญาณภายหลังออกจากร่าง
วิญญาณภายหลังออกจากร่าง
ผู้นั้นก็จะตาย และวิญญาณจะยังคงอยู่ รับรู้ได้ยินผู้ที่มาเยี่ยม
และรู้จักผู้ที่มาเยี่ยม และตอบโต้สลามแก่คนที่มาเยี่ยม รู้สึกรสของความสุข
และรู้รสความเจ็บปวดของการลงโทษ
อิบนุ
ตัยมียะห์ได้กล่าวว่า
“
มีฮะดีษที่แพร่หลายกล่าวว่าคนตายจะรู้สภาพของคนในครอบครัว และญาติมิตรในโลกนี้
ด้วยการนำมาเสนอให้เขาได้รับรู้ เขาจะเห็น
และรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะดีใจกับสิ่งที่ดีๆ และเสียใจกับสิ่งที่เลวมทราม ?
มีฮะดีษรายงานว่า
ภายหลังจากฝังศพอุมัร (ร.ด) แล้ว พระนางอาอิชะห์ได้คลุมผ้า และกล่าวว่า “ มีบิดาของฉันและสามีของฉัน
ส่วนอุมัรนั้นเขาเป็นคนอื่น” พระนางหมายถึง อุมัรแลเห็นนาง.
" และมีรายงานว่า
คนที่ตายไปแล้วจะไต่ถามคนที่เพิ่งตายถึงสภาพครอบครัวของพวกเขา
ซึ่งคนที่เพิ่งตายก็จะบอกให้เขาทราบถึงสภาพครอบครัวของเขา
และเขาจะบอกเรื่องคนนั้นได้บุตร และผู้หญิงคนนั้นได้แต่งงานแล้ว”
การสอบถามในหลุมฝังศพ
อะห์ลุซซุนนะห์
วัลญะมาอะห์มีความเห็นสอดคล้องกันมนุษย์ทุกคนจะต้องถูกสอบถามภายหลังจากเขาตายไปแล้วไม่ว่าจะถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพหรือไม่
ถึงแม้จะถูกเสือกิน หรือถูกไฟไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าและถูกลมพัดกระจายไปแล้ว
หรือคนที่จมน้ำตายก็จะถูกสอบถามถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เขาทำไว้
ถ้าหากกิจกรรมที่เขาทำไว้ดี เขาก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี
ถ้าหากไม่ดีก็จะได้รับผลตอบแทนที่เลวร้าย
ความสุขหรือความทุกข์ทรมานที่ได้รับจะเกิดขึ้นกับวิญญาณและร่างกายพร้อมกัน. ท่านอิบนุ้ลกอยยิม ได้กล่าวว่า
ตามแนวทางของสะลัฟและบรรดาผู้นำของประชาชาติมีว่า
คนที่ตายไปแล้วจะจะได้อยู่ในความสุขหรือความทุกข์ทรมาน
และการดังกล่าวจะเกิดขึ้นแก่วิญญาณและร่างกาย
และวิญญาณนั้นจะยังคงอยู่ภายหลังออกจากร่างไปแล้วโดยได้รับความสุข
หรือได้รับความทุกข์ทรมาน
และวิญญาณจะติดอยู่กับร่างกายเป็นบางครั้ง
และร่างกายกับวิญญาณจะได้รับความสุขหรือทุข์ทรมานพร้อมกัน และเมื่อถึงวันกิยามะห์
วิญญาณจะถูกนำกลับมายังร่างกาย และฟื้นขึ้นจากหลุมฝังศพ
เพื่อการสอบสวนและตอบแทน
การฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างมุสลิม
ยะฮูดี และนะซอรอ.
ในมุสนัดอิหม่ามอะห์มัด บิน ฮันบัล
(ร.ด) และในซอเฮียะฮ์ อะบี ฮาติมกล่าวว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “ เมื่อคนตายถูกวางลงในหลุมฝังศพ
เขาจะได้ยินเสียงรองเท้าของผู้คนที่กระทบกับพื้น ขณะที่พวกเขาเดินทางกลับไป
ถ้าหากผู้ตายเป็นผู้ที่มีศรัทธาละหมาดจะอยู่ที่ศีรษะของเขา
ศีลอดจะอยู่ทางด้านขวาของเขา
ซะกาตจะอยู่ทางด้านซ้ายของเขา ความดีต่างๆอันได้แก่การทำซอดาเกาะห์
การติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ การตอบแทนคุณ จะอยู่ที่เท้าทั้งสองข้างของเขา
มะลาอิกะห์ผู้ทำหน้าที่ไต่ถามจะมาทางด้านศีรษะของเขา ละหมาดก็จะกล่าวว่า ทางด้านฉันนี้ไม่มีทางเข้า เขาก็จะไปทางขวา การถือศีลอดก็จะกล่าวว่า
ทางด้านฉันไม่มีทางเข้า
เขาก็จะไปทางด้านซ้าย
ซะกาตจะกล่าวว่า ทางด้านฉันไม่มีทางเข้า
หลังจากนั้นมะลาอิกะห์ก็จะไปทางด้านเท้าทั้งสองข้างของเขา ความดีต่างๆอันได้แก่การทำซอดาเกาะห์
การติดต่อสัมพันธ์กับเครือญาติ การตอบแทนคุณก็จะกล่าวว่า
ทางด้านฉันไม่มีทางเข้า
จะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านจงนั่ง
เขาจะลุกขึ้นนั่ง
ดวงอาทิตย์ได้ถูกนำมาแสดงต่อหน้าเขา และมันใกล้จะตก จากนั้นจะมีผู้ถามเขาว่า ชายคนนี้(มุฮำหมัด)
ที่เขาเคยอยู่ในหมู่พวกท่าน ท่านจะกล่าวถึงเขาว่าอย่างไร
? และท่านจะกล่าวปฏิญาณกับเขาอย่างไร ? คนตายที่เป็นผู้มีศรัทธาจะกล่าวว่า
พวกท่านจงปล่อยฉันไปละหมาดเถิด
มะลาอิกะห์ทั้งสองท่านจะกล่าวว่า ท่านจะได้ละหมากแน่นอน แต่ท่านจะต้องตอบเราก่อนถึงสิ่งที่เราได้ถามท่าน
? ท่านจงบอกเราเถิดว่า ชายคนนี้(มุฮำหมัด)
ที่เขาเคยอยู่ในหมู่พวกท่านนั้นท่านจะกล่าวถึงเขาว่าอย่างไร ?
และท่านจะกล่าวปฏิญาณกับเขาอย่างไร ?
เขาจะตอบว่า เขาคือมุฮำหมัด (ซ.ล.)
ฉันปฏิญาณว่าเขาเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์
เขาได้นำสัจธรรมมาขากอัลเลาะห์
หลังจากนั้นจะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า ท่านได้มีชีวิตอยู่บนหลักการดังกล่าวนั้น
และท่านได้ตายไปโดยยึดมั่นหลักการดังกล่าว และท่านจะถูกบังเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าหากอัลเลาะห์ทรงประสงค์
หลังจากนั้นจะมีประตูไปสู่สวรรค์ถูกเปิดเพื่อเขา และจะมีผู้กล่าวแก่เขาว่า
นี่คือสถานที่พำนักของท่าน และเป็นสิ่งที่อัลเลาะห์ได้จัดเตรียมไว้ให้แก่ท่านในสวรรค์ เขาก็จะยิ่งเพิ่มความอยากได้และดีใจ
หลังจากนั้นหลุมฝังศพของเขาจะถูกขยายออกไปถึงเจ็ดสิบศอก และเขาจะได้รับแสงสว่างขณะอยู่ในหลุมฝังศพ และร่างกายจะถูกนำกลับไปสู่สภาพที่ได้เริ่มต้นมา
วิญญาณของเขาจะถูกนำไปไว้ในร่างนกที่เกาะอยู่ที่ต้นไม้ในสวรรค์ ดังที่กล่าวมานั้นอยู่ในคำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลาที่ว่า
“
อัลเลาะห์จะทรงให้ผู้มีศรัทธายืนหยัดอยู่กับคำพูดที่มั่นคงทั้งในชีวิตในโลกนี้และในโลกหน้า”
และได้กล่าวถึงผู้ไร้ศรัทธาที่มีสภาพตรงข้ามกับผู้มีศรัทธาอย่างสิ้นเชิง
จนถึงตอนที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
หลังจากนั้นเขาจะถูกบีบรัดขณะอยู่ในหลุมฝังศพของเขาจนกระดูกซี่โครงประสานกัน
และนั้นก็คือ “ ชีวิตอันยากลำบาก” ที่อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า
“แท้จริงเขาจะมีชีวิตอย่างยากลำบาก
และเราจะนำเขาไปรวมไว้ในวันกิยามะห์ในสภาพตาบอด”
ฮาฟิซ อิบนุ ฮะญัร ได้กล่าวไว้ในหนังสือฟัตฮุ้ลบารีย์
ว่า
ท่านอิบนุฮัซม์ และท่านอิบนุ
ฮะบีเราะห์มีทรรศนะว่าการไต่ถามคนตายจะเกิดกับวิญญาณของเขาเท่านั้น
โดยวิญญาณไม่ต้องกลับเข้าร่าง
ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ (ญุมฮูร) มีทรรศนะที่ขัดแย้งกับท่านทั้งสอง
โดยกล่าวว่าวิญญาณจะถูกนำกลับเข้าไปในร่างหรือบางส่วนของร่างดังปรากฏในฮะดีษ
และถ้าหากเกิดกับวิญญาณเท่านั้น ร่างกายก็จะไม่มีหน้าที่อะไรเลย
มีความเป็นไปได้ที่ร่างของคนตายจะแยกออกเป็นหลายส่วน
เพราะอัลเลาะห์ทรงเดชานุภาพที่จะให้ชีวิตกลับคืนไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
และเกิดการไต่ถามขึ้น
เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเดชานุภาพที่จะนำชิ้นส่วนต่างๆเหล่านั้นมารวมกัน
สรุปความสำหรับทรรศนะที่กล่าวว่าการไต่ถามจะเกิดกับวิญญาณเท่านั้นได้ว่า
คนตายขณะอยู่ในหลุมศพอาจพบเห็นสภาพของการไต่ถาม โดยไม่มีร่องรอยใดๆ เกืดขึ้นในหลุมศพ
เช่นการให้ลุกขึ้นนั่ง และอื่นๆ ไม่มีความคับแคบและความกว้างขวางของหลุมศพ คนที่ไม่ได้ถูกฝัง เช่นคนที่ถูกตรึงไว้
ก็เช่นเดียวกัน.
การตอบโต้ทรรศนะดังกล่าวก็คือ
การไต่สวนทั้งร่างกายและวิญญาณพร้อมกันนั้น ไม่เกินเดชานุภาพของพระองค์อัลเลาะห์
ยิ่งไปกว่านั้นก็จะพบตัวอย่างที่คล้ายกันนี้ได้ในโลกนี้ที่เป็นเรื่องปกติ
นั่นก็คือคนที่นอนหลับ เขาจะพบความสุขและความเจ็บปวดได้ในความฝัน
โดยคนที่อยู่ด้วยกับเขาไม่ได้รับรู้อะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ตื่นนอนก็อาจได้รับความเจ็บปวดและความสุขจากสิ่งที่เขาได้ยินหรือสิ่งที่เขาคิด โดยคนที่อยู่ด้วยกับเขาไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย ความจริงทรรศนะดังกล่าวได้นำหลักการกิยาส
(อนุมาน) มาใช้อย่างผิดๆโดยการเปรียบเทียบสิ่งที่มองไม่เห็นกับสิ่งที่มองเห็น
และนำเอาสภาพภายหลังความตายมาเปรียบเทียบกับสภาพก่อนความตาย ตามตัวบทนั้นอัลเลาะห์
ตาอาลาได้เบือนสายตาและหูของบ่าวให้พ้นไปจากการมองเห็นเรื่องดังกล่าว และปกปิดมันไว้ไม่ให้พวกเขาได้รับรู้ เพื่อรักษาพวกเขาไว้
เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ฝังกันเอง
สัมผัสของโลกไม่สามารถเข้าไปรับรู้เรื่องราวในอาณาจักรของพระเจ้า นอกจากผู้ที่อัลเลาะหืประสงค์
มีหลักฐานจากฮะดีษซอเฮียะฮ์หลายบทที่ยืนยันทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่เช่นฮะดีษที่ว่า
“ความจริงคนตายจะได้ยินเสียงร้องเท้าของผู้คนที่กระทบผืนดิน” คำพูดของท่านนบีที่ว่า “กระดูกซี่โครงของเขาจะประสานกันเพราะถูกหลุมศพบีบรัด” และคำพูดของท่านที่ว่า “จะได้ยินเสียงของเขาเมื่อมะลาอิกะห์เฆี่ยนเขาด้วยกระบองเหล็ก” และคำพูดของท่านที่ว่า “จะเฆี่ยนระหว่างหูทั้งสองข้างของเขา” และคำพุดของท่านที่ว่า “มะลาอิกะห์ทั้งสองจะจับเขาลุกขึ้นนั่ง”ทั้งหมดที่กล่าวนั้นเป็นลักษณะของร่างกายทั้งสิ้น.
สถานที่พำนักของวิญญาณ
ท่านอิบนุ้ลกอยยิม
ได้จัดบทหนึ่งไว้ในหนังสือของท่านชื่อ (อัรรูห์) โดยรวบรวมทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่กล่าวถึงเรื่องสถานที่พำนักของวิญญาณ
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถึงทรรศนะที่มีน้ำหนักมากที่สุดไว้โดยได้กล่าวว่า
“วิญญาณมีสถานที่พำนักในโลกบัรซัค
(โลกหลังความตายขณะอยู่ในหลุมฝังศพ) แตกต่างกันมาก
เช่นวิญญาณที่อยู่ในอิลลียีนชั้นสูง
ได้แก่วิญญาณของบรรดานบี ทั้งหลาย ซึ่งในบรรดานบีนั้นก็มีที่พำนักที่แตกต่างกัน
ตามที่ท่านนบี (ซ.ล.) พบเห็นพวกเขาในคืนอิสรออ์.
วิญญาณที่อยู่ในกระเพาะนกสีเขียว
ที่บินอยู่ในสวรรค์ตามแต่มันต้องการ
ได้แก่วิญญาณของบรรดานักรบที่เสียชีวิตในสมรภูมิ แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะมีบางคนที่วิญญาณของเขาถูกกักกันไม่ให้เข้าสวรรค์
เพราะมีหนี้สินที่เขายังไม่ได้ชดใช้ หรือเพราะเหตุอื่น ดังมีรายงานอยู่ในมุสนัดจากมุฮำหมัด บุตร
อับดิ้ลลาห์ บุตร ญะห์ช์ ว่า “มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี (ซ.ล.)
แล้วถามว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ฉันจะเป็นอย่างไร ถ้าหากฉันถูกฆ่าตายในหนทางของอัลเลาะห์ ? ท่านตอบว่า สวรรค์ เมื่อชายคนนั้นไปแล้ว
ท่านนบีได้กล่าวว่า ยกเว้นหนี้สิน โดยญิบรีลได้มากระซิบบอกฉันเรื่องหนี้สินเมื่อกี้นี้เอง”
นักรบที่เสียชีวิตในสมรภูมิบางคนถูกกักไว้ที่ประตูสวรรค์
ดังปรากฏในฮะดีษอื่นว่า “ฉันเห็นเพื่อนของพวกท่านถูกกักตัวอยู่ที่ประตูสวรรค์”
บางวิญญาณถูกกักตัวไว้ในหลุมฝังสพของเขา
เช่นฮะดีษที่กล่าวถึงเรื่อง เจ้าของเทียนไขที่เขาได้ยักยอกไว้
และต่อมาเขาถูกสังหารในสมรภูมิ ผู้คนพากันกล่าวว่า เขาต้องได้รับสวรรค์อย่างแน่นอน
ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า
แท้จริงเทียนไขที่เขายักยอกไปนั้น
กำลังลุกไหม้เป็นไฟอยู่เหนือเขาอยู่ในหลุมฝังศพของเขา”
บางวิญญาณมีที่พำนักอยู่ที่ประตูสวรรค์
ดังปรากฏในฮะดีษ อิบนิ อับบาส (ร.ด.) ว่า “
นักรบที่เสียชีวิตในสมรภูมิจะอยู่ที่ริมแม่น้ำที่ประตูสวรรค์ในกระโจมสีเขียว
ปัจจัยของพวกเขาจะออกมาจากสวรรค์ทั้งในยามเช้าและยามเย็น”
ที่กล่าวมานี้แตกต่างกับ
ญะอ์ฟัร บุตรของอะบีตอลิบ ที่อัลเลาะห์ได้เปลี่ยนแขนทั้งสองข้างของเขาเป็นปีก
ที่เขาจะใช้ปีกทั้งสองข้างนั้นบินอยู่ในสวรรค์
ตามที่เขาต้องการ.
บางวิญญาณจะถูกกักไว้ที่ผืนดิน
วิญญาณเขาจะไม่ขึ้นสู่เบื้องบน
มันเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่อยู่ภาคพื้นดิน
เพราะชีวิตภาคพื้นดินจะไม่อยู่ร่วมกับชีวิตในชั้นฟ้า
เช่นเดียวกับที่มันจะไม่อยู่ร่วมกันในโลกนี้ ชีวิตที่ในโลกนี้ไม่ได้แสวงหาความรู้จักพระเจ้า
ไม่ได้แสวงหาความรักพระองค์ รำลึกถึงพระองค์
สนิทสนมกับพระองค์
และเข้าใกล้ชิดพระองค์
เป็นชีวิตภาคพื้นดินชั้นต่ำ หลังจากออกจากร่างไปแล้วจะไม่ไปใหนนอกจากอยู่ที่ผืนดินเท่านั้น.
ส่วนชีวิตเบื้องสูงที่ในโลกนี้แสวงหาความรักจากพระองค์อัลเลาะห์ รำลึกถึงพระองค์ ทำตนใกล้ชิดกับพระองค์
และสนิทสนมกับพระองค์
หลังจากออกจากร่างไปแล้ว
จะไปอยู่ร่วมกับชีวิตเบื้องบนที่เหมาะสมกัน บุคคลจะอยู่ร่วมกับคนที่เขารักทั้งในโลกบัรซัค และในวันกิยามะห์
อัลเลาะห์ ตาอาลา
จะจับคู่ให้แก่วิญญาณต่างๆ ได้อยู่ด้วยกัน ในโลกบัรซัค และในวันกิยามะห์
พระองค์จะให้วิญญาณของมุอ์มินผู้มีศรัทธา ได้อยู่รวมกับวิญญาณที่ดีๆ
ที่เหมาะสมกับวิญญาณของเขา
ดังนั้นเมื่อวิญญาณออกจากร่างไปแล้วก็จะไปอยู่ร่วมกับวิญญาณที่คล้ายๆกัน
และเป็นพี่น้องกัน และมีกิจกรรมการทำความดีเหมือนๆกัน และจะได้อยู่ร่วมกันที่โน้น.
มีบางวิญญาณที่จะอยู่ในเตาไฟของชายหญิงที่ละเมิดประเวณี บางวิญญาณอยู่ในแม่น้ำเลือดที่จะต้องแหวกว่ายอยู่ในนั้นและถูกขว้างปาด้วยก้อนหิน.
วิญญาณทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่ได้รับความสุขหรือทุกข์ทรมานก็ตาม
จะไม่มีที่พำนักอยู่แห่งเดียว แต่จะมีวิญญาณที่อยู่ในอิลลียีนชั้นสูงสุด และบางวิญญาณก็จะอยู่ที่ภาคพื้นดินชั้นต่ำจะไม่ขึ้นไปพ้นพื้นดิน.
เมื่อท่านเอาใจใส่กับตัวบทฮะดีษต่างๆ
ในเรื่องนี้ ก็จะรู้จักหลักฐานในเรื่องดังกล่าว
ท่านอย่าคิดว่าตัวบทจากฮะดีษซอเฮียะฮ์เหล่านี้ขัดแย้งกัน
เพราะฮะดีษทั้งหมดนั้นจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน.
วิญญาณทั้งที่อยู่ในสวรรค์
ซึ่งอยู่ในชั้นฟ้า
วิญญาณก็จะยังติดต่ออยู่กับบริเวณหลุมฝังศพและร่างกายที่อยู่ในหลุมฝังศพ วิญญาณจะเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดทั้งขึ้นและลง
และวิญญาณก็ยังแบ่งออกเป็นวิญญาณที่ถูกปลดปล่อย
และวิญญาณที่ถูกกักกัน
มีวิญญาณที่อยู่เบื้องสูง และวิญญาณที่อยู่เบื้องต่ำ
วิญญาณหลังจากออกจากร่างไปแล้วจะมีทั้งสุขภาพดี
เจ็บป่วย สนุกสนาน มีความสุข
และเจ็บปวดยิ่งกว่าที่เคยเป็นขณะที่ยังอยู่ในร่างเป็นอย่างมาก จะพบว่ามีการกักกัน มีความเจ็บปวด มีการลงโทษ
มีการเจ็บป่วย มีความเศร้าโศก และมีความสนุกสนาน
ความสุขสบาย สภาพของวิญญาณที่อยู่ในร่างกายจะเหมือนกันอย่างยิ่งกับสภาพของทารกที่อยู่ในครรภ์ของมารดา และสภาพของวิญญาณภายหลังจากออกจากร่างไปแล้ว
ก็เหมือนกับสภาพของทารกภายหลังคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดามาสู่โลกนี้ ดังนั้นวิญญาณจึงมีสี่โลก แต่ละโลกจะยิ่งใหญ่กว่าโลกที่อยู่มาก่อน
โลกที่หนึ่งคือ โลกในครรภ์มารดา เป็นโลกที่คับแคบถูก จำกัดอยู่ภายในพื้นที่อันจำกัด
และอยู่ในความมืด
โลกที่สองคือ โลกที่วิญญาณเจริญเติบโต และคุ้นเคย แสวง หาความดีและความชั่ว และหา เหตุที่จะได้รับความสุข และความทุกข์ทรมาน
โลกที่สามคือ โลกบัรซัค
เป็นโลกที่กว้างขวางกว่าโลกนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับโลกนี้กับโลกที่หนึ่ง
โลกที่สี่ โลกอันเป็นอมตะ คือสวรรค์และนรก
ซึ่งจะไม่มีโลกใดอีกนอกจากสองโลกนี้เท่านั้น.
อัลเลาะห์
ตาอาลาจะเคลื่อนย้ายวิญญาณไปในโลกเหล่านี้ที่ละชั้นจนกว่าวิญญาณจะไปถึงโลกที่เหมาะสมกับวิญญาณเท่านั้น เป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อวิญญาณ
และได้จัดเตรียมให้มีความดีที่จะนำวิญญาณไปสู่โลกนั้น
ในแต่ละโลกจะมีข้อกำหนดและกิจการสำหรับวิญญาณ ที่ไม่ใช่กิจการของโลกอื่น อัลเลาะห์ ตาอาลาทรงจำเริญ
พระองค์คือผู้สร้างวิญญาณ ผู้ให้วิญญาณเกิขึ้นมา ผู้ให้ ตาย
ผู้ชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้น
ผู้ให้วิญญาณได้รับความสุข
และเป็นผู้ให้วิญญาณได้รับความทุกข์ทรมาน
ซึ่งให้วิญญาณทั้งหลายมีความเหลื่อมล้ำกันทั้งความสุข และความทุกข์ทรมาน
เช่นเดียวกับที่ให้วิญญาณเกิดความเหลื่อมล้ำกันทางด้านความรู้ การกระทำ
ด้านพละกำลัง และจริยธรรม
ดังนั้นผู้ใดรู้จักวิญญาณตามที่ควรจะรู้จัก เขาก็จะปฎิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์องค์เดียวเท่านั้นโดยไม่มีสิ่งใดเป็นคู่ภาคีของพระองค์ อำนาจการปกครองทั้งปวงเป็นของพระองค์
มวลการสรรเสริญทั้งหลายเป็นของพระองค์ ความดีทั้งปวงอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์
กิจกรรมทั้งหลายจะกลับคืนสู่พระองค์ พลังอำนาจทั้งปวง เกียรติยศทั้งหลาย
วิทยะปัญญาทั้งสิ้น ความสมบูรณ์ที่ไร้ขีดจำกัดเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
และรู้จักด้วยการรู้จักตนเองว่าบรรดานบีและศาสนทูตทั้งหลายมีสัจจะ
และสิ่งที่พวกเขานำมาเผยแผ่นั้นเป็นความจริงแท้ ที่สติปัญญายืนยัน และธรรมชาติยอมรับ
และสิ่งที่ขัดแย้งกับสัจธรรมคือสิ่งโป้ปดมดเท็จ
อัลเลาะห์ทรงชี้นำสู่สิ่งที่ถูกต้อง
เครื่องหมายวันกิยามะห์
เครื่องหมายเล็ก
เครื่องหมายใหญ่
อิหม่ามมะห์ดี
การปรากฏตัวของดัจญาล
วันกิยามะห์
แม้จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
แต่พระองค์อัลเลาะห์ก็ได้ทรงกำหนดให้มีเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่าวันกิยามะห์นั้นใกล้มาถึงแล้ว อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า
“
ดังนั้นพวกเขามิได้รอคอยสิ่งใดนอกจากวะนกิยามะห์เท่านั้น
ซึ่งมันจะมาถึงพวกเขาอย่างกระทันหัน แต่ทว่าเครื่องหมายต่างๆของมันได้มีมาแล้ว
ดังนั้นเมื่อการตักเตือนพวกเขาได้มาถึงพวกเขาแล้วจะเกิดประโยชน์อันใดแก่พวกเขา”
เครื่องหมายวันกิยามะห์ได้แก่ เครื่องหมายเล็ก และเครื่องหมายใหญ่
เครื่องหมายเล็ก
เครื่องหมายเล็กของวันกิยามะห์สรุปได้ดังนี้
- การแต่งตั้งท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)
เป็นศาสนทูต โดยท่านดำรงตำแหน่งนบีและศาสนทูตเป็นท่านสุดท้าย มีฮะดีษที่เล่าจากท่านอะนัส (ร.ด.) ว่าท่านนบี
(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“ ฉันถูกแต่งตั้งมา
โดยตัวฉันและวันกิยามะห์เหมือนกับนิ้วสองนิ้วนี้ และท่านได้ชี้ไปที่นิ้วชี้และนิ้วกลาง
”
รายงานโดยบุคอรี มุสลิม และติรมีซี
การเปรียบเทียบนี้มีความหมายว่า
ไม่มีนบีอื่นอีกระหว่างท่านนบี (ซ.ล) กับวันกิยามะห์ ดังนั้นวันกิยามะห์ จะเกิดขึ้นถัดจากท่านนบี
(ซ.ล.) และเกิดขึ้นหลังจากท่าน
ฮะดีษนี้เป็นแต่เพียงบอกให้รู้ว่าวันกิยามะห์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว
ไม่ใช่เป็นการบอกว่าวันกิยามะห์จะเกิดขึ้นเมื่อใด วันเวลาที่จะเกิดวันกิยามะห์นั้นไม่มีผู้ใดทราบนอกจากอัลเลาะห์
ตาอาลาเท่านั้น.
- บรรดาผู้นำ และผู้คนในระดับแนวหน้า
จะมาจากลูกหลานของคนชั้นต่ำเช่นทาสเป็นต้น ไม่ได้มาจากคนในตระกูลสูงที่เป็นผู้ดี เช่นเดียวกับที่ชาวชนบทเลี้ยแพะเลี้ยงแกะ
จะกลายเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย
และเป็นเจ้าของอาคารสูงๆ และเป็นผู้นำ.
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ว่า “ท่านนบี (ซ.ล.)
ท่านได้ปรากฏตัวต่อหน้าประชาชนในวันหนึ่ง และญิบรีลได้มาหาท่าน แล้วกล่าวว่า
โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ วันกิยามะห์จะเกิดขึ้นเมื่อใด ? ท่านตอบว่า
ผู้ที่ถูกถามไม่ใช่จะรู้ดีกว่าผู้ที่ถาม
แต่ฉันจะบอกท่านให้ได้ทราบถึงเครื่องหมายของมัน
“เมื่อทาสหญิงให้กำเนิดผู้เป็นนายของนาง”
นั่นเป็นเครื่องหมายหนึ่งของวันกิยามะห์.
“เมื่อคนที่ไม่สวมรองเท้า เปลือยกาย
เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ เป็นผู้นำประชาชน” นั่นเป็นเครื่องหมายหนึ่งของวันกิยามะห์
“ และเมื่อคนเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ
แข่งขันกันสร้างอาคารสูง
และนั่นก็เป็นเครื่องหมายหนึ่งของวัน
กิยามะห์ ” รายงานโดยอิบนุอะบีชัยบะห์
ในฮะดีษที่ญิบรีลได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล.) ถึงเรื่องวันกิยามะห์ ท่านได้ตอบว่า ผู้ที่ถูกถามไม่ใช่จะรู้ดีกว่าผู้ที่ถาม ญิบรีลได้กล่าวว่า
ท่านจงบอกฉันถึงเครื่องหมายของวันกิยามะห์เถิด ท่านได้กล่าวว่าคือ การที่ทาสหญิงให้กำเนิดผู้เป็นนายของนาง และการที่ท่านเห็นคนที่ไม่สวมรองเท้า
เปลือยกาย ยากจน เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ แข่งขันกันสร้างอาคารสูง”
รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
ในฮะดีษของอิหม่ามบุคอรี
ได้กล่าวถึงเครื่องหมายของวันกิยามะห์ไว้ ส่วนหนึ่งนับได้สิบเอ็ดเครื่องหมาย เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด.) ว่าท่านนบี
(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าสองพวกที่ยื่งใหญ่จะทำสงครามกัน จะมีผู้ถูกสังหารมากมายระหว่างสองพวกนั้น
โดยทั้งสองฝ่ายเรียกร้องสู่สิ่งเดียวกัน
และวันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะปรากฏจอมหลอกลวงทั้งหลายที่มุสา
มีจำนวนเกือบสามสิบคน ที่ทั้งหมดนั้นอ้างตนเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ จนกว่าวิชาความรู้จะถูกเก็บไป จนกว่าจะเกิดแผ่นดินไหวมาก จนกว่าเวลาจะสั้นลง จนกว่าจะเกิดวิกฤติการณ์ร้ายมากมาย จนกว่าจะเกิดการฆ่ากันตายมากมาย จนกว่าจะมีทรัพย์สินมากมายและล้นเหลือ
จนเจ้าของทรัพย์เป็นทุกข์ใจในการหาผู้รับซะกาต
จนกว่าผู้รับจะปฏิเสธรับซะกาต โดยเขาจะกล่าวว่าฉันไม่ต้องการมัน จนกว่าผู้คนจะแข่งขันกันสร้างอาคารสูง
จนกว่าคนหนึ่งจะเดินผ่านหลุมฝังศพของคนหนึ่งแล้วเขากล่าวว่า
ฉันอยากไปอยู่ในหลุมแทนเขา และจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศที่มันตก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมา และผู้คนเห็น
ก็จะพากันมีศรัทธาหมดทุกคน นั่นเป็นขณะที่
“การศรัทธาจะไม่เกิดประโยชน์แก่ชีวิตใด
ที่ไม่เคยมีศรัทธามาก่อนหน้านั้น
หรือชีวิตที่ได้ทำความดีในความมีศรัทธานั้น” วันกิยามะห์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขณะชายสองคนได้คลี่ผ้าของเขาทั้งสองออก
โดยยังไม่ทันได้ขาย และยังไม่ทันได้พับมันทั้งสองเก็บ วันกิยามะห์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ขณะที่คนหนึ่งกลับบ้านพร้อมด้วยนมอูฐของเขา โดยเขายังไม่ทันได้ดื่มมัน วันกิยามะห์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขณะที่คนหนึ่งกำลังซ่อมแซมบ่อ
โดยเขายังไม่ทันได้ใช้น้ำในบ่อนั้น
และวันกิยามะห์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขณะที่คนหนึ่งยกอาหารเข้าปาก
โดยเขายังไม่ทันได้รับประทานมัน”
หมายความว่าวันกิยามะห์จะเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ไม่ทันได้รู้ตัว
ส่วนเครื่องหมายใหญ่ของวันกิยามะห์นั้นสรุปได้ดังนี้
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการออกมาของสัตว์
เมื่อใกล้จะถึงวันกิยามะห์
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในระบบของจักรวาล
จะเกิดเหตุการณ์ณ์ต่างๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
แตกต่างกับที่มนุษย์ได้เคยรับรู้มาก่อนหน้านั้นคือดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก และจะมีสัตว์ออกมาจากแผ่นดินพูดจากับมนุษย์
เล่าจากอับดิ้ลลาห์ บุตร อัมร์ บุตร
อัลอาสว่า ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“เครื่องหมายแรกที่จะเกิดขึ้นคือ
ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกของมัน
และจะมีสัตว์ออกมายังผู้คนในเวลาสาย
ไม่ว่าเครื่องหมายใดเกิดก่อน อีกเครื่องหมายหนึ่งก็จะเกิดตามมาติดๆ”
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ว่าท่านนบี
(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“ วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศที่มันตก เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมา และผู้คนเห็น
ก็จะพากันมีศรัทธาหมดทุกคน นั่นเป็นขณะที่
“การศรัทธาจะไม่เกิดประโยชน์แก่ชีวิตใด
ที่ไม่เคยมีศรัทธามาก่อนหน้านั้น
หรือชีวิตที่ได้ทำความดีในความมีศรัทธานั้น”
อัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสว่า
“ และเมื่อคำบัญชาได้เกิดขึ้นกับพวกเขา เราได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า
แท้จริงมวลมนุษย์ไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา”
(อันนัมล์ 82)
ในอายะห์นี้บอกให้รู้ว่าจะมีสัตว์ออกมาพูดกับผู้คน
ขณะที่อัลเลาะห์ได้มีคำบัญชามา
เหมือนกับเป็นบทนำก่อนที่จะเกิดวันกิยามะห์ เป็นขณะที่
การศรัทธาจะไม่เกิดประโยชน์แก่ชีวิตใด ที่ไม่เคยมีศรัทธามาก่อนหน้านั้น หรือชีวิตที่ได้ทำความดีในความมีศรัทธานั้น
ไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปค้นหารายละเอียดแปลกๆเกี่ยวกับสัตว์ที่ว่านี้
เช่นมีผู้กล่าวว่ามีลำตัวยาวหกสิบศอก มีใบหน้าเหมือนมนุษย์ มีหัวเหมือนวัว
มีตาเหมือนหมู มีหูเหมือนช้าง ไม่มีใครตามมันทัน และไม่มีใครหนีมันพ้น
และว่ามันจะถือไม้เท้าของมูซา และแหวนของสุลัยมาน
ซึ่งทั้งหมดนี้ที่กล่าวมานี้ไม่มีฮะดีษที่ซอเฮียะฮ์กล่าวถึงไว้เลย.
ท่านอิหม่ามอัรรอซีย์
ได้กล่าวว่า “พึงทราบเถิดว่าไม่มีความหมายใดในอัลกุรอานที่บ่งชี้ถึงลักษณะเหล่านี้ของสัตว์ที่จะออกมานั้น
ถ้าหากมีฮะดีษที่ซอเฮียะฮ์จากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)
กล่าวถึงก็ให้รับฟัง แต่ถ้าไม่มีก็ให้เบือนหนีไป”
การที่มีสัตว์ออกมานั้นถือเป็นสิ่งเร้นลับอย่างหนึ่ง
จากบรรดาสิ่งเร้นลับทั้งหลาย ดังนั้นเราจำเป็นต้องยึดถือตามที่อัลกุรอาน
และฮะดีษที่ซอเฮียะฮ์ ได้ระบุไว้
ซึ่งในอัลกุรอานและฮะดีษมีระบุไว้แต่เพียงว่าจะมีสัตว์ออกมา และพูดจากับผู้คน และนั่นคือเครื่องหมายหนึ่งของวันกิยามะห์
ได้ถูกระบุไว้ในซูเราะห์ อันนัมล์
เข่นเดียวกันว่าท่านนบีมูซา (อ.ล.) ได้โยนไม้เท้าของท่านตามคำบัญชาของอัลเลาะห์ ทันใดนั้นมันก็เคลื่อนไหวได้คล้ายเป็นงู และระบุว่าท่านนบีสุลัยมานรู้ภาษานก
และได้ยินมดพูดขณะที่มัเรียกพวกพ้องของมันให้เข้ารัง เพราะกลัวว่าสุลัยมานและทหารของเขาจะเหยียบ โดยพวกเขาไม่รู้สึก และระบุว่าท่านนบีสุลัยมายมานยิ้มขณะที่ได้ยินมดพูด.
และในซูเราะห์ อัลนัมล์
เช่นเดียวกันที่นกหัวขวานได้พูดกับนบีสุลัยมานเรื่องเมืองสะบะอ์ โดยกล่าวว่า
“ความจริงฉันได้พบผู้หญิงคนหนึ่งปกครองชาวเมืองนั้น
และนางมีทุกสิ่ง
และนางมีบัลลังก์อันยิ่งใหญ่
และฉันได้พบนางและหมู่ชนของนางสักการบูชาดวงอาทิตย์อื่นจากอัลเลาะห์
และชัยตอนได้ทำให้เห็นว่ากิจการของพวกเขาดีงาม
และมันได้ขัดขวางพวกเขาจากหนทางที่ถูกต้อง
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ทำไมพวกเขาไม่ก้มกราบต่ออัลเลาะห์
ผู้ซึ่งจะนำสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดินออกมา ”
(อัลนัมล์ 23-25)
สัตว์ที่จะออกมาจากผืนดิน
และพุดจากับมนุษย์ ก็จะเป็นไปในลักษณะนี้
อิหม่ามมะห์ดี
สรุปทรรศนะที่กล่าวถึงเรื่องอิหม่ามมะห์ดี
ก็คือ
ท่านจะออกมาปรากฏตัวในยุคสุดท้ายของโลกนี้ ชื่อของท่านคือ มุฮำหมัด บุตร
อับดิ้ลลาห์ หรือ อะห์มัด บุตร อับดิ้ลลาห์
ท่านเป็นบุคคลในครอบครัวของท่านนบี (ซ.ล.)
จากลูกหลานของพระนางฟาติมะห์
อิหม่ามมะห์ดี จะมีอุปนิสัยเหมือนกับท่านนบี (ซ.ล.) แต่รูปร่างไม่เหมือนกัน
อิหม่ามมะห์ดีมีหน้าผากกว้าง จมูกโด่ง เขาจะก่อให้เกิดความยุติธรรม
และความเที่ยงธรรมทั่วไปในหน้าแผ่นดิน
เหมือนกับที่เคยเต็มไปด้วยความฉ้อฉล และอธรรม เขาจะนำเอาบทบัญญัติของอิสลามมาปฏิบัติ และจะฟื้นฟูแนวทางของท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล.)ที่ถูกลบเลือนไป
อิสลามจะสูงส่งในยุคของเขา
ความผาสุกจะเกิดขึ้นในยุคของเขาพร้อมด้วยความยุติธรรมที่แพร่กระจายไปทั่ว เขาจะมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้คนอย่างมากมาย เขาจะโกยทรัพย์สินให้โดยไม่ต้องนับ อิหม่ามมะห์ดี จะมาอยู่ในโลกนี้เป็นเวลาเจ็ดปี
หลังจากนั้นดัจญาลก็จะมา
และต่อจากนั้นนบีอีซา (อ.ล.) ก็จะลงมา
นบีอีซา และอิหม่ามมะห์ดีจะร่วมมือกันสังหารดัจญาล หลังจากนั้นอิหม่ามมะห์ดีก็จะเสียชีวิต มวลมุสลิมจะละหมาดให้แก่ศพของเขา.
ที่กล่าวมานี้เป็นการสรุปรายงานต่างๆที่กล่าวถึงเรื่องอิหม่ามมะห์ดี
และที่รายงานในเรื่องราวต่างๆของเขา ซึ่งจะไม่พ้นไปจากการบอกให้รู้ว่าจะปรากฏมีชายคนหนึ่งในยุคสุดท้ายของโลกที่เป็นนักปฏิรูป
เขาจะมาชูธงแห่งสัจธรรม และยกพระคำของอัลเลาะห์ให้สูงส่ง
และจะทำให้อิสลามมีความมั่นคง และอยู่ในแนวหน้าของความดีโดยทั่วไป
หลังจากนั้นดัจญาลที่เป็นชาวยะฮูดีย์ก็จะออกมา
ซึ่งเป็นวิกฤติการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่งเพื่อต่อต้านความรุ่งเรืองของอิสลาม
ดัจญาลจะพยายามดึงผู้คนให้หลุดพ้นไปจากอิสลาม
โดยนำเอาความรู้และพลังอำนาจที่มันได้รับออกมาลวงล่อประชาชน
ต่อมาอัลเลาะห์ก็จะทำลายสิ่งที่มันนำมาด้วยวิกฤติที่ร้ายแรงกว่าที่มันนำมา
นั่นคืออัลเลาะห์จะส่งนบีอีซา (อ.ล.)ลงมา เพื่อเป็นพลังของสัจธรรม นบีอีซาและอิหม่ามมะห์ดีพร้อมด้วยกองทัพของอิสลามสังหารดัจญาล
และทำลายงานของมันจนราบคาบ
เมื่อดัจญาลถูกสังหารกองทัพของยะฮูดีที่ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับมัน
และมีจำนวนถึงเจ็ดหมื่นคนก็จะแตกพ่าย
หลังจากนั้นอัลเลาะห์ ตาอาลาก็จะเปิดเผยธาตุแท้ของพวกยะฮูดี
จนไม่มีสิ่งใดที่ยะฮูดีไปหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังมัน นอกจากอัลเลาะห์จะให้สิ่งนั้นพูดได้
มันจะพูดว่า
โอ้ บ่าวของอัลเลาะห์ที่เป็นมุสลิม
ยะฮูดีอยู่ที่นี่ จงมาจัดการเขา
หลังจากนั้นนบีอีซาก็จะกวาดล้างแนวทางความเชื่อที่ผิดๆ
ในตัวของท่านที่ว่าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
และสถาปนาศาสนาอิสลามให้มีความมั่นคง ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.)
ได้กล่าวว่า อีซาจะอยู่ในท่ามกลางประชาชาติของฉัน
ในฐานะผู้ปกครองที่มีความยุติธรรม และเป็นผู้นำที่เที่ยงธรรม เขาจะทำลายกางเขน จะสังหารหมู
จะยกเลิกระบบญิซยะห์(ค่าส่วย) และยกเลิกซะกาต(เพราะไม่มีผู้รับ) ดังนั้นจะไม่มีผู้ตามหาแกะและอูฐ
ความอาฆาต และความชิงชังกันจะถูกยกออกไป
พิษของสิ่งที่มีพิษจะถูกถอดออกไป จนขนาดที่เด็กเอามือยื่นไปให้งูกัด
มันก็จะไม่ทำอันตรายเด็ก
และเด็กผู้หญิงจะขับไล่สิงโตให้หนี
มันก็จะไม่ทำอันตรายเด้กผู้หญิงนั้น
หมาป่าจะอยู่ในฝูงแพะเหมือนสุนัขเลี้ยงสัตว์
ผืนแผ่นดินจะเต็มไปด้วยความปลอดภัยเหมือน้ำที่เต็มอยู่ในภาชนะ คำพูดจะเป็นคำเดียวกัน
ดังนั้นจะไม่มีสิ่งใดถูกสักการะนอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น สงครามจะถูกเลิกราไป กุรอยช์จะได้สิทธิ์คืนมา
แผ่นดินจะเป็นเช่นถาดเงิน ต้นไม้จะเจริญงอกงามเหมือนในยุคนบีอาดัม.
ดังกล่าวมานี้สัญญาของอัลเลาะห์ก็จะเป็นความจริงที่ว่าอิสลามจะมีชัยและสูงส่ง
“
พระองค์คือผู้ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์พร้อมด้วยแนวทางที่ถูกต้อง
และศาสนาแห่งสัจธรรม
เพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนาของพระองค์นั้นปรากฏชัดเหนือศาสนาอื่นทั้งหมด
และพอเพียงแล้วที่มีอัลเลาะห์เป็นพยาน” (อัลฟัตฮ์ 28)
หลังจากนั้นจะเกิดความเสื่อมถอยและหย่อนยาน
ผู้คนเริ่มเหินห่างออกจากศาสนาของตนทีละน้อย ทีละน้อย จนในที่สุดก็ละทิ้งศาสนาของตน
วันกิยามะห์ก็จะเกิดขึ้นขณะที่ผู้คนละทิ้งศาสนาและไร้ศรัทธา ภายหลังความสมบูรณ์
ก็จะเกิดความบกพร่องและเสื่อมถอย.
“อุปมาชีวิตในโลกนี้ เหมือนน้ำฝนที่เราได้หลั่งมันลงมาจากฟากฟ้า
พืชของแผ่นดินได้คละเคล้ากับน้ำนั้น
บางส่วนของมันมนุษย์และปศุสัตว์ใช้กินเป็นอาหาร
จนกระทั่งเมื่อแผ่นดินเริ่มปรากฏความงดงามของมัน
และถูกประดับด้วยพืชผล็อย่างสวยงาม
เจ้าของของมันก็คิดว่าแท้จริงพวกเขามีอำนาจเหนือมัน คำบัญชาของเราได้มายังมันในเวลากลางคืนหรือเวลากลางวัน
แล้วเราได้ทำให้มันเหี้ยนเตียนเหมือนไม่มีการไถหว่านเมื่อวันวาน
ดังเช่นนั้นที่เราได้ได้จำแนกโองการต่างๆแก่หมู่ชนที่ใคร่ครวญ” (ยูนุส 24)
การออกมาปรากฏตัวของดัจญาล
เครื่องหมายอย่างหนึ่งของวันกิยามะห์
และถือเป็นสัญญาณใหญ่ของกิยามะห์ก็คือ การออกมาปรากฏตัวของดัจญาล
และอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า
มันจะพยายามสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นกับผู้คนในเรื่องศาสนา
ด้วยอภินิหารที่มันนำออกแสดง ซึ่งผิดแผกไปจากธรรมชาติ บางคนหลงเชื่อตามมันไป
แต่บางคนอัลละห์ได้ให้เขายืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่กับอีหม่าน
ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงของมัน
ต่อมาเรื่องราวของมันก็ถูกเปิดเผยขึ้น และความชั่วร้าของมันถูกทำลายลง
และดัจญาลก็ถูกสังหารด้วยน้ำมือของผู้นำมวลมุสลิมในขณะนั้นคือนบีอีซา (อ.ล.)
บรรดาศาสนทูตทั้งหลายต่างก็ได้เตือนประชาชาติของตนให้ระวังความชั่วร้ายและการลวงล่อของมัน เช่นเดียวกันกับที่นบีท่านสุดท้ายคือ มุฮำหมัด
(ซ.ล.) ได้เตือนประชาชาติของท่านให้ระมัดระวังดัจญาล.
เล่าจากอุมัร ว่า “ท่านนบี (ซ.ล.)
ได้เรียกร้องให้ประชาชนเงียบและตั้งใจฟังในวันฮัจญ์แห่งการอำลา
ท่านได้กล่าวคำสรรเสริญอัลเลาะห์ และสดุดีพระองค์
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาล และได้กล่าวถึงอย่างยืดยาว และท่านได้กล่าวว่า
อัลเลาะห์ไม่ได้แต่งตั้งนบีท่านใดมา
นอกจากนบีท่านนั้นจะต้องเตือนประชาชาติของตนให้ระวังดัจญาล
และกล่าวว่าดัจญาลจะจะออกมาในหมู่พวกเจ้า สิ่งที่เร้นลับเหนือพวกท่านเกี่ยวกับเรื่องราวของมัน
จะไม่ใช่เรื่องเร้นลับเหนือพวกท่าน
คือแท้จริงองค์อภิบาลของพวกท่านไม่ใช่ตาบอดข้างเดียว
และความจริงดัจญาลนั้นตาบอดข้างขวา คล้ายกับดวงตาของมันโปนเหมือนองุ่นแห้ง”
รายงานโดยบุคอรี
การลงมาของท่านนบีอีซา
(อ.ล.)
สรุปได้จากหลายฮะดีษว่านบีอีซา (อ.ล.)
จะลงมาจากฟากฟ้า ในยุคสุดท้ายขณะที่ดัจญาลยังอยู่
และการลงมาของนบีอีซานี้เป็นเครื่องหมาหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายใหญ่ของวันกิยามะห์ นบีอีซาจะลงมาทำหน้าที่ตัดสินด้วยความยุติธรรม เขาจะปฏิบัติตามหลักชะรีอะห์ของอิสลาม
และจะมาฟื้นฟูแนวทางที่ผู้คนได้ละเลยไป เขาจะมาสังหารดัจญาล
และอยู่ในโลกนี้ตามแต่อัลเลาะห์ประสงค์จะให้เขาอยู่ จากนั้นเขาก็จะเสียชีวิต มีการละหมาดให้แก่ศพของเขา และฝัง หลังจากนั้นสายลมก็จะพัดมาเก็บวิญญาณของผู้มีศรัทธาทั้งหมด จะไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่นอกจากคนเลวเท่านั้น.
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด.)
ว่าท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“
ขอสาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของฉันอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า
เกือบถึงเวลาแล้วที่บุตรของมัรยัมจะลงมาอยู่ในท่ามกลางพวกท่าน
ในฐานะผู้ปกครองที่มีความยุติธรรม
เขาจะทำลายกางเขน ฆ่าสุกร ยกเลิกระบบญิซยะห์ และเขาจะทำให้มีทรัพย์มากมาย จนหาคนรับไม่ได้
จนการสุหยูดหนึ่งครั้งจะเป็นความดียิ่งกว่าโลกนี้และสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้รวมกัน
หลังจากนั้นอะบูฮุรอยเราะห์(ร.ด.) ได้กล่าวว่า ถ้าหากต้องการพวกท่านจงอ่าน “ และจะไม่มีชาวคัมภีร์คนใด
นอกจากจะต้องศรัทธาต่อเขา(อีซา บุตร มัรยัม) ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
และในวันกิยามะห์นั้นเขาจะเป็นพยานยืนยันเหนือพวกเขา” รายงานโดยบุคอรี
หมายความว่าไม่มีชาวคัมภีร์คนใดนอกจากจะมีศรัทธาต่ออีซา
(อ.ล.) ก่อนที่อีซาจะเสียชีวิตขณะที่ลงมาสู่โลกนี้ ก่อนถึงวันกิยามะห์.
เล่าจากอุรวะห์บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า
ฉันได้ยินอับดุลเลาะห์ บุตร อัมร์ กล่าวว่า
“ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) กล่าวว่า
ดัจญาลจะออกมาปรากฏตัวอยู่ในประชาชาติของฉัน มันจะมาอยู่สี่สิบ ฉันไม่รู้ว่าสี่สิบวัน
หรือสี่สิบเดือน หรือสี่สิบปี.. หลังจากนั้นอัลเลาะห์ก็จะส่งอีซาบุตรมัรยัมลงมา
เขามีรูปร่างคล้ายกับอุรวะห์ บุตรมัสอูด
และทำลายมัน ต่อจากนั้นอีซาจะอยู่กับประชาชนเป็นเวลาเจ็ดปี
โดยจะไม่มีความเป็นศัตรูกันเลยระหว่างคนสองคน
จากนั้นอัลเลาะห์จะส่งลมเย็นมาจากทางด้านชาม จะไม่เหลือใครสักคนอยู่บนหน้าแผ่นดินที่ในหัวใจของเขามีความดีหรือมีศรัทธาอยู่แม้เพียงเท่าธุลีเดียว
นอกจากลมนั้นจะเก็บวิญญาณเขาไป
จนถึงขนาดที่ถ้าหากมีใครคนใดจากพวกท่านเข้าไปอยู่ในใจกลางภูเขาสายลมนั้นก็จะตามเขาเข้าไปเพื่อเก็บวิญญาณเขาจนได้
และจะเหลืออยู่แต่คนเลวที่ว่องไวเหมือนนก
และคล่องแคล่วเหมือนเสือในการเข้าหาความชั่ว
พวกเขาจะไม่ยอมรับความดี และจะไม่ปฏิเสธความชั่ว ชัยตอนจะจำแลงร่างมาหาพวกเขาแล้วกล่าวว่า
พวกท่านจะไม่ตอบสนองหรือ ? พวกเขาจะถามว่า ท่านจะใช้ให้พวกเราทำอะไร?
มันจะใช้พวกเขาให้กราบไหว้รูปปั้น
โดยพวกเขาจะอยู่กันในอาคารที่มีความเป็นอยู่ที่ดี
หลังจากนั้นแตรสัญญาณก็จะถูกเป่า ผู้คนจะพากันล้มตาย ต่อมาอัลเลาะห์ก็จะให้ฝนตกลงมาปรอยๆ
ร่างกายของมนุษย์ก็จะผุดขึ้นมา จากนั้นแตรสัญญาณก็จะถูกเป่าขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
มนุษย์ทั้งหลายก็จะลุกขึ้นมองดู จากนั้นจะมีผู้กล่าวว่า โอ้ มนุษย์ทั้งหลาย
จงไปสู่องค์อภิบาลของพวกเจ้าเถิด “จงให้พวกเขายืนขึ้น
เพราะพวกเขาจะต้องถูกสอบสวน” ต่อมาจะมีผู้กล่าวว่า พวกเจ้าจงนำชาวนรกออกมา
มีผู้ถามว่าจากจำนวนเท่าใด? ก็จะมีผู้ตอบว่า
จากทุกๆหนึ่งพันนั้นจะเป็นชาวนรกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ท่าน นบีได้กล่าวว่านั่นคือวันที่ทำให้เด็กผมหงอก
และเป็นวันที่จะเผยให้เห็นหน้าแข้ง(หมายถึงเป็นวันที่อยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างที่สุด)”
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์
(ร.ด.) จากท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า ระยะเวลาระหว่างการเป่าสองครั้งนั้นสี่สิบ
พวกเขากล่าวว่า โอ้อะบูฮุรอยเราะห์สี่สิบวันหรือ? อะบูฮุรอยเราะห์ ตอบว่า
ฉันไม่รู้ พวกเขากล่าวว่าสี่สิบเดือนหรือ? เขาตอบว่าฉันไม่รู้ พวกเขากล่าวว่าสี่สิบปีหรือ? เขาตอบว่า ฉันไม่รู้
หลังจากนั้นอัลเลาะห์จะให้ฝนตกลงมาจากฟากฟ้า
มนุษย์ก็จะงอกออกมาเหมือนผักที่งอกงามขึ้น ร่างของมนุษย์จะผุพังทั้งหมด
ยกเว้นกระดูกชิ้นหนึ่ง นั่นคือกระดูกก้นกบ
และจากกระดูกก้นกบร่างจะถูกประกอบขึ้นในวันกิยามะห์ ” รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม
เล่าจากอิบนิอับบาส (ร.ด.)
ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
“ นับเป็นคนเลวคือผู้ที่เมื่อเกิดวันกิยามะห์ขึ้น พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ” รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม.
0 ความคิดเห็น