การประกันภัยในทรรศนะของอิสลาม

11:12:00


การประกันภัยในทรรศนะของอิสลาม

สภานิติศาสตร์อิสลาม ขององค์การสันนิบาตโลกอิสลาม

ในการประชุมครั้งที่หนึ่ง มติที่ห้า



ภายหลังจากได้ทำการศึกษาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องดังกล่าว สภานิติศาสตร์อิสลามได้มีมติ(ยกเว้นเชคมุสตอฟา อัซซัรกอ)  ว่าการประกันภัยทุกชนิดเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิต หรือประกันสินค้า หรืออื่นๆ เพราะมีหลักฐานดังนี้

หนึ่ง/ ข้อตกลงประกันภัย ถือเป็นข้อตกลงที่มีการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้เอาประกันไม่สามารถทราบขณะทำการตกลงถึงวงเงินที่จะต้องจ่ายหรือที่จะได้รับ บางทีเขาอาจจ่ายหนึ่งงวดหรือสองงวดแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาก็จะได้รับสิ่งที่บริษัทประกันภัยได้ให้สัญญาไว้ และบางทีอาจไม่เกิดอุบัติเหตุเลย ผู้เอาประกันก็จะต้องจ่ายเบี้ยประกันทั้งหมด โดยเขาไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย  เช่นเดียวกับบริษัทประกันภัยก็ไม่สามารถกำหนดวงเงินที่ต้องจ่าย และที่ได้รับของทุกข้อตกลงได้อย่างเอกเทศ มีหลักฐานปรากฏในฮะดีษซอเฮียะฮ์ จากท่านนบี (ซ.ล.) ว่า
نهي عن بيع الغرر
“ ห้ามการแลกเปลี่ยนที่มีความไม่แน่นอน ”

สอง/ ข้อตกลงประกันภัย ถือเป็นการพนันชนิดหนึ่ง เพราะมีความเสี่ยงในทรัพย์สินที่แลกเปลี่ยน และเป็นการเสียทรัพย์โดยไม่ได้ทำความผิดใดๆ หรือไม่ได้เป็นเหตุในการทำความผิด และถือเป็นการได้ทรัพย์มาโดยไม่มีการแลกเปลี่ยน หรือมีการแลกเปลี่ยนที่ไม่คู่ควรกัน  เพราะผู้เอาประกันอาจจ่ายเบี้ยประกันเพียงหนึ่งงวดแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น อันเป็นเหตุให้เขาได้รับการชดเชยจากบริษัทเต็มจำนวนวงเงินที่ได้ทำประกันไว้ หรืออาจไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆเลย และพร้อมกันนั้น ผู้เอาประกันก็จะถูกริบเบี้ยประกันไปโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทน และเมื่อมีความไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นการพนัน และเข้าอยู่ในข้อห้ามเรื่องการพนัน ที่อยู่ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลา ว่า
{ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِنَّمَا الْخَمْرُ وَالْمَيْسِرُ وَالأَنصَابُ وَالأَزْلاَمُ رِجْسٌ مِّنْ عَمَلِ الشَّيْطَانِ فَاجْتَنِبُوهُ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ }
“โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย สุรา การพนัน สัตว์ที่ถูกเชือดบูชารูปเคารพ และการเสี่งทายด้วยลูกธนูนั้นเป็นสิ่งโสมมที่เกิดจากการกระทำของชัยตอน” (ซูเราะห์ที่ 5 อายะห์ที่ 90)

สาม/ สัญญาประกันภัยครอบคลุมริบา อัลฟัดล์ (ดอกเบี้ยที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมกัน)และริบาอันนะซีอะห์ (ดอกเบี้ยที่เกิดจากความได้เปรียบเสียเปรียบด้านเวลา) เพราะเมื่อบริษัทประกันได้จ่ายให้แก่ผู้เอาประกัน หรือแก่ทายาทของเขา หรือแก่ผู้รับประโยชน์มากกว่าเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันได้จ่ายให้แก่บริษัทประกัน ก็ถือว่าเป็นริบาอัลฟัดล์ และที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้เอาประกัน ภายหลังระยะเวลาหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นริบา อันนะซีอะห์  และถ้าหากบริษัทประกันจ่ายคืนให้แก่ผู้เอาประกันเท่ากับที่เขาจ่ายเบี้ยประกันให้แก่บริษัท ก็เป็นริบา อันนะซีอะห์  แต่เพียงอย่างเดียว และริบาทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ที่มีตัวบทชัดเจน และเป็นมติเอกฉันท์ (อิจมาอ์)

สี่/ สัญญาประกันภัย เป็นการวางเดิมพัน (ริฮาน) ที่ต้องห้าม (ฮะรอม) อีกเช่นกัน เพราะการประกันภัยและการวางเดิมพันนั้น เป็นสิ่งที่ไม่รู้ได้แน่นอนและเสี่ยง อิสลามไม่อนุญาตการวางเดิมพัน นอกจากในสิ่งที่จะทำให้อิสลามเกิดความเข้มข็งและได้ชัยชนะ ท่านนบี(ซ.ล.) ได้จำกัดการผ่อนผันให้มีการเดิมพัน โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยนในสามประการซึ่งอยู่ในคำพูดของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ว่า

"لا سبق إلا في خف أو حافر أو نصل"
“ไม่มีการวางเดิมพันในการแข่งขัน นอกจากในสัตว์ที่มีเท้าแบบอูฐ หรือมีเท้าแบบม้า หรือในการแข่งขันยิงธนู”

การประกันภัยไม่อยู่ในสามประการดังกล่าว และไม่เหมือนกับสามประการนั้น จึงถือเป็นการวางเดิมพันที่ต้องห้าม (ฮะรอม)

ห้า/ สัญญาประกันภัย มีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น โดยไม่มีสิ่งตอบแทนในข้อตกลง ที่เป็นการต่างตอบแทน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม)เพราะเข้าอยู่ในข้อห้าม ดังคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาที่ว่า
{ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا لاَ تَأْكُلُوا أَمْوَالَكُمْ بَيْنَكُمْ بِالْبَاطِلِ إِلاَّ أَن تَكُونَ تِجَارَةً عَن تَرَاضٍ مِّنكُمْ وَلاَ تَقْتُلُوا أَنفُسَكُمْ إِنَّ اللّهَ كَانَ بِكُمْ رَحِيمًا }
“ โอ้ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย อย่ากินทรัพย์ของพวกเจ้า ในระหว่างพวกเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม นอกจากเป็นการแลกเปลี่ยน ที่เกิดจากความพอใจของพวกเจ้า และอย่าสังหารชีวิตของพวกเจ้า เพราะความจริงอัลเลาะห์ทรงเมตตายิ่งต่อพวกเจ้า”    (ซูเราะห์ที่ 4 อายะห์ที่ 29)

หก/ ในสัญญาประกันภัยมีการบังคับในสิ่งที่ศาสนาไม่ได้บังคับ เพราะบริษัทประกันภัยไม่ใช่เป็นผู้ที่ก่อให้เกิดภัยขึ้น และไม่ใช่เป็นต้นเหตุให้เกิดภัยขึ้น เพราะบริษัทประกันภัยเพียงแต่ทำสัญญากับผู้เอาประกันว่า จะประกันภัยที่สมมติว่าจะเกิดขึ้น แลกเปลี่ยนกับเงินจำนวนหนึ่งที่ผู้เอาประกันต้องจ่ายให้แก่บริษัท โดยบริษัทไม่ได้ทำงานให้แก่ผู้เอาประกันเลย จึงเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม)

ส่วนหลักฐานของใยผู้อนุญาตให้ประกันภัยได้โดยไม่มีข้อแม้ หรืออนุญาตให้เป็นบางชนิดนั้น สามารถโต้ตอบได้ดังนี้

(ก) การอ้างหลักฐานว่าการประกันภัยเป็นสิ่งที่เห็นกันว่าดี (الاستصلاح) นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งที่เห็นกันว่าดีนั้นในหลักการศาสนาแบ่งออกเป็นสามแผนก

แผนกที่หนึ่ง ศาสนายืนยันให้นำมาพิจารณา   จึงจะถือว่านำมาใช้เป็นหลักฐานได้

แผนกที่สอง ศาสนาไม่ได้กล่าวถึง และไม่ได้มีการยืนยันว่าให้ล้มเลิก และไม่ได้มีการยืนยันว่าให้นำมาพิจารณา ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน (مصلحة مرسلة) และนี่เป็นหัวข้อที่นักวิชาการวินิจฉัย จะได้ทำการวินิจฉัยกัน

แผนกที่สาม สิ่งที่ศาสนายืนยันว่าให้ล้มเลิก และเมื่อข้อตกลงการเอาประกันภัยมีสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้แน่นอน มีการเสี่ยง เป็นการพนัน และเป็นริบา(ดอกเบี้ย) จึงเป็นสิ่งที่ศาสนายืนยันว่าให้ล้มเลิก  เพราะมีผลเสียมากกว่าจะมีผลดี

(ข) การอ้างหลักการที่ว่า “แต่เดิมนั้นทุกสิ่งเป็นที่อนุมัติ(ฮะลาล)” (الإباحة الأصلية)   ถือว่าเป็นการอ้างหลักฐานที่ไม่เหมะสมในเรื่องนี้ เพราะข้อตกลงประกันภัยนั้น มีหลักฐานยืนยันว่าขัดแย้งกับหลักฐานจากอัลกุรอานและซุนนะห์  การปฏิบัติตามหลักการที่ว่า “แต่เดิมนั้นทุกสิ่งเป็นที่อนุมัติ(ฮะลาล)” มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่มีสิ่งที่ปฏิเสธกับหลักการเดิมนั้น แต่ในเรื่องนี้พบว่ามี   ดังนั้นการนำเอาหลักการ “แต่เดิมนั้นทุกสิ่งเป็นที่อนุมัติ(ฮะลาล)” มาอ้างจึงรับฟังไม่ได้.

(ค) การอ้างหลักการที่ว่า “ ความคับขันทำให้สิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) กลายเป็นสิ่งอนุมัติ    (ฮะลาล)   (الضرورات تبيح المحظورات) เป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้องในเรื่องนี้ เพราะหนทางที่อัลเลาะห์ ตาอาลาอนุมัติให้ประกอบอาชีพนั้น มีมากมายเป็นหลายเท่าของการประกอบอาชีพที่อัลเลาะห์ห้าม  ดังนั้นจึงไม่มีความคับขันตามบัญญัติศาสนา ที่จะอนุญาตการประกันภัย

(ง) การนำเอาธรรมเนียมปฏิบัติ (العرف) มาเป็นหลักฐานในเรื่องนี้ ก็ถือว่าใช่ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะธรรมเนียมปฏิบัติไม่ใช่หลักฐานในการบัญญัติข้อกำหนด(ฮุก่ม)ของศาสนา  ที่จริงแล้วหลักธรรมเนียมปฏิบัติจะนำไปใช้ในการปฏิบัติข้อกำหนดของศาสนา (ไม่ใช่นำไปใช้ในการบัญญัติข้อกำหนดของศาสนา) และจะถูกนำไปใช้ในการทำความเข้าใจกับความหมายของคำ และสำนวนที่ผู้คนใช้กันในคำสาบาน ในคำฟ้องร้อง ในคำบอกเล่า และสิ่งที่ต้องการกำหนดเป้าหมายของการกระทำและคำพูด ดังนั้นหลักธรรมเนียมปฏิบัติจึงไม่มีผลใดๆ ในสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว และสิ่งที่มีจุดมุ่งหมายแน่นอนแล้ว  ความจริงมีหลักฐานชัดเจนแล้วที่ห้ามธุรกิจประกันภัย จึงไม่อาจนำเอาหลักธรรมเนียมปฏิบัติมาแย้งกับหลักฐานที่ชัดเจนได้

(จ) การอ้างหลักฐานว่า ข้อตกลงประกันภัยเป็นข้อตกลงร่วมลงทุน ( (المضاربةหรือในความหมายเดียวกันนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะเงินทุนในข้อตกลงร่วมลงทุน  ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทุน ส่วนเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันได้จ่ายให้แก่บริษัทประกันภัยนั้น จะหลุดพ้นไปจากกรรมสิทธิ์ของเขา ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทประกันภัย ตามระเบียบของธุรกิจการประกันภัย  และเพราะเงินลงทุนในการร่วมลงทุนจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทเจ้าของทุนขณะเมื่อเขาเสียชีวิต ส่วนในการประกันภัยนั้นทายาทอาจมีสิทธิ์ตามระเบียบที่จะได้รับวงเงินที่ทำประกันไว้ ถึงแม้เจ้ามรดกของเขาจะจ่ายเบี้ยประกันไปเพียงงวดเดียวเท่านั้นก็ตาม และทายาทอาจไม่มีสิทธิ์ได้รับอะไรเลย ถ้าหากผู้เอาประกันได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวผู้เอาประกัน และทายาทของตน และเพราะผลกำไรของการลงทุนนั้น จะแบ่งกันระหว่างหุ้นส่วนทั้งสองฝ่ายตามสัดส่วนที่ได้ตกลงกันไว้ ต่างกับการประกัน ที่ทั้งผลกำไรและขาดทุนนั้นเป็นของบริษัท ไม่ใช่เป็นของผู้เอาประกันนอกจากวงเงินประกัน หรือจำนวนเงินที่ไม่ได้ถูกกำหนดแน่นอน

(ฉ)  การอนุมานข้อตกลงประกันภัยกับข้อตกลงที่คนสองคนตกลงช่วยเหลือกัน  ในกรณีที่ต้องจ่ายสินไหมในคดีฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  และให้มีสิทธิรับมรดกจากกัน  (ولاء الموالاة)   ในทัศนะของผู้ที่อ้างการอนุมานนี้  เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่าง  ส่วนหนึ่งของข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองก็คือ  ข้อตกลงประกันภัยมีเป้าหมายอยู่ที่ผลกำไรทางด้านวัตถุ  ที่มีความเคลือบแคลง  เป็นการพนันและเป็นสิ่งที่ไม่รู้แน่ชัด ซึ่งแตกต่างกับข้อตกลงช่วยเหลือกันที่เป้าหมายแรกคือ  สถาปนาความเป็นพี่น้องกันในอิสลาม  การช่วยเหลือกันและร่วมมือกัน  ทั้งในยามเดือดร้อนในยามสุขสบายและในทุกสภาพ  การได้ทรัพย์สินถือเป็นเป้าหมายรอง

(ซ)  การอนุมานข้อตกลงประกันภัยกับสัญญาผูกมัดตัวเอง  (الوعد الملزم) ในทัศนะของผู้ที่อ้างการอนุมานนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างกัน  ส่วนหนึ่งของข้อแตกต่างก็คือ  การสัญญาว่าจะให้ยืมเงินหรือให้ขอยืมสิ่งของ หรือสัญญารับภาระการขาดทุน เป็นต้น   ถือเป็นความดีงาม  ดังนั้นการปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญา  ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ)  หรือเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ  ซึ่งต่างกันข้อตกลงประกันภัย  เพราะเป็นธุรกิจต่างตอบแทน  ที่มีแรงกระตุ้นอยู่ที่ผลกำไรทางวัตถุ  จึงไม่ยอมผ่อนผันให้ในเรื่องที่ยอมผ่อนผันให้ได้ในเรื่องของการเสียสละที่มีความเสี่ยงและความไม่รู้

(ฎ)  การอนุมานข้อตกลงประกันภัย  กับการค้ำประกันสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร  และค้ำประกันในสิ่งที่ไม่จำเป็น  เป็นการอนุมานที่ไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างกัน ส่วนหนึ่งของข้อแตกต่างก็คือ  การค้ำประกันเป็นการเสียสละประเภทหนึ่ง  ที่มีเป้าหมายเป็นการทำความดีเพียงประการเดียว  ต่างกับการประกันภัยที่เป็นข้อตกลงต่างตอบแทนทางธุรกิจ  เป้าหมายแรกคือผลกำไร  ถ้าหากจะมีความดีอยู่บ้างก็ถือเป็นเป้าหมายรองไม่ใช่เป็นเป้าหมายหลัก  ข้อกำหนดของศาสนามีว่าให้รักษาตัวหลักไม่ใช่รักษาตัวรอง ตราบที่ตัวรองไม่ใช่เป็นเป้าหมายโดยตรง

 (ฏ)  การนำเอาข้อตกลงประกันภัย  ไปอนุมานกับการประกันภัยอันตรายในการเดินทาง  ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างกัน  ดังได้กล่าวมาแล้วในหลักฐานก่อน

(ฐ)  การอนุมานข้อตกลงประกันภัยกับระเบียบเกษียณอายุ  ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างเช่นเดียวกัน  ทั้งนี้เพราะเงินบำนาญเป็นสิทธิที่ผู้มีอำนาจ (คือรัฐ) ที่จะผูกมัดตนเอง  ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบ  ต่อประชาชน  และดูแลการจ่ายเงินบำนาญตราบที่ข้าราชการทำหน้าที่รับใช้ประชาชน  และเป็นผู้วางระเบียบในเรื่องบำนาญ  เพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของผู้ใกล้ชิดที่สุดกับข้าราชการ และพิจารณาถึงความต้องการพึ่งพาพวกเขาดังนั้นระเบียบบำนาญไม่ใช่เป็นเรื่องของการตอบแทนทางการเงิน  ระหว่างรัฐกับข้าราชการของรัฐ  ดังนั้นระเบียบบำนาญจึงไม่เหมือนกับระบบประกันภัย  ที่เป็นเรื่องของข้อตกลงต่างตอบแทนทางการเงิน  ที่มีเป้าหมายอยู่ที่บริษัทแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ผู้เอาประกัน  และแสวงหากำไรจากผู้เอาประกันด้วย  ด้วยแนวทางที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา  เพราะเงินบำนาญที่จ่ายให้ข้าราชการในขณะเกษียณอายุ  ถือเป็นสิทธิผูกพันจากรัฐที่รับผิดชอบประชาชน  เพื่อตอบแทนความดีของเขา  และเป็นความร่วมมือกับเขาเพื่อตอบแทนความร่วมมือของเขาที่ให้กับรัฐ  ทั้งด้วยร่างกาย  สติปัญญา  ความคิดและใช้เวลาว่างของเขาในการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญ

(ฑ) การอนุมานระบบประกันภัย  และข้อตกลงประกันภัย  กับระบบที่เครือญาติต้องจ่ายค่าสินไหม  (ดิยะห์)  แทนญาติที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา  ไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างกัน  ส่วนหนึ่งจากข้อแตกต่างกันก็คือ  หลักในการรับภาระจ่ายค่าสินไหมของญาติ  แทนญาติที่ฆ่าคนตายโดยผิดพลาด  หรือกึ่งเจตนานั้นก็คือ  ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างญาติกับคนที่ฆ่าคนตายโดยผิดพลาด หรือกึ่งเจตนา  เป็นสิ่งที่เรียกร้องไปสู่การช่วยเหลือ  ความร่วมมือ  และการทำความดี  แม้จะไม่มีสิ่งตอบแทนใดๆ  แต่ข้อตกลงประกันภัยเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่ดำรงอยู่บนหลักต่างตอบแทนทางทรัพย์สินเพียงประการเดียว  ไม่ใช่เพราะเวทนาสงสาร  และสายใยของความเป็นญาติที่คอยกระตุ้น

(ฒ) การอนุมานข้อตกลงประกันภัยกับข้อตกลงเฝ้ายาม  ไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างกันอีกเช่นเดียวกัน  ส่วนหนึ่งจากความแตกต่างกันก็คือ  ความปลอดภัยไม่ใช่หัวข้อสำคัญในข้อตกลงของทั้งสองประเด็น  แต่หัวข้อสำคัญของความปลอดภัยในการประกันภัยก็คือ  เบี้ยประกันและวงเงินประกัน ส่วนในเรื่องการเฝ้ายามก็คือค่าจ้างและการทำงานของคนยาม  ส่วนความปลอดภัยนั้นก็คือเป้าหมายและผลลัพธ์  เพระถ้ามิเช่นนั้น  คนยามก็จะไม่มีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างเมื่อมีของหาย

(ณ) การอนุมานการประกันภัยกับการฝากของ  ไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการอนุมานที่มีข้อแตกต่างกัน  เพราะค่าจ้างในการฝากของเป็นค่าตอบแทนการทำงานของผู้รับฝากที่ซื่อสัตย์  ที่ดูแลรักษาสิ่งที่อยู่ในความดูแลของตน  ต่างกับประกันภัย เพราะเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันจ่าย  บริษัทประกันภัยไม่ได้ทำอะไรเป็นการตอบแทน  และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ  ตกกับผู้เอาประกัน  เพราะมันเป็นการค้ำประกันความปลอดภัย  และความมั่นใจ  การตั้งเงื่อนไขค่าตอบแทนการค้ำประกัน  ใช้ไม่ได้  แต่กลับทำให้ข้อตกลงเป็นโมฆะ  และถ้าจะถือว่าวงเงินประกันแลกเปลี่ยนกับเบี้ยประกันที่จ่ายเป็นงวดๆ  ก็จะกลายเป็นเรื่องต่างตอบแทนทางการค้า  ที่กำหนดวงเงินประกันหรือเวลาอยู่ในเรื่องต่างตอบแทน  จึงต่างจากข้อตกลงฝากของที่มีค่าตอบแทน

(ด) อนุมานการประกันกับธรรมเนียมปฎิบัติของพ่อค้าผ้ากับคนเย็บผ้า  ถือว่าใช้ไม่ได้  ข้อแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นก็คือ  สิ่งที่ถูกนำไปเทียบเป็นการประกันภัยแบบร่วมมือกัน  ซึ่งเป็นการร่วมมือเพียงอย่างเดียว  ส่วนตัวเทียบคือ  ธุรกิจการประกันภัย  ที่เป็นการค้าต่างตอบแทน ดังนั้นการอนุมานจึงใช้ไม่ได้  ดังที่สภานิติศาสตร์ลงมติเป็นเอกฉันท์  ซึ่งสอดคล้องกับมติของสภานักวิชาการ(อุลามาอ์)อาวุโส  ในราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย  ที่ (51) วันที่  4/4 ฮ.ศ. 1397  ที่อนุญาตการประกันภัยแบบร่วมมือกัน  แทนธุรกิจประกันภัยที่ต้องห้าม  (ฮะรอม)  ตามที่ได้กล่าวถึงไว้  เพราะมีหลักฐานดังต่อไปนี้

หนึ่ง  / การประกันภัยแบบร่วมมือกัน  เป็นข้อตกลงเสียสละบริจาค  (ทำบุญ)  ที่มีเป้าหมายหลักอยู่ที่ความร่วมมือกันกระจายความเสี่ยง  และร่วมกันรับผิดชอบขณะที่เกิดภัยขึ้น  โดยวิธีการให้บุคคลต่างๆ  ลงขันกันด้วยเงินจำนวนหนึ่งตามที่ได้ตกลงกันไว้  เพื่อให้การช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสบภัย  ดังนั้นกลุ่มที่ก่อตั้งการประกันภัยแบบร่วมมือกัน  จึงไม่มีเป้าหมายทางการค้าและกำไร  จากทรัพย์สินของผู้อื่น  แต่มีจุดประสงค์ที่จะเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างพวกเขา  และร่วมมือกันรับผิดชอบความเสียหายของสมาชิกในกลุ่ม

สอง  / การประกันภัยแบบร่วมมือกันโดยปราศจากดอกเบี้ย  (ริบา)  ทั้งสองชนิดคือ  ริบาอัลฟัดล์และริบาอันนะซีอะห์  ดังนั้นข้อตกลงของสมาชิกในกลุ่มจึงไม่ใช่ข้อตกลงที่มีดอกเบี้ย  และไม่มีการนำเงินที่รวบรวมได้ไปหาประโยชน์ในธุรกิจที่มีดอกเบี้ย

สาม  / การที่สมาชิกกลุ่มไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  และทางกลุ่มต้องรับผิดชอบเท่าไร  หรือไม่รู้ว่าจะได้รับประโยชน์เท่าไร  ถือว่าไม่มีผลเสียหายในการร่วมมือ  เพราะสมาชิกแต่ละคนสละทรัพย์สินเป็นการบริจาคทำบุญจึงไม่มีความเสี่ยง  ไม่มีการฉ้อฉล  และไม่เป็นการพนัน  ต่างกับธุรกิจประกันภัย  ที่เป็นธุรกิจต่างตอบแทนด้วยทรัพย์สิน

สี่  / กลุ่มสมาชิกหรือตัวแทน  ดำเนินการลงทุนด้วยค่าสมาชิกที่ลงขันกัน  เพื่อทำให้เป้าหมายของการก่อตั้งความร่วมมือเป็นจริงขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการโดยไม่มีค่าจ้าง  (คือทำเอาบุญ)  หรือมีค่าจ้างตอบแทนก็ตาม.

และสภานิติศาสตร์เห็นว่าการประกันภัยแบบร่วมมือกันนี้  สามารถจัดตั้งขึ้นในรูปแบบสหกรณ์ประกันภัยที่มีการร่วมมือกันได้  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

หนึ่ง  / ต้องใช้ปรัชญาความคิด  เศรษฐกิจแบบอิสลาม  ที่ปล่อยให้ภาคเอกชนรับผิดชอบการดำเนินงานในโครงการทางเศรษฐกิจต่างๆ  ส่วนบทบาทของภาครัฐนั้น  จะเป็นเพียงให้การสนับสนุนในส่วนที่ภาคเอกชนไม่สามารถดำเนินการได้  เช่นให้คำแนะนำ  ควบคุม  เพื่อความสำเร็จของโครงการต่างๆ  และดำเนินการที่ถูกต้อง

สอง  / ต้องปฏิบัติตามแนวคิดหรือความร่วมมือกันในการประกันภัย  ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้ผู้ที่ร่วมมือกันในโครงการมีอิสระในด้านการทำงาน  และกลไกการการปฏิบัติงาน และการรับผิดชอบบริหารโครงการ

สาม  / ฝึกอบรมบุคลากร  ให้มีความสามารถดำเนินกิจการประกันภัยแบบร่วมมือกัน  และกระตุ้นให้มีความตื่นตัว  ที่จะออกห่างความเสี่ยงต่างๆ ที่พวกเขาจะร่วมมือกันยกภาระค่าชดเชยออกไป  ซึ่งเป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่พวกเขาตามมา  ในการทำให้การประกันภัยแบบร่วมมือกันเป็นผลสำเร็จ  เพราะการออกห่างการเสี่ยงภัย  จะช่วยลดส่วนในการลงขันให้น้อยลงในอนาคต  แต่ถ้าหากมีภัยเกิดขึ้นมาก  ก็จะทำให้พวกเขาต้องรับภาระลงขันมากขึ้นในอนาคต  เช่นเดียวกัน

สี่  / รูปแบบของการหุ้นส่วนที่นำมาลงขันกันจะไม่ทำให้การประกันภัยเป็นเหมือนการยกให้  หรือการให้ของขวัญจากรัฐแก่ผู้ที่เอาประโยชน์จากการประกัน  แต่ถือว่าเป็นการที่รัฐเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับพวกเขาเท่านั้น  เพื่อปกป้องคุ้มครองและช่วยเหลือพวกเขา  โดยถือว่าพวกเขาเป็นเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริง  และนี่จะเป็นสิ่งที่ได้รับการตอบรับอย่างมาก  เพราะผู้เข้าร่วมจะรู้สึกถึงบทบาทของรัฐ  และขณะเดียวกันบทบาทของรัฐจะผ่อนผันพวกเขาพ้นจากความรับผิดชอบ

ทางสภานิติศาสตร์อิสลามเห็นว่าควรจะกำหนดหลักการรายละเอียด  เพื่อดำเนินการประกันภัยแบบร่วมมือกันบนหลักการต่อไปนี้

หนึ่ง  / องค์การประกันภัยแบบร่วมมือกัน  ควรจัดตั้งศูนย์ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วทุกเมือง  และองค์กรควรมีหลายแผนก  ตามภัยอันตรายที่ต้องการครอบคลุมและตามสายอาชีพต่างๆ  ที่เข้าร่วมมือกัน  ดังนั้นอาจมีแผนกประกันสุขภาพ  มีแผนกประกันทุพพลภาพและชราภาพ  ฯลฯ  หรืออาจมีแผนกประกันพ่อค้าเร่ แผนกนักเรียนนักศึกษา  และอีกแผนกหนึ่งสำหรับผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ  เช่นวิศวกร  นายแพทย์  และทนายความ  เป็นต้น

สอง  / องค์การประกันภัยแบบร่วมมือกัน  จะต้องห่างไกลจากการดำเนินการในรูปแบบที่ยุ่งยาก

สาม  / องค์การประกันภัยแบบร่วมมือกัน  ต้องมีคณะกรรมการระดับสูง  ที่จะต้องกำหนดนโยบายการทำงาน  และเสนอให้ออกกฎกระทรวง  และระเบียบต่างๆ  ที่จำเป็น เพื่อใช้บังคับเมื่อสอดคล้องกับหลักศาสนา

สี่  / รัฐจะต้องคัดเลือกผู้แทนเข้ามาร่วมในคณะกรรมการชุดนี้  และฝ่ายสมาชิกก็จะต้องคัดเลือกผู้แทนเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการ  ในคณะกรรมการชุดใหญ่  เพื่อช่วยเหลือรัฐในการควบคุมกิจการ  และเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า  การดำเนินการสามารถดำเนินไปได้เป็นอย่างดี  และเพื่อป้องกันความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น

ห้า  / เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเกินกว่ารายได้ของกองทุน  ที่อาจทำให้จำเป็นต้องเพิ่มเงินลงขัน  ทางรัฐและผู้ร่วมลงขัน  ก็จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น  ทางสภานิติศาสตร์อิสลาม  ขอสนับสนุนหลักการที่สภานักวิชาการ(อุลามาอ์)อาวุโสของราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย  ที่ได้เสนอมาในการยืนยันดังกล่าว  โดยให้มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้  เป็นผู้ทำหน้าที่กำหนดรายละเอียดต่างๆของเรื่องนี้ขึ้น
                                                             อัลเลาะห์ทรงรอบรู้



                                                             ถามตอบเรื่องตะกาฟุล
ตามแบบ วะกาละห์

1- ตะกาฟุลคืออะไร ?

ตอบ – ความหมายตามหลักภาษาหมายถึงการช่วยเหลือ และอุปการะซึ่งกันและกัน
ในที่นี้หมายถึงเงินกองทุนที่สมาชิกตะกาฟุลร่วมมือกันบริจาค เพื่อช่วยเหลือกันในยามที่ได้รับความเดือดร้อน หรือช่วยเหลือผู้รับประโยชน์ตามที่สมาชิกตะกาฟุลกำหนด หรือเพื่อช่วยเหลือกันตามวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่ขัดหลักศาสนา

2- ตะกาฟุลเมืองไทยใช้หลักการทางศาสนาดำเนินการอย่างไร ?
ตอบ- ใช้หลักการศาสนาดังนี้
· “ วะกาละห์ บิ้ล อัจริ ”(الوكالة بالأجر)   คือหลักการมอบอำนาจให้ตัวแทนไปดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง พร้อมจ่ายค่าจ้าง
· “  ตะบัรรุอ์ ”(التبرع)   คือหลักการบริจาค
· “ ฮิบะห์ ” (الهبة)   คือหลักการยกให้

3-ในทางปฏิบัติตามหลักการศาสนาจะทำอย่างไร ?

ตอบ – สมาชิกตะการฟุลมอบอำนาจให้กองทุนตะกาฟุลไปบริหารจัดการกองทุนตะกาฟุลให้เป็นไปตามวัตถุปะสงค์ในการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมจ่ายเงินค่าจ้างบริหารจัดการตามที่กำหนด โดยหักจากเงินสมทบตะกาฟุลจากบัญชีสมาชิก

สมาชิกตะกาฟุลบริจาค(ตะบัรรุอ์)เงินสมทบตะกาฟุล  ให้แก่กองทุนตะกาฟุล
เมื่อเกิดความเดือดร้อน ประสบภัย หรือเสียชีวิต หรือครบสัญญาตะกาฟุล กองทุนตะกาฟุลจะมอบเงิน(ฮิบะห์) อย่างน้อยเท่ากับจำนวนเงินหลักประกันตะกาฟุล และเงินปันผลพิเศษถ้ามี ให้แก่สมาชิกตะกาฟุลหรือผู้รับประโยชน์แล้วแต่กรณี

4- เงินฮิบะห์ที่กองทุนตะกาฟุลมอบให้แก่ผู้รับประโยชน์เป็นมรดกหรือไม่ ?
ตอบ- ไม่เป็นมรดก เพราะเงินที่สมาชิกตะกาฟุลจ่ายสมทบให้แก่กองทุนตะกาฟุลนั้นเป็นเงินบริจาค(ตะบัรรุอ์) ที่ขาดตอนจากกรรมสิทธิ์ของสมาชิกตะกาฟุลผู้นั้นไปแล้ว เงินที่ทางกองทุนตะกาฟุลมอบให้จึงเป็นเงินฮิบะห์ที่ไม่ใช่เป็นมรดก

5- เงินสมทบตะกาฟุลที่สมาชิกบริจาค(ตะบัรรุอ์)เข้ากองทุนตะกาฟุลนั้นนำไปใช้ทำอะไร ?
ตอบ – เงินสมทบตะกาฟุล ที่สมาชิกบริจาค(ตะบัรรุอ์) เข้ากองทุนตะกาฟุลนั้นจะนำไปจัดสรรดังนี้

· บัญชีสมาชิก หมายถึงเงินสมทบตะกาฟุลที่ได้บริจาคไว้ ซึ่งเงินสะสมทรัพย์นี้ หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะนำไปลงทุนตามหลักศาสนา โดยจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน

· บัญชีพิเศษสมาชิก  หมายถึงเงินสมทบตะกาฟุลส่วนที่เป็นเงินบริจาคของสมาชิกตะกาฟุล โดยสะสมเป็นกองทุนกลาง เพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการมอบหลักประกันเป็นฮิบะห์ให้แก่สมาชิกตะกาฟุลที่เข้าร่วมในหลักการตะกาฟุลทั้งหมด เงินสมทบตะกาฟุลตามบัญชีนี้จะต้องนำไปฝากไว้กับธนาคารอิสลาม.

6- เงินสมทบตะกาฟุลในบัญชีสมาชิกจะนำไปลงทุนอย่างไร ?
ตอบ- จะนำไปลงทุนตามช่องทางที่ศาสนาอิสลามอนุมัติ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการตะกาฟุลที่จะทำการพิจารณาและอนุมัติในแต่ละช่องทางการลงทุน

7- กองทุนตะกาฟุลโดยบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จะทำตะกาฟุล(Retakaful) ต่อหรือไม่ ?
ตอบ- โดยหลักของตะกาฟุลจะต้องมีการกระจายความร่วมมือไปยังกองทุนตะกาฟุลอื่นๆด้วย เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเพื่อทำให้การตะกาฟุลสามารถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การทำตะกาฟุลต่อ (Retakaful)  จะต้องทำกับกองทุนตะกาฟุลที่ปฏิบัติถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามเท่านั้น.


You Might Also Like

0 ความคิดเห็น

Popular Posts

featured Slider

Popular Posts

Like us on Facebook

ต่อไปนี้คือแบบฉบับของมวลมนุษยชาติ ที่เรามีความภูมิใจไว้นำเสนอ เพื่อให้เยาชนมุสลิมของเราได้ศึกษาและยึดถือเป็นแบบอย่าง และดำเนินชีวิตในท่ามกลางแสงสว่างจากการชี้นำของพวกเขา

Flickr Images



บทเรียนสั้นๆเหล่านี้กล่าวถึงเรื่อง “อุลูมุ้ลกุรอาน” ที่เราต้องการนำเสนอแก่กุลบุตรกุลธิดาของเรา ก่อนที่พวกเขาจะศึกษาวิชา “ตัฟซีร” เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ข้อมูลที่นักวิชาการทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ได้นำเสนอไว้ เพื่อรับใช้อัลกุรอาน