คำนิยาม การบัญญัติ และเคล็ดลับ ( ฮิกมะห์ ) การถือศิลอด
19:04:00การถือศิลอด
คำนิยาม การบัญญัติ และเคล็ดลับ
( ฮิกมะห์ ) การถือศิลอด
คำนิยาม :
อัซซิยาม ตามหลักภาษา : หมายถึง
การอดกลั้น ไม่ว่าจะเป็นการอดกลั้นคำพูด หรือการอดกลั้นอาหาร
หลักฐานในเรื่องนี้ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์
ตาอาลา ที่เล่าถึงมัรยัมว่า :
( ฉันได้บนบานว่าจะอดกลั้นไม่พูดจา
เพื่อผู้ทรงเมตตายิ่ง )
( มัรยัม 26 )
อัซซิยาม : ตามหลักศาสนา หมายถึง
การอดกลั้นไม่กระทำการใดๆ ที่จะทำให้เสียการถือศิลอดตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนตะวันลับขอบฟ้า
พร้อมด้วยเนียต
ประวัติการบัญญัติให้ถือศิลอด
:
การถือศิลอดในเดือนรอมาดอน
ถูกบัญญัติให้เป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ในเดือนชะอฺบาน ปีฮิจเราะห์ที่สอง ก่อนหน้านั้นการถือศิลอดได้เป็นสิ่งที่รู้กันในประชาชาติยุคก่อนๆ
เป็นอย่างดีอยู่แล้ว และในหมู่ชาวคัมภีร์ที่อยู่ในสมัยเดียวกับท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
( ซ.ล ) อัลเลาะห์ ตาอาลา ทรงตรัสว่า
( ผู้มีศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย การถือศิลอดได้ถูกกำหนดเป็นหน้าที่เหนือพวกเจ้า
เช่นเดียวกับที่ได้กำหนดเหนือบุคคลในยุคก่อนพวกเจ้ามาแล้ว แน่นอนพวกเจ้าจะมีคุณธรรม
) ( อัลบากอเราะห์ 183 )
แต่การกำหนดให้ถือศิลอดในเดือนรอมาดอนนั้น
ยังไม่เคยถูกบัญญัติมาก่อนเลย ประชากรของท่านนบีมุฮำหมัด ( ซ.ล ) กับประชากรในยุคก่อนๆมีส่วนร่วมกันในการถือศิลอดเท่านั้น
แต่การกำหนดให้ถือศิลอดในเดือนรอมาดอนโดยเฉพาะนั้น เกิดแก่ประชากรของท่านนบีมุฮำหมัด
( ซ.ล ) เพียงประชาชาติเดียว
หลักฐานในการบัญญัติให้ถือศิลอดเดือนรอมาดอน
:
หลักฐานในการบัญญัติให้การถือศิลอดในรอมาดอนเป็นหน้าที่จำเป็น
( ฟัรดู ) ได้แก่คำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลา ที่ว่า :
( เดือนรอมาดอน เป็นเดือนที่กรุอานถูกประทานลงมาเป็นทางนำแก่มวลมนุษย์
เป็นคำแจกแจง ที่มาจากแนวทางถูกต้องและแยกสัจจธรรม ออกจากความมดเท็จ ดังนั้นคนใดในหมู่พวกท่านที่ปรากฏตัวอยู่
( ไม่ได้เดินทาง ) ในเดือนนี้ให้เขาจงถือศิลอดเถิด ) ( อัลบากอเราะห์ 185 )
และได้แก่คำดำรัสของท่านนบี
( ซ.ล ) ที่ว่า :
( อิสลามถูกตั้งอยู่บนหลักห้าประการ ได้แก่ปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้
นอกจากอัลเลาะห์เท่านั้น และว่ามูฮำหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์ ดำรงละหมาด จ่ายซะก๊าต
ประกอบพิธีฮัจย์ และถือศิลอดในเดือนรอมาดอน ) รายงานโดย บุคอรี ( 8
) มุสลิม ( 6 ) และท่านอื่นๆ
ข้อกำหนดของผู้ที่ไม่ถือศิลอดในเดือนรอมาดอนโดยไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ
:
เมื่อการถือศิลอดเดือนรอมาดอน เป็นเสาหลักสำคัญประการหนึ่งของอิสลาม
และเป็นหน้าที่จำเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ผู้ปฏิเสธการถือศิลอดว่าไม่ใช่เป็นหน้าที่
( ฟัรดู ) ที่ต้องปฏิบัติ ผู้นั้นสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม หมายความว่าให้ปฏิบัติต่อเขาในฐานะเป็นมุรตัด
ให้เรียกตัวมาเพื่อทบทวนให้สำนึกผิด ( เตาบัต ) ถ้าหากเขาสำนึกผิดให้ยอมรับการสำนึกผิดของเขา
และถ้าเขาไม่สำนึกผิด ก็จะถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าเขาไม่ใช่เป็นผู้ที่เพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ๆ
หรือเขาอยู่ห่างไกลผู้รู้ ส่วนผู้ที่ๆไม่ถือศิลอดโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธการถือศิลอดว่าไม่ใช่เป็นหน้าที่
( ฟัรดู ) ที่เขาต้องปฏิบัติ เช่นเขาพูดว่า การถือศิลอดเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ฉันไม่ปฏิบัติ
ดังนี้ถือว่าเขาเป็นคนละเมิด เป็นคนชั่ว ไม่ถึงขั้นการสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม และถือเป็นหน้าที่ของผู้นำมุสลิมจะต้องคุมขังเขา
และให้เขางดอาหารและเครื่องดื่มในเวลากลางวันเพื่อให้เขาได้ถือศิลอด แม้เป็นเพียงรูปภายนอกก็ตาม
เคล็ดลับ
( ฮิกมะห์ ) และคุณประโยชน์บางประการของการถือศิลอด :
มุสลิมทุกคนต้องทราบก่อนว่า การถือศิลอดเดือนรอมาดอนเป็นอิบาดะห์ที่อัลเลาะห์กำหนดให้เป็นหน้าที่ต้องปฏิบัติ
ความหมายที่ว่าเป็นอิบาดะห์ ก็คือมุสลิมจะต้องน้อมรับมาปฏิบัติด้วยความเต็มใจในฐานะเป็นบ่าวของอัลเลาะห์
โดยไม่ต้องมองไปที่ผลลัพธ์ของการถือศิลอดว่าจะให้ผลแก่เขาเป็นประการใดเมื่อได้ปฏิบัติเช่นนี้แล้ว
ก็ไม่ขัดข้องที่จะมองดู และพิจารณาเคล็ดลับต่างๆของพระเจ้าที่แฝงไว้กับการถือศิลอด
และอิบาดะห์อื่นๆ ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าข้อกำหนดต่างๆ ของอัลเลาะห์ทั้งหมดนั้นมีเคล็ดลับแฝงอยู่และเป็นคุณประโยชน์แก่บ่าวของพระองค์
แต่ไม่บังคับให้บ่าวของพระองค์ต้องรับรู้คุณประโยชน์และเคล็ดลับเหล่านั้น
เป็นที่แน่นอนว่าในการถือศิลอดนั้น ย่อมมีคุณประโยชน์และเคล็ดลับแฝงอยู่มากมาย
ซึ่งบางส่วนก็ได้รับการเปิดเผยแล้ว แต่คงเหลืออีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย
และส่วนหนึ่งที่ได้รับการเปิดเผยแล้วก็คือ :
1. การถือศิลอดที่ปฏิบัติถูกต้อง จะปลุกและเร่งเร้าจิตใจของมุสลิมให้เกิดสำนึกขึ้นว่าตนเองถูกควบคุม
และติดตามดูพฤติการณ์จากอัลเลาะห์ ตาอาลา ทั้งนี้เพราะในเวลากลางวันผู้ที่ถือศิลอดจะเกิดความหิวและกระหาย
เขาเกิดความหยากอาหารและเครื่องดื่ม แต่ความรู้สึกของเขาที่ว่ากำลังถือศิลอดอยู่จะขัดขวางเขาไว้ไม่ให้เขากระทำตามความต้องการและตามจิตปรารถนา
เพื่อสนองคำบัญชาของอัลเลาะห์เจ้า และในช่วงของการต่อสู้กันนี้ หัวใจของเขาจะตื่น ความสำนึกว่าถูกควบคุมและติดตามดูพฤติการณ์
จากอัลเลาะห์ ตาอาลา เพิ่มสูงขึ้น เขาจะรำลึกอยู่เสมอถึงความยิ่งใหญ่และเกรียงไกรของพระองค์
และจะรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเขาเป็นบ่าวที่ต้องยอมรับและสนองตอบคำบัญชาของพระองค์
2 . เดือนรอมาดอนเป็นเดือนศักศิทธิ์และสำคัญยิ่ง ที่อัลเลาะห์ให้บ่าวของพระองค์บรรจุความดีและกุศลต่างๆ
ให้เต็มทั้งเดือนและเพื่อทำให้ความหมายของความเป็นบ่าวของอัลเลาะห์ เป็นจริงขึ้นมา
ซึ่งการดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นได้ยาก ตราบที่ยังมีสำรับอาหารและถาดเครื่องดื่มวางอยู่เบื้องหน้ากระเพาะเต็มไปด้วยอาหารที่คอยรบกวนสมาธิและมันสมอง
การถือศิลอดในเดือนนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ภารกิจและหน้าที่ของความเป็นบ่าวสมบูรณ์
3.
การถือศิลอดจะช่วยขัดเกลาและขำระนิสัยที่หยาบกร้านตลอดจนความเห็นแก่ตัวให้นุ่มนวลและลดน้อยลง
4 . หลักสำคัญที่ทำให้สังคมมุสลิมเจริญรุ่งเรืองก็คือการที่มุสลิมมีความเอื้ออาทรและเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน
เป็นการยากที่คนรวยจะเกิดมีความเมตตาสงสารคนยากจนอย่างแท้จริงขึ้นได้ โดยไม่มีความเจ็บปวดของความขัดสน
และความขืนขมของความหิวโหยมาสลับฉากความร่ำรวย และความอิ่มหนำสำราญ ดังนั้นการถือศิลอดในเดือนรอมาดอน
จะเป็นตัวกระตุ้นและเร่งเร้าคนรวยให้มีความเมตตาและสงสารคนยากจนได้ดีที่สุด
การเข้าสู่เดือนรอมาดอน
จะเข้าสู่เดือนรอมาดอน ด้วยประการหนึ่งจากสองประการดังต่อไปนี้
:
หนึ่ง : เห็นหิลาล ( ดวงจันทร์เสี้ยว ) ในเวลากลางคืนของวันที่สามสิบ
( หมายถึงวันที่ยี่สิบเก้าค่ำลง ) ของเดือนชะบาน ทั้งนี้โดยมีพยานที่มีคุณธรรมหนึ่งคนมายืนยันต่อหน้ากอดี
ว่าตนได้เห็นดวงจันทร์เสี้ยวแล้ว
สอง
: ครบเดือนชะบานสามสิบวัน ในกรณีที่เห็นดวงจันทร์เสี้ยวได้ลำบากเพราะมีเมฆบดบังหรือไม่มีพยานทีมีคุณธรรมมาให้การยืนยันว่าตนได้เห็นเดือนเสี้ยวแล้ว
ดังนั้นให้ปล่อยเดือนชะบานไปจนครบสามสิบวัน เพราะถือว่าเป็นต้นเดิมเมื่อไม่มีอะไรมาโต้แย้งเป็นอย่างอื่น
หลักฐานในทั้งสองประการนี้
: ได้แก่คำของท่านนบี ( ซ.ล ) ที่ว่า :
“ ท่านทั้งหลายจงถือศิลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว และจงละศิลอดเพราะเห็นเดือนเสี้ยว
ดังนั้นถ้าหากมีเมฆเกิดขึ้นเหนือพวกท่าน ก็ให้พวกท่านปล่อยเดือนชะบานให้ครบสามสิบวันเถิด” รายงานโดยบุคอรี ( 1810 ) และมุสลิม ( 1080 )
“ เล่าจากอิบนิอับบาส ( ร.ด ) ได้กล่าวว่า มีชาวอาหรับจากชนบทคนหนึ่งมาหาท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
( ซ.ล ) แล้วพูดขึ้นว่า แท้จริงฉันเห็นเดือนเสี้ยวของรอมาดอน ท่านกล่าวว่า เจ้าจะปฏิญาณได้ไหมว่าไม่พระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้นอกจากอัลเลาะห์
เท่านั้น เขาตอบว่า ครับ ท่านกล่าวอีกว่า เจ้าจะปฏิญาณได้ไหมว่า มุฮำหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์
เขาตอบว่าได้ครับ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ จึงกล่าวขึ้นว่า บิลานเอ๋ย เจ้าจงประกาศให้ประชาชนทราบเถิดว่า
พวกเขาจงถือศิลอดในวันพรุ่งนี้” อิบนุฮิบบานกล่าวว่าเป็นฮาดิษซอเฮียะฮ์ ( มะวาริด ซอมอาน 870 ) และฮากิม ( 1/ 424 )
เมื่อเห็นเดือนเสี้ยวในเมืองหนึ่งชาวเมืองใกล้เคียงจำเป็นต้องถือศิลอดตามชาวเมืองในเมืองที่เห็นด้วย
แต่ชาวเมืองที่ห่างไกลกันไม่จำเป็นต้องถือศิลอดตาม เพราะเมืองที่ใกล้กัน เช่น ดามัสกัด
ฮิมด์ และฮะลับ มีสภาพเหมือนเป็นเมืองเดียวกัน ซึ่งไม่เหมือนกับเมืองที่ไกลๆ กัน เช่น
ดามัสกัด ไคโร และมักกะห์
หลักที่ใช้ในการพิจารณาว่าเป็นเมืองที่ไกลกันก็คือมีมัตละอ์
( ตำแหน่งขึ้นตกของดวงอาทิตย์ ) ต่างกัน
หลักฐานในเรื่องดังกล่าว :
ฮาดิษ ที่มุสลิม ( 1087 ) ได้รายงานจากกุรัยบ์ ว่า :
ข้าพเจ้าได้เข้าสู่รอมาดอนขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองชาม
ข้าพเจ้าเห็นเดืนเสี้ยวในคืนวันศุกร์ หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เดินทางมาที่เมืองมะดีนะห์
ในตอนปลายเดือนนั้น อิบนุอับบาส ( ร.ด ) ได้ถามข้าพเจ้าว่า พวกท่านเห็นเดือนเสี้ยวเมื่อไหร่? ข้าพเจ้าว่า พวกเราเห็นเดือนเสี้ยวในคืนวันศุกร์ เขาถามอีกว่า
ท่านเห็นมันด้วยหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ถูกแล้ว และประชาชนก็เห็นมัน พวกเขาได้ถือศิลอด
และมุอาวียะห์ ก็ได้ถือศิลอด เขากล่าวขึ้นว่า พวกเราเห็นมันคืนวันเสาร์ ดังนั้นเราจะต้อถือศิลอดเรื่อยไปจนกว่าจะครบสามสิบวัน
หรือจนกว่าเราจะเห็นมัน ฉันถามว่า ท่านยังไม่พอหรือที่มุอาวียะห์เห็นและถือศิลอด เขาตอบว่า
ไม่ ดังที่กล่าวนี้ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ( ซ.ล ) ได้ใช้พวกเรา .
ผู้รู้กล่าวว่า : ในกรณีของชาวเมืองที่อยู่ไกล
ที่ยังไม่จำเป็นต้องถือศิลอดนั้น ถ้าหากมีคนจากเมืองที่เห็น เดินทางไปยังเมืองที่อยู่ไกล
ให้เขาถือศิลอดตามชามเมืองนั้น แม้ตัวเขาเองจะถือศิลอดครบสามสิบวันแล้วก็ตาม เพราะการที่เขาเดินทางไปยังเมืองนั้นทำให้เขากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองนั้นไป
ข้อบังคับที่ใช้อยู่กับชาวเมืองนั้นก็จะต้องนำมาใช้บังคับเขาด้วยเช่นกัน ส่วนคนที่เดินทางไปจากเมืองที่ยังไม่เห็นฮิลาล
ไปยังเมืองที่เห็นฮิลาลกันแล้ว ให้เขาออกจากการถือศิลอดพร้อมกับชาวเมืองนั้น โดยไม่คำนึงว่าเขาจะถือศิลอดได้ยี่สิบแปดวัน
เพราะเดือนนั้นอาจเป็นเดือนขาดที่มียี่สิบเก้าวัน หรือเขาถือศิลอดได้ยี่สิบเก้าวัน
เพราะเดือนนั้นอาจเป็นเดือนเต็มที่มีสามสิบวัน ก็ตาม แต่ในกรณีที่เขาถือศิลอดได้เพียงยี่สิบแปดวันนั้นเขาจำเป็นต้องถือศิลอดชดใช้
( กอดออ์ ) อีกหนึ่งวัน เพราะเขายังถือศิลอดไม่ครบเดือนทั้งนี้เพราะเดือนอาหรับจะไม่มียี่สิบแปดวัน
อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่ายี่สิบเก้าวัน และอย่างมากไม่เกินสามสิบวัน
คนหนึ่งออกเดินทางจากเมืองที่กำลังเป็นอีด
ไปยังเมืองหนึ่งอยู่ห่างไกลและชาวเมืองกำลังถือศิลอดกัน เขาจำเป็นต้องอดอาหาร ( อิมซาก
) ตลอดวันนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับชาวเมืองนั้น
0 ความคิดเห็น