ละหมาดตะรอเวียะฮ์
06:48:00
อัลเลาะห์ได้กำหนดการถือศีลอดในเวลากลางวันของเดือรอมาดอน และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้วางแนวทางในการทำละหมาดในเวลากลางคืนของเดือนรอมาดอน ที่เรียกว่า " กิยามุ้ลลัยล์ "
ละหมาดตะรอเวียะฮ์
อัลเลาะห์ได้กำหนดการถือศีลอดในเวลากลางวันของเดือรอมาดอน และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้วางแนวทางในการทำละหมาดในเวลากลางคืนของเดือนรอมาดอน ที่เรียกว่า " กิยามุ้ลลัยล์ "
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด) ว่า ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล)ส่งเสริมให้ละหมาดในเวากลางคืนของเดือนรอมาดอน โดยท่านไม่ได้ใช้พวกเขาอย่างเด็ดขาดจริงจัง หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า : " ผู้ใดละหมาดในเวลากลางคืนของเดือนรอมาดอนโดยมีศรัทธามั่น และมุ่งแสวงหาผลบุญจากอัลเลาะห์ เขาจะได้รับการอภัยจากบาปที่ผ่านพ้นมาแล้ว " รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม.
และผู้ใดได้ละหมาดตะรอเวียะฮ์ อย่างเหมาะสม ก็ถือว่าเขาได้ละหมาดในในเวลากลางคืนของรอมาดอนแล้ว.
ตะรอเวียะฮ์ : คือละหมาดที่มีตัวบทรายงานสืบต่อกันมา ซึ่งมุสลิมได้นำมาปฏิบัติรวมกันเป็นละหมาดญะมาอะห์ในมัสยิด หลังจากละหมาดอิชาอ์.
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้ทำละหมาดตะรอเวียะฮ์ โดยได้ละหมาดร่วมกับซอฮาบะห์ของท่านเป็นเวลาสองคืนหรือสามคืน และหลังจากนั้นท่านก็หยุดทำเพราะกลัวว่าละหมาดตะรอเวียะฮ์จะกลายเป็นฟัรดูตกหนักเหนือพวกเขา โดยที่ท่านนบีมีเมตตาสงสารต่อเหล่าผู้ศรัทธา ดังนั้นซอฮาบะห์ของท่านจึงได้ละหมาดตะรอเวียะฮ์กันโดยลำพัง จนในที่สุดอุมัร ได้จัดให้พวกเขาละหมาดรวมกันเป็นญะมาอะห์ โดยมีอิหม่ามนำละหมาดคือท่านอุบัยด์ บุตร กะอับ.
เล่าจากอาอิชะห์ว่า : ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้ออกไปในคืนหนึ่ง (หมายถึงในเดือนรอมาดอน) จากช่วงกลางคืน ท่านได้ละหมาดในมัสยิด มีหลายคนได้ละหมาดตามหลังท่าน พอรุ่งเช้าผู้คนได้โจษขานกันถึงเรื่องละหมาดในตอนกลางคืน จึงมีประชาชนมาร่วมละหมาดกับท่านนบีมากกว่าในคืนแรก พอรุ่งเช้าผู้คนได้โจษขานกันถึงเรื่องละหมาดในตอนกลางคืน จึงมีประชาชนมาร่วมละหมาดที่มัสยิดมากยิ่งขึ้นในคืนที่สาม ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้ออกมาละหมาดร่วมกับพวกเขา, ในคืนที่สี่มัสยิดไม่สามารถรับจำนวนผู้มาละหมาดได้ … จนท่านนบีได้ออกมาละหมาดซุบฮิ และเมื่อท่านได้ละหมาดซุบฮิเสร็จแล้ว ท่านได้หันหน้ามาทางประชาชน ท่านยได้กล่าวคำปฏิญาร แล้วพูดขึ้นว่า อัมมา บะอ์ดุ ฉันไม่ได้กลัวว่าสถานที่จะไม่สามารถรองรับพวกท่านได้ แต่ฉันกลัวว่าละหมาดนี้จะถูกกำหนดเป็นฟัรดูเหนือพวกท่าน และพวกท่านไม่สามารถกระทำมันได้ " รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม.
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) เสียชีวิตไป การละหมาดตะรอเวียะฮ์ ได้ดำเนินต่อไปในลักษณะที่ต่างคนต่างละหมาด และเหตุการอย่างนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นในยุคของคอลีฟะห์อะบูบักร์ และในยุคต้นของคอลีฟะห์ อุมัร.
บุคอรีได้รายงานจากอับดิ้รเราะห์มาน บุตร อับดิ้ลกอรีย์ว่า : " ฉันได้ออกไปมัสยิดพร้อมกับอุมัร บุตร คอตตอบ (ร.ด) ในกลางคืนของเดือนรอมาดอน ได้พบว่าผุ้คนกระจัดกระจายหลายพวกมีทั้งคนที่ละหมาดลำพังคนเดียว บางคนละหมาดโดยมีกลุ่มคนละหมาดตามเขา ท่านอุมัรได้กล่าวว่า : ฉันเห็นสมควรว่าถ้าหากพวกเขาละหมาดตามอิหม่ามคนเดียวกัน ก็จะเป็นการดีเลิศ หลังจากนั้นอุมัรจึงได้ตัดสินใจให้ประชาชนละหมาดรวมกัน โดยตามอุบัยย์ บุตร กะอับ หลังจากนั้นฉันได้ออกไปมัสยิดในอีกคืนหนึ่ง ก็ได้พบว่าประชาชนกำลังละหมาดตามอิหม่ามของพวกเขา ท่านอุมัร ได้กล่าวว่า : สิ่งที่ดำริขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ดี ! และช่วงเวลาที่ผู้คนนอนหลับกันนั้นดีกว่าช่วงเวลาที่พวกเขาละหมาด หมายถึงช่วงท้ายของกลางคืน ส่วนประชาชนจะนอนหลับกันในช่วงหัวค่ำ. รายงานโดยบุคอรีในภาค ตะรอเวียะฮ์.
คำของอุมัรที่กล่าวว่า " สิ่งที่ดำริขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ดี " ไม่ได้หมายถึง (สิ่งที่ดำริขึ้นใหม่ในทางศาสนา) ซึ่งหมายถึง การดำริสิ่งที่ไม่เข้าอยู่ในหลักการใดๆของศาสนา แต่หมายถึงสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อรในสมัยของเขาและในสมัยของท่านอะบูบักร์.
แต่มันไปสอดคล้องกับการชี้นำของท่านนบี โดยที่ท่านนบีได้ (ซ.ล) ได้รับรองการละหมาดของเหล่าซอฮาบะห์ที่พวกเขาได้ละหมาดอยู่ข้างหลังท่านสามคืนในมัสยิด และถ้าหากท่านไม่กลัวว่าการละหมาดดังกล่าวจะกลายเป็นฟัรดูเหนือพวกเขา จนพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะปฏิบัติได้แล้ว ท่านนบีก็คงจะละหมาดร่วมกับพวกเขาตลอดไป ความกลัวนี้ได้หายไป เมื่อศาสนาครบถ้วนสมบูรณ์ และวะฮีย์ได้ขาดตอนลง และบัญญัติของศาสนามั่นคงแล้ว ท่านอุมัรเห็นว่าการกระทำของเขานี้ถูกต้อง เพราะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นความสมัครสมานสามัคคี และเพราะการละหมาดรวมกันโดยตามอิหม่ามคนเดียวกันทำให้ผู้ละหมาดมีความขยัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออิหม่ามอ่านอัลกุรอานได้ไพเราะ.
ด้วยเหตุนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ (ญุมฮูร) จึงมีทรรศนะว่า สุนัตให้ละหมาดตะรอเวียะฮ์รวมกันเป็นละหมาดญะมาอะห์ แต่ท่านตอฮาวีย์ จากมัซอับอิหม่ามอะบูอะนีฟะห์ มีทรรศนะว่าการละหมาดตะรอเวียะฮ์รวมกันเป็นละหมาดญะมาอะห์เป็นฟํรดูกิฟายะห์
การนักวิชาการยุคก่อนบางท่านกล่าวว่าละหมาดตะรอเวียะฮ์ที่บ้านประเสริฐกว่านั้น หมายถึงบุคคลที่ละหมาดคนเดียว โดยละหมาดนาน และเขาไม่พบว่ามีที่ใดละหมาดญะมาอะห์นานพอจะดับความกระหายของเขาได้.
แต่ถ้ามีการละหมาดญะมาอะห์นานๆ ที่ดีแล้วเขาก็ควรจะไปละหมาดร่วมกับพี่น้องมุสลิมเพื่อเพิ่มจำนวนคนละหมาดญะมาอะห์ให้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้นัวิชาการในมัซอับชาฟิอีบางท่านกล่าวว่า : ผู้ใดจดจำอัลกุรอาน และไม่กลัวว่าเขาจะขี้เกียจละหมาด และการที่เขาไม่ได้ไปร่วมละหมาดที่มัสยิดเป็นเหตุให้ไม่มีการทำละหมาดญะมาอะห์ การไปละหมาดะมาอะห์ของเขากับการที่เขาละหมาดที่บ้านคนเดียวนั้นมีผลเท่ากัน แต่ถ้ามิได้เป็นเช่นนั้น กล่าวคือเขาไม่ได้จดจำอัลกุรอาน หรือกลัวว่าจะขี้เกียจละหมาด หรือเมื่อเขาไม่ไปละหมาด ก็จะไม่มีการทำญะมาอะห์เกิดขึ้น การไปร่วมละหมาดญะมาอะห์ของเขาจะเป็นการประเสริฐกว่า.
เช่นเดียวกับทรรศนะที่มีมาในเรื่องการละหมาดตะรอเวียะฮ์ของพวกผุ้หยิง ที่ถือว่าการละหมาดตะรอเวียะฮ์ของพวกผู้หญิงภายในบ้านของพวกนางนั้นถือว่าประเสริฐกว่า ที่กล่าวนี้ถ้าหากพวกผู้หญิงนั้นจดจำอัลกุรอานได้ และไม่ขี้เกียจละหมาด เมื่ออยู่ในบ้าน.
ในรายงานของบุคอรีไม่ได้ระบุจำนวนรอกาอัตที่อุบัยย์ บุตร กะอับ ได้ละหมาด, แต่มีทรรศนะที่แตกต่างกันในเรื่องดังกล่าวระหว่างสิบเอ็ด , สิบสาม และยี่สิบสามรอกาอัต คือรวมทั้งละหมาดวิตร์ ท่านฮาฟิซอิบนุฮะญัร อัลอัซกอลานีย์ ได้กล่าวว่า : มีความเป็นไปได้ว่าทรรศนะที่แตกต่างกันนี้เกิดขึ้นจากการอ่านยาวและอ่านสั้น เมื่ออ่านยาวจำนวนรอกาอัตก็น้อยลง และเมื่ออ่านสั้นจำนวนรอกาอัตก็มากขึ้น.
ความจริงก็มีรายงานมาว่าพวกเขามักจะอ่านซูเราะห์ยาวๆ และพวกเขาจะใช้ไม้เท้ายันเพราะยืนนาน.
ในยุคของอุมัร บุตร อับดิ้ลอะซีร ที่นครมะดีนะห์ พวกเขาทำละหมาดกันสามสิบหกรอกาอัต และละหมาดวิตร์อีกสามรอกาอัต.
อิหม่ามมาลิกได้ล่าวว่า : การละหมาดสามสิบหกรอกาอัตเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว สำหรับพวกเรา.
อิหม่ามชาฟิอีได้กล่าวว่า : ฉันเห็นประชาชนละหมาดที่มะดีนะห์สามสิบเก้ารอกาอัต และทีทมักกะห์ยี่สิบสามรอกาอัต และไม่พบว่ามีความคับแคบในการกระทำดังกล่าวเลย.
และเล่าจากชาฟิอีว่า : ถ้าหากพวกเขายืนละหมาดนาน จำนวนรอกาอัตก็จะลดน้อยลง ก็ถือว่าเป็นการดี และถ้าหากพวกเขาละหมาดหลายรอกาอัต พวกเขาก็จะอ่านสั้นๆ ซึ่งก็เป็นการดี เช่นเดียวกัน แต่การกระทำอย่างแรกนั้นฉันชอบมากกว่า.
และชาวสะลัฟบางท่านละหมาดสี่สิบรอกาอัต นอกจากละหมาดวิตร์. ดูรายละเอียดในฟัตฮุ้ลบารีย์ เล่ม 5 หน้า 157 โรงพิมพ์ อัลฮะละบีย์
และไม่ควรที่จะทำให้เกิดความคับแคบในเรื่องดังกล่าว ตามที่ท่านอิหม่ามชาฟิอีได้กล่าวไว้ และไม่ควรจะมีการกล่าวโจมตีซึ่งกันและกันในเรื่องนี้ ตราบที่ละหมาดดำเนินไปด้วยอาการสงบและมีสมาธิ.
·
ดังนั้นผู้ใดละหมาดสิบเอ็ดรอกาอัต เขาก็ได้ปฏิบัติตามการชี้นำของท่านรอซูลลุ้ล
เลาะห์ (ซ.ล) ตามที่พระนางอาอิชะห์ (ร.ด) ที่ได้รายงานว่า :
ท่านนบี (ซ.ล) ไม่เคยละหมาดเกินสิบเอ็ดรอกาอัต ไม่ว่าจะในเดือนรอมาดอนหรือนอกเดือนรอมาดอน . รายงานโดยบุคอรี และท่านอื่นๆ
และเล่าจากญาบิรว่า : ท่านนบี (ซ.ล) ได้ละหมาดกับพวกเขาแปดรอกาอัต หลังจากนั้นได้ละหมาดวิตร์ คือละหมาดอีกสามรอกาอัต.
·
และผู้ใดที่ได้ละหมาดยี่สิบสามรอกาอัต เขาก็ได้รับแบบฉบับมาจากการกระทำ
ในยุคของอุมัร ตามรายงานที่มีมามากมายในเรื่องนี้ และความจริงพวกเราก็ถูกใช้ให้ปฏิบัติตามแนวทางของบรรดาคอลีฟะห์ อัรรอชิดูน ที่ได้รับการชี้นำที่ถูกต้อง.
·
และผู้ใดที่ละหมาดสามสิบเก้ารอกาอัต หรือสี่สิบเอ็ด รอกาอัต เขาก็ได้รับ
แบบฉบับมาจากการกระทำของชาวเมืองมะดีนะห์ในยุคที่ดีที่สุดของประชาชาติอิสลาม โดยท่านอิมหม่ามมาลิก ก็ได้เห็นการกระทำนั้น และท่านได้กล่าวว่า : การกระทำนี้มีมากว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว.
ละหมาดเป็นสิ่งที่ดี โดยไม่มีการระบุจำนวนรอกาอัตที่แน่นอนทั้งในเดือนรอมาดอนและนอกเดือนรอมาดอน. จึงไม่มีความหมายอะไรที่นักวิชาการยุคใหม่บางคนล่าวโจมตีคนที่ละหมาดยี่สิบรอกาอัตว่าเป็นการกระทำที่ขัดกับซุนนะห์ หรือกล่าวโจมตีคนที่ละหมาดแปดรอกาอัตว่าขัดกับตัวบทที่รายงานสืบทอดกันมาจากชาวสะลัฟ และชาวคอลัฟ.
แต่สิ่งที่ควรปฏิเสธอย่างยิ่งก็คือพฤติกรรมการละหมาดที่กระทำอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เสร็จเร็วๆ เหมือนกำลังถูกไม้เรียวไล่หลัง.
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะห์ มีบทสรุปที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในเรื่องบัญญัติละหมาดตะรอเวียะฮ์ ไม่ว่าจะละหมาดกี่รอกาอัตตามที่มีรายงานมาก็ตาม โดยท่านได้กล่าวว่า :
( เป็นที่ปรากฏว่าอุบัยย์ บุตร กะอับ ได้ทำละหมาดร่วมกับประชาชน จำนวนยี่สิบรอกาอัตในเดือนรอมาดอน และได้ละหมาดวิตร์อีกสามรอกาอัต นักวิชาการเป็นจำนวนมากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นซุนนะห์ เพราะเป็นการกระทำท่ามกลางชาวมุฮาญิรีนและชาวอันซอร โดยไม่มีผู้ใดปฏิเสธเลย.
อีกลุ่มหนึ่งเห็นว่าควรจะได้ละหมาดสามสิบเก้ารอกาอัต เพราะเป็นสิ่งที่ชาวเมืองมะดีนะห์ได้กระทำสืบทอดกันมาแต่เก่าก่อน.
และมีพวกหนึ่งกล่าวว่า : ปรากฏในซอเฮียะฮ์ บุคอรี เล่าจากอาอิชะห์ว่าท่านนบี (ซ.ล) ไม่เคยละหมาดเกินสิบเอ็ดรอกาอัต ไม่ว่าจะในรอมาดอนหรือนอกรอมาดอนก็ตาม, แต่พวกเขาก็หวั่นไหวในหลักฐาน เพราะมีรายงานที่ขัดแย้งกับฮะดีษที่ซอเฮียะฮ์บทนี้ ซึ่งได้แนวทางของบรรดาคอลีฟะห์ อัรรอชิดูน (ในเรื่องละหมาดยี่สิบรอกาอัต) และจากการกระทำของมวลมุสลิม (ในเรื่องการละหมาดสามสิบเก้าหรือสี่สิบเอ็ดรอกาอัต).
ตามที่ถูกต้องแล้ว การกระทำดังกล่าวทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ดี ตามที่อิหม่ามอะห์มัดได้ระบุไว้อย่างชัดเจน, และไม่มีการกำหนดจำนวนรอกาอัตในการละหมาดกลางคืนของรอมาดอน, เพราะความจริงท่านนบี (ซ.ล) ไม่ได้ระบุจำนวนรอกาอัตไว้ ดังนั้นการละหมาดหลายๆ รอกาอัต หรือละหมาดน้อยๆ รอกาอัต จึงขึ้นอยู่กับการยืนละหมาดนานหรือยืนสั้นๆ ท่านนบี(ซ.ล) เคยยืนละหมาดนานในตอนกลางคืน ดังปรากฏในฮะดีษซอเฮียะฮ์ จากฮะดีษฮุซัยฟะห์ว่า ท่านนบี (ซ.ล) เคยอ่านในหนึ่งรอกาอัตด้วยซูเราะห์ อัลบะกอเราะห์ อันนิซาอ์ และอาลิอิมรอน ดังนั้นการยืนละหมาดนาน จึงไม่ต้องละหมาดหลายๆรอกาอัต.
อุบัยย์ บุตร กะอับ ขณะที่นำประชาชนละหมาดรวมกัน เขาไม่สามารถยืนละหมาดนานร่วมกับประชาชนได้ เขาจึงละหมาดหลายรอกาอัต เพื่อทดแทนการยืนละหมาดนาน และพวกเขาได้ทวีจำนวนรอกาอัตขึ้นไปอีก เพราะเคยละหมาดในตอนกลางคืนสิบเอ็ดหรือสิบสามรอกาอัต และต่อมาชาวเมืองมะดีนะห์ก็ได้ชดเชยการยืนนาน พวกเขาได้เพิ่มจำนวนรอกาอัตให้มากขึ้น จนถึงสามสิบเก้ารอกาอัต.)
0 ความคิดเห็น