ชดใช้การถือศิลอดเดือนรอมาดอน ฟิดยะห์ และกัฟฟาเราะห์
19:36:00
ใดที่ขาดการถือศิลอดในเดือนรอมาดอน เพราะสาเหตุเดินทางหรือป่วย เขาจำเป็นต้องชดใช้ การถือศิลอดวันที่ขาดนั้นก่อนถึงรอมาดอนของปีถัดไป
ชดใช้การถือศิลอดเดือนรอมาดอน ฟิดยะห์ และกัฟฟาเราะห์
1. คนเดินทางและคนป่วย :
ผู้ใดที่ขาดการถือศิลอดในเดือนรอมาดอน เพราะสาเหตุเดินทางหรือป่วย เขาจำเป็นต้องชดใช้ การถือศิลอดวันที่ขาดนั้นก่อนถึงรอมาดอนของปีถัดไป ถ้าหากเขาไม่ชดใช้โดยมีเหตุจำเป็น จนถึงรอมาดอนปีถัดไปเขาก็มีบาป และจำเป็นต้องชดใช้พร้อมจ่าย ฟิดยะห์ คือต้องจ่ายอาหารที่ใช้บริโภคเป็นส่วนมากในเมืองนั้นเป็นค่าปรับวันละหนึ่งมุดให้แก่คนยากจน และยิ่งจำนวนปีผ่านไปโดยที่เขายังไม่ได้ชดใช้การถือศิลอด จำนวนค่าปรับก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อาหารจำนวนหนึ่งมุด มีปริมาณเท่ากับการใช้มือของคนรูปร่างปานกลางสองข้าง กอบขึ้นมาครั้งหนึ่งเต็มๆ หรือมีน้ำหนักประมาณ 600 กรัม
สำหรับผู้ที่มีอุปสรรคเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นมีอาการป่วยเรื้อรังจนถึงรอมาดอนของปีถัดไป เขาจำเป็นต้องชดใช้เมื่อหายเป็นปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับในเรื่องชดใช้แต่อย่างใด
ถ้าหากเขาเสียชีวิตไปโดยยังไม่ได้ชดใช้การถือศิลอดที่ขาด ซึ่งในเรื่องนี้มีสองกรณีคือ
1.บางทีเขาเสียชีวิตไปก่อนที่จะมีความสามารถชดใช้การถือศิลอดได้
2.หรือเสียชีวิตไปภายหลังจากมีความสามารถจะชดใช้ได้แล้ว แต่เขาละเลยยังไม่ชดใช้
สำหรับกรณีแรกไม่มีบาปในเรื่องนี้ติดตัวเขา เพราะเขาไม่ใช้เป็นผู้ละเลย
ส่วนในกรณีที่สอง เขามีบาป เพราะเขาเป็นผู้ละเลย และสุนัตให้วะลี ของเขาถือศิลอดแทนวันที่เขาขาดการถือศิลอด
คำว่าวะลีในที่นี้หมายถึงญาติของเขาคนใดก็ได้ หลักฐานในเรื่องนี้ ได้แก่ฮาดิษที่บุคอรี ( 1851 ) และมุสลิม ( 1174 ) ได้รายงานจากอะอีชะห์ ( ร.ด ) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้กล่าวว่า :
" ผู้ใดเสียชีวิตไปในสภาพที่มีการถือศิลอดติดอยู่เหนือเขา ให้วะลีของเขาทำการถือศิลอดแทน "
บุคอรี ( 1852 ) และมุสลิม ( 1148 ) รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ได้กล่าวว่า ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ( ซ.ล ) แล้วกล่าวว่า :
" โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ มารดาของข้าพเจ้าเสียชีวิตโดยมีการถือศิลอดหนึ่งเดือนติดตัวอยู่ ข้าพเจ้าจะถือศิลอดชดใช้แทนได้ไหม ? ท่านตอบว่า ได้ หนี้ที่ติดอัลเลาะห์อยู่สมควรต้องชดใช้ยิ่ง "
บุคคลที่ไม่ได้เป็นญาติของผู้ตายจะถือศิลอดแทนผู้ตายไม่ได้ เว้นแต่เมื่อได้ขออนุญาตถือศิลอด แทนจากญาตคนใดคนหนึ่งของผู้ตายเสียก่อน ถ้าหากถือศิลอดแทนโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยผู้ตายไม่ได้สั่งเอาไว้ การถือศิลอดแทนผู้ตายมีผลใช้ไม่ได้
ในกรณีที่ไมมีผู้ใดถือศิลอดแทนผู้ตาย ให้จ่ายเป็นอาหารแทนวันละหนึ่งมุด ส่วนที่จ่ายเป็นอาหารนี้ให้เอามาจากกองมรดกเหมือนการชดใช้หนี้สินที่ต้องเอามาจากกองมรดกของผู้ตายเช่นเดียวกัน ถ้าหากผู้ตายไม่มีมรดก อนุญาตให้จ่ายแทนได้ และถือว่าพ้นตัวผู้ตาย
ติรมีซี ( 817 ) ได้รายงานจาก อิบนุอุมัร ( ร.ด ) ว่า :
" ผู้ใดตายโดยมีการถือศิลอดติดตัวอยู่หนึ่งเดือน ให้มีผู้จ่ายอาหารแทนเขาทุกวันต่อทุกหนึ่งคนยากจน "
และอะบูอาวุด ( 2401 ) ได้รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ว่า :
" เมื่อชายคนหนึ่งป่วยในเดือนรอมาดอน แล้วเขาเสียชีวิต โดยไม่ได้ถือศิลอดให้จ่ายอาหารแทนเขา "
2 . คนชรา คนไร้ความสามารถ และผู้ป่วยที่ไม่มีความหวังว่าจะหาย :
เมื่อคนชราสูงอายุมีความจำเป็นต้องละศิลอด เขาจำเป็นต้องจ่ายอาหารเป็นทานวันละหนึ่งมุดจากอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทาน หลังจากนั้นทั้งตัวเขาและญาตของเขาไม่จำเป็นต้องกระทำใดๆอีก
บุคอรี ( 4235 ) ได้รายงานจาก อะตออ์ ว่า เขาได้ยินอิบนุอับบาส ( ร.ด ) อ่าน :
" และเหนือผู้ที่ ( ไม่ ) มีความสามารถถือศิลอด จ่ายฟิดยะห์ เป็นอาหารแก่คนยากจน " ( อัลบากอเราะห์ 184 ) อิบนุอับบาสได้กล่าวว่า อายะห์นี้ไม่ได้ถูกยกเลิก แต่หมายถึงคนชราสูงอายุทั้งชายและหญิง ที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาจ่ายอาหารแทนทุกวันต่อทุกหนึ่งคนยากจน
และมีสิ่งที่จำเป็นต้องทราบก็คือคนป่วยที่ไม่มีหวังว่าจะหายนั้น ใช้ข้อบังคับอย่างเดียวกับผู้สูงอายุที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ คือให้เขาละศิลอด และจ่ายอาหารแทนวันละหนึ่งมุด จากอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทาน
3. หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่ให้นมทารก :
เมื่อหญิงที่ตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมทารกละศิลอด บางครั้งนางอาจกลัวเป็นอันตรายกับตนเองหรืออาจกลัวเป็นอันตรายกับทารก
ถ้าหากนางกลัวจะเกิดอันตรายกับตนเอง ก็จำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดที่ขาดเท่านั้นก่อนที่รอมาดอนหน้าจะมาถึง
ติรมีซี ( 715 ) และอะบูดาวุด ( 2408 ) และคนอื่น ๆ ได้รายงานจากอะนัส อัลกะอ์บีย์ ( ร.ด ) จากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ว่า :
" ความจริงอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ผ่อนปรนการถือศิลอด และครึ่งหนึ่งของละหมาดให้คนเดินทางและได้ผ่อนปรนการถือศิลอด ให้แก่หญิงมีครรภ์ และหญิงที่ให้นมทารก " คือผ่อนผันให้ย่อละหมาด และละศิลอดพร้อมทั้งต้องชดใช้ภายหลัง
และถ้าหากนางละศิลอดเพราะกลัวจะเป็นอันตรายต่อทารก โดยนางกลัวว่าจะแท้งถ้าหากถือศิลอด หรือกลัวว่าจะมีน้ำนมน้อยไม่พอเลี้ยงทารก นางจำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดในวันที่นางละศิลอดและจำเป็นต้องจ่ายอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทานอีกวันละหนึ่งมุด เป็นทาน
อะบูดาวุด ( 2318 ) รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ว่า :
" เหนือผู้ที่ ( ไม่ ) สามารถถือศิลอด ต้องจ่ายฟิตยะห์ เป็นอาหารแก่คนยากจน " ( อัลบากอเราะห์ 184 ) อิบนุอับบาส กล่าวว่า :
( มันเป็นข้อผ่อนผันสำหรับคนชราทั้งชายและหญิงที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาละศิลอดและจ่ายอาหารแทนทุกวันต่อทุกคนหนึ่งคนยากจน หญิงที่มีครรภ์และหญิงที่ให้นมทารกเมื่อกลัวทารกจะเป็นอันตราย ให้ละศิลอด ( ต้องชดใช้ ) และจ่ายอาหาร )
เหตุที่ทำให้จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ :
คือการทำให้การถือศิลอดในรอมาดอนด้วยการร่วมประเวณี โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ร่วมประเวณีรู้ตัวว่ากำลังถือศิลอด และรู้ว่าการร่วมประเวณีขณะถือศิลอด เป็นสิ่งต้องห้าม ( หะรอม ) และไม่ใช่เป็นผู้ได้รับการการผ่อนผันให้ละศิลอดด้วยการเดินทาง
ดังนั้นถ้าหากผู้ที่ร่วมประเวณีขณะถือศิลอด กระทำไปโดยลืมว่ากำลังถือศิลอด หรือไม่รู้ว่าการร่วมประเวณีขณะถือศิลอดเป็นสิ่งต้องห้าม หรือร่วมประเวณีขณะถือศิลอดอื่นที่ไม่ใช่ในเดือนรอมาดอน หรือจงใจทำให้เสียศิลอดด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่การร่วมประเวณี หรือเป็นผู้เดินทางไกลที่ได้รับการผ่อนผันให้ละศิลอด และเขาได้ร่วมประเวณี ทุกกรณีที่กล่าวมานั้นไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ แต่เขาจำเป็นต้องถือศิลอดชดใช้
ใครที่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ :
สามีที่ร่วมประเวณีขณะถือศิลอดรอมาดอน เป็นผู้จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ส่วนภรรยาหรือหญิงที่ถูกร่วมประเวณีด้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แต่อย่างใดแม้จะถือศิลอดด้วยก็ตาม เพราะความผิดของผู้กระทำหนักกว่า ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่เขาถูกศาสนาบังคับให้จ่ายกัฟฟาเราะห์
กัฟฟาเราะห์คืออะไร :
สำหรับกัฟฟาเราะห์ในกรณีที่ทำให้เสียการถือศิลอดรอมาดอน ด้วยการร่วมประเวณีนั้นคือ ต้องปล่อยทาสทีมีศรัทธาจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้จำนวนหนึ่งคน ถ้าหากไม่มีทาส หรือเขาไม่สามารถจัดหาทาสมาได้ ให้เขาถือศิลอดสองเดือนติดต่อกันไป ถ้าหากเขาไม่มีความสามารถถือศิลอดสองเดือนได้ ให้เขาจ่ายอาหารแก่คนยากจนหกสิบคน คนละหนึ่งมุด เป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่ในเมืองนั้นใช้รับประทาน และถ้าหากไม่มีความสามารถกระทำทุกอย่างที่กล่าวมา กัฟฟาเราะห์ก็จะติดตัวเขาตลอดไปจนกว่าจะสามารถกระทำประการหนึ่งประการใดได้
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษที่บุคอรี ( 1834 ) มุสลิม ( 1111 ) และคนอื่นๆ ได้รายงานจากอะบูฮูรอยเราะห์ ( ร.ด ) ที่กล่าวว่า :
"ขณะที่พวกเรานั่งอยู่กับท่านนบี ( ซ.ล ) นั้นได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ฉันคงพินาศแน่ ท่านถามว่า เจ้าเป็นอะไรหรือ ? เขาตอบว่า ฉันร่วมประเวณีกับภรรยาขณะที่ฉันถือศิลอด ในรายงานหนึ่งว่า ในเดือนรอมาดอน ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าวว่า เจ้ามีทาสที่จะปลดปล่อยไหม ? เขาตอบว่าไม่มี ท่านถามว่า เจ้าจะถือศิลอดสองเดือนติดต่อกันได้ไหม ? เขาตอบว่า ไม่ได้ ท่านถามว่า มีอาหารแจกแก่คนยากจนหกสิบคนไหม ? เขาตอบว่าไม่มี อะบูฮูรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านนบี ( ซ.ล ) นิ่ง ขณะที่พวกเราตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้มีผู้นำตะกร้า ที่สานด้วยใบอินทผาลัม ที่มีอินทผาลัมบรรจุอยู่มาให้ท่านนบี ( ซ.ล ) ท่านกล่าวขึ้นว่า คนที่ถามอยู่ไหน ? เขาตอบอยู่ที่นี่ ท่านกล่าวว่า จงเอานี่ไปและนำไปแจกจ่าย ชายคนนั้นถามว่าแก่คนที่ยากจนกว่าฉันอย่างนั้นหรือ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ? ไม่มีครอบครัวใดระหว่างสอง ฮัรเราะห์ เป็นชื่อเรียกสถานที่ในมะดีนะห์ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหินลาวาสีดำ นี้ยากจนยิ่งกว่าครอบครัวของฉัน ท่านนบี ( ซ. ล ) หัวเราะจนเห็นเขี้ยวของท่าน แล้วท่านก็กล่าวว่า จงนำมันไปเป็นอาหารแก่ครอบครัวของเจ้าเถิด"
ผู้รู้กล่าวว่า : ศาสนาไม่ยินยอมให้คนยากจน ที่สามารถจ่ายอาการเป็นกัฟฟาเราะห์ได้ นำอาหารนั้นไปจ่ายให้ครอบครัวของตน และสิ่งที่เป็นกัฟฟาเราะห์ต่างๆ ก็เช่นกัน ไม่ยินยอมให้จ่ายแก่ครอบครัวของตน เรื่องที่กล่าวในฮาดิษเป็นกรณีพิเศษ ( คุซูซีย์ ) เฉพาะชายคนนั้นเท่านั้น
และอีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือ ผู้ที่ร่วมประเวณีนั้นนอกจากต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แล้ว ยังจำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดในวันที่เขาทำให้เสียด้วยการร่วมประเวณีอีกด้วย และจำนวนกัฟฟาเราะห์จะเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มวันที่เขาทำให้เสียการถือศิลอดด้วยการร่วมประเวณี ดังนั้นถ้าหากเขาร่วมประเวณีขณะถือศิลอดรอมาดอนสองวันเขาจำเป็นจะต้องจ่ายสองกัฟฟาเราะห์ พร้อมทั้งต้องชดใช้การถือศิลอดสองวัน ถ้าหากเขาร่วมประเวณีสามวัน ก็ต้องจ่ายสามกัฟฟาเราะห์ เป็นต้น
เมื่อคนชราสูงอายุมีความจำเป็นต้องละศิลอด เขาจำเป็นต้องจ่ายอาหารเป็นทานวันละหนึ่งมุดจากอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทาน หลังจากนั้นทั้งตัวเขาและญาตของเขาไม่จำเป็นต้องกระทำใดๆอีก
บุคอรี ( 4235 ) ได้รายงานจาก อะตออ์ ว่า เขาได้ยินอิบนุอับบาส ( ร.ด ) อ่าน :
" และเหนือผู้ที่ ( ไม่ ) มีความสามารถถือศิลอด จ่ายฟิดยะห์ เป็นอาหารแก่คนยากจน " ( อัลบากอเราะห์ 184 ) อิบนุอับบาสได้กล่าวว่า อายะห์นี้ไม่ได้ถูกยกเลิก แต่หมายถึงคนชราสูงอายุทั้งชายและหญิง ที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาจ่ายอาหารแทนทุกวันต่อทุกหนึ่งคนยากจน
และมีสิ่งที่จำเป็นต้องทราบก็คือคนป่วยที่ไม่มีหวังว่าจะหายนั้น ใช้ข้อบังคับอย่างเดียวกับผู้สูงอายุที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ คือให้เขาละศิลอด และจ่ายอาหารแทนวันละหนึ่งมุด จากอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทาน
3. หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่ให้นมทารก :
เมื่อหญิงที่ตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมทารกละศิลอด บางครั้งนางอาจกลัวเป็นอันตรายกับตนเองหรืออาจกลัวเป็นอันตรายกับทารก
ถ้าหากนางกลัวจะเกิดอันตรายกับตนเอง ก็จำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดที่ขาดเท่านั้นก่อนที่รอมาดอนหน้าจะมาถึง
ติรมีซี ( 715 ) และอะบูดาวุด ( 2408 ) และคนอื่น ๆ ได้รายงานจากอะนัส อัลกะอ์บีย์ ( ร.ด ) จากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ว่า :
" ความจริงอัลเลาะห์ ตาอาลา ได้ผ่อนปรนการถือศิลอด และครึ่งหนึ่งของละหมาดให้คนเดินทางและได้ผ่อนปรนการถือศิลอด ให้แก่หญิงมีครรภ์ และหญิงที่ให้นมทารก " คือผ่อนผันให้ย่อละหมาด และละศิลอดพร้อมทั้งต้องชดใช้ภายหลัง
และถ้าหากนางละศิลอดเพราะกลัวจะเป็นอันตรายต่อทารก โดยนางกลัวว่าจะแท้งถ้าหากถือศิลอด หรือกลัวว่าจะมีน้ำนมน้อยไม่พอเลี้ยงทารก นางจำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดในวันที่นางละศิลอดและจำเป็นต้องจ่ายอาหารที่คนส่วนใหญ่ใช้รับประทานอีกวันละหนึ่งมุด เป็นทาน
อะบูดาวุด ( 2318 ) รายงานจาก อิบนิอับบาส ( ร.ด ) ว่า :
" เหนือผู้ที่ ( ไม่ ) สามารถถือศิลอด ต้องจ่ายฟิตยะห์ เป็นอาหารแก่คนยากจน " ( อัลบากอเราะห์ 184 ) อิบนุอับบาส กล่าวว่า :
( มันเป็นข้อผ่อนผันสำหรับคนชราทั้งชายและหญิงที่ไม่สามารถถือศิลอดได้ ให้เขาละศิลอดและจ่ายอาหารแทนทุกวันต่อทุกคนหนึ่งคนยากจน หญิงที่มีครรภ์และหญิงที่ให้นมทารกเมื่อกลัวทารกจะเป็นอันตราย ให้ละศิลอด ( ต้องชดใช้ ) และจ่ายอาหาร )
กัฟฟาเราะห์ในรอมาดอน
เหตุที่ทำให้จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ :
คือการทำให้การถือศิลอดในรอมาดอนด้วยการร่วมประเวณี โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ร่วมประเวณีรู้ตัวว่ากำลังถือศิลอด และรู้ว่าการร่วมประเวณีขณะถือศิลอด เป็นสิ่งต้องห้าม ( หะรอม ) และไม่ใช่เป็นผู้ได้รับการการผ่อนผันให้ละศิลอดด้วยการเดินทาง
ดังนั้นถ้าหากผู้ที่ร่วมประเวณีขณะถือศิลอด กระทำไปโดยลืมว่ากำลังถือศิลอด หรือไม่รู้ว่าการร่วมประเวณีขณะถือศิลอดเป็นสิ่งต้องห้าม หรือร่วมประเวณีขณะถือศิลอดอื่นที่ไม่ใช่ในเดือนรอมาดอน หรือจงใจทำให้เสียศิลอดด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่การร่วมประเวณี หรือเป็นผู้เดินทางไกลที่ได้รับการผ่อนผันให้ละศิลอด และเขาได้ร่วมประเวณี ทุกกรณีที่กล่าวมานั้นไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ แต่เขาจำเป็นต้องถือศิลอดชดใช้
ใครที่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์ :
สามีที่ร่วมประเวณีขณะถือศิลอดรอมาดอน เป็นผู้จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ส่วนภรรยาหรือหญิงที่ถูกร่วมประเวณีด้วยนั้น ไม่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แต่อย่างใดแม้จะถือศิลอดด้วยก็ตาม เพราะความผิดของผู้กระทำหนักกว่า ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมแล้วที่เขาถูกศาสนาบังคับให้จ่ายกัฟฟาเราะห์
กัฟฟาเราะห์คืออะไร :
สำหรับกัฟฟาเราะห์ในกรณีที่ทำให้เสียการถือศิลอดรอมาดอน ด้วยการร่วมประเวณีนั้นคือ ต้องปล่อยทาสทีมีศรัทธาจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้จำนวนหนึ่งคน ถ้าหากไม่มีทาส หรือเขาไม่สามารถจัดหาทาสมาได้ ให้เขาถือศิลอดสองเดือนติดต่อกันไป ถ้าหากเขาไม่มีความสามารถถือศิลอดสองเดือนได้ ให้เขาจ่ายอาหารแก่คนยากจนหกสิบคน คนละหนึ่งมุด เป็นอาหารที่คนส่วนใหญ่ในเมืองนั้นใช้รับประทาน และถ้าหากไม่มีความสามารถกระทำทุกอย่างที่กล่าวมา กัฟฟาเราะห์ก็จะติดตัวเขาตลอดไปจนกว่าจะสามารถกระทำประการหนึ่งประการใดได้
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่ฮาดิษที่บุคอรี ( 1834 ) มุสลิม ( 1111 ) และคนอื่นๆ ได้รายงานจากอะบูฮูรอยเราะห์ ( ร.ด ) ที่กล่าวว่า :
"ขณะที่พวกเรานั่งอยู่กับท่านนบี ( ซ.ล ) นั้นได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ฉันคงพินาศแน่ ท่านถามว่า เจ้าเป็นอะไรหรือ ? เขาตอบว่า ฉันร่วมประเวณีกับภรรยาขณะที่ฉันถือศิลอด ในรายงานหนึ่งว่า ในเดือนรอมาดอน ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) กล่าวว่า เจ้ามีทาสที่จะปลดปล่อยไหม ? เขาตอบว่าไม่มี ท่านถามว่า เจ้าจะถือศิลอดสองเดือนติดต่อกันได้ไหม ? เขาตอบว่า ไม่ได้ ท่านถามว่า มีอาหารแจกแก่คนยากจนหกสิบคนไหม ? เขาตอบว่าไม่มี อะบูฮูรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านนบี ( ซ.ล ) นิ่ง ขณะที่พวกเราตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้มีผู้นำตะกร้า ที่สานด้วยใบอินทผาลัม ที่มีอินทผาลัมบรรจุอยู่มาให้ท่านนบี ( ซ.ล ) ท่านกล่าวขึ้นว่า คนที่ถามอยู่ไหน ? เขาตอบอยู่ที่นี่ ท่านกล่าวว่า จงเอานี่ไปและนำไปแจกจ่าย ชายคนนั้นถามว่าแก่คนที่ยากจนกว่าฉันอย่างนั้นหรือ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ? ไม่มีครอบครัวใดระหว่างสอง ฮัรเราะห์ เป็นชื่อเรียกสถานที่ในมะดีนะห์ซึ่งเป็นบริเวณที่มีหินลาวาสีดำ นี้ยากจนยิ่งกว่าครอบครัวของฉัน ท่านนบี ( ซ. ล ) หัวเราะจนเห็นเขี้ยวของท่าน แล้วท่านก็กล่าวว่า จงนำมันไปเป็นอาหารแก่ครอบครัวของเจ้าเถิด"
ผู้รู้กล่าวว่า : ศาสนาไม่ยินยอมให้คนยากจน ที่สามารถจ่ายอาการเป็นกัฟฟาเราะห์ได้ นำอาหารนั้นไปจ่ายให้ครอบครัวของตน และสิ่งที่เป็นกัฟฟาเราะห์ต่างๆ ก็เช่นกัน ไม่ยินยอมให้จ่ายแก่ครอบครัวของตน เรื่องที่กล่าวในฮาดิษเป็นกรณีพิเศษ ( คุซูซีย์ ) เฉพาะชายคนนั้นเท่านั้น
และอีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือ ผู้ที่ร่วมประเวณีนั้นนอกจากต้องจ่ายกัฟฟาเราะห์แล้ว ยังจำเป็นต้องชดใช้การถือศิลอดในวันที่เขาทำให้เสียด้วยการร่วมประเวณีอีกด้วย และจำนวนกัฟฟาเราะห์จะเพิ่มขึ้นเมื่อเพิ่มวันที่เขาทำให้เสียการถือศิลอดด้วยการร่วมประเวณี ดังนั้นถ้าหากเขาร่วมประเวณีขณะถือศิลอดรอมาดอนสองวันเขาจำเป็นจะต้องจ่ายสองกัฟฟาเราะห์ พร้อมทั้งต้องชดใช้การถือศิลอดสองวัน ถ้าหากเขาร่วมประเวณีสามวัน ก็ต้องจ่ายสามกัฟฟาเราะห์ เป็นต้น
0 ความคิดเห็น