พวงตัสบีฮ์ ซุนนะห์หรือบิดอะห์ ???
ฮะดีษสะอัด บุตร อะบีวักกอส (ร.ด) ว่าตัวเขาพร้อมด้วยท่านนบี(ซ.ล) ได้เข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง
โดยเบื้องหน้าของผู้หญิงคนนั้นมีเม็ดอินทผลัมหรือก้อนกรวดที่นางใช้นับตัสบีฮ์ ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้กล่าวขึ้นว่า : ฉันจะบอกเธอถึงสิ่งที่สะดวกแก่เธอยิ่งกว่านี้และประเสริฐกว่าการทำอย่างนี้
? เธอจงกล่าวว่า :
มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลเลาะห์เท่าจำนวนสิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้ในชั้นฟ้า
มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลเลาะห์เท่าจำนวนสิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้ในหน้าแผ่นดิน
และมหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลเลาะห์เท่าจำนวนสิ่งที่พระองค์เป็นผู้สร้าง
และอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่
เท่ากันนั้น
และไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะห์เท่านั้น เท่ากันนั้น
และไม่มีพลังอำนาจ
และการเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากโดยพระองค์อัลเลาะห์
เท่ากันนั้น.
รายงานโดยฮากิม และฮากิมกล่าวว่าเป็นฮะดีษซอเฮียะฮ์
และท่านซะฮะบีย์ มความเห็นพ้องด้วย
เป็นการยากที่จะกำหนดเวลาให้แน่นอนลงไปอย่างละเอียดว่า
การเปลี่ยนลูกปัดที่ใช้แขวนคอมาเป็นพวงตัสบีฮ์
เพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนานั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคใด นอกจากจะกล่าวได้เพียงว่าความคิดเรื่องพวงตัสบีฮ์นั้นมีเค้าโครงมาจากพวกสุมาเรี่ยนก่อน
(5000) ปี
และแนวคิดนี้ได้ถ่ายถอดไปสู่อารยธรรมอื่นเช่นวัฒนธรรมอียิปต์โราณในยุคฟาโรห์ วัฒนธรรมอินเดีย และเปอร์เชีย และวัฒนธรรมต่อๆ
มา
มนุษย์ในยุคโบราณได้ใช้วิธีการขัดถูและปรับวัสดุที่จะนำมาใช้เป็นลูกปัด และขึ้นให้เป็นรูปทรงต่างๆ
เช่นรูปทรงกลม หรือรูปทรงอื่นๆ ต่อมาก็มีการเจาะรูลูกปัด
และนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันเป็นพวงด้วยเส้นเชือก
และนี่ถือเป็นก้าวแรกของแนวคิดในการนำลูกปัดมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ
ความคิดในการร้อยเรียงลูกปัดให้เป็นเส้นยาวๆ ได้ก้าวเข้าสูารนำลูกปัดมาใช้ทางจิตวิญญาณหรือทางศาสนา.
นักวิชาการบางคนกล่าวว่า : ลูกปัดหรือพวงตัสบีฮ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากอินเดีย
โดยพวกฮินดูได้นำมาใช้เป็นเวลานานแล้วเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ
สำหรับชาวอาหรับยุคก่อนอิสลามนั้นพวกเขามีวิธีการอย่างอื่นในการคิดคำนวณและในการนับจำนวน
พวกเขาจะนับและคิดคำนวณโดยการใช้ก้อนกรวดและก้อนหินเพื่อให้ได้จำนวนที่แน่นอน
คือถือเอาผลลัพธ์จากจำนวนก้อนกรวดที่มีอยู่ในครั้งสุดท้าย. และนี่คือวิธีการของคนทั่วๆ
ไป.
ชาวอาหรับใช้การนับและคำนวณด้วยการนับก้อนกรวดเล็กๆ
ในเบื้องต้น ทั้งที่พวกเขามีความแตกฉานในวิชาคำนวณ วิชาเลขคณิต
และวิชาสถิติซึ่งถูกบันทึกไว้ในยุคต่อมานับตั้งแต่ยุคอารยธรรมอาหรับและอิสลาม. ชาวอาหรับก่อนยุคอิสลามรู้จักสร้อยคอ
และพวงลูกปัด และได้นำมาใช้สอยกัน
ตรงจุดนี้เองที่พวกเราพบช่องทางที่นำไปสู่การนำลูกปัดมาใช้ในยุคอิสลามอย่างสอดคล้องกัน.และสมควรที่จต้องกล่าวถึงการใช้พวงตัสบีฮ์
ในอิสลามโดยไม่คำนึงว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอื่น
หรือเป็นความคิดริเริ่มของมุสลิมเอง. เป็นการนำมาใช้ที่ไม่มีผลเสียหายใดๆ
ต่อศาสนาอิสลาม
ซึ่งก็อาจมีผู้ตำหนิการใช้พวงตัสบีฮ์อยู่บ้างมาโดยตลอดในหลายศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน.
พวงตัสบีฮ์กับมุสลิมและการอนุญาตให้นำมาใช้
สำหรับเป้าหมายต่างๆ
ทางศาสนาในยุคแรกของศาสนาอิสลามนั้น ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้นับตัสบีฮ์ด้วยองคุลีนิ้วมือของท่านเอง
และท่านได้ส่งเสริมให้กระทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับที่ท่านให้การรับรองการนับตัสบีฮ์ด้วยเม็ดอินทผลัม
ดังปรากฏในฮะดีษสะอัด บุตร อะบีวักกอส ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น.
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้ให้การรับรองการกระทำของสตรีคนดังกล่าว
โดยท่านไม่ได้ปฏิเสธ เป็นการชี้ชัดให้พวกเราได้ทราบถึงเป้าหมายของการใช้คือการ ”นับ” และ “จำนวน” ฮะดีษนี้ได้ชี้ให้พวกเราเห็นจำนวนอันมากมายในคำพูดของท่านที่ว่า
: “ เท่าจำนวนสิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้ในชั้นฟ้า
และในหน้าแผ่นดิน, เท่าจำนวนสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้น, และเท่าจำนวนสิ่งที่พระองค์สร้าง
“ แล้วใครจะเป็นผู้ทราบจำนวนแท้จริงของสิ่งเหล่านี้ได้.
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าท่านอะบู อัดดัรดาอ์, อะบูฮุรอยเราะห์, สะอัด
บุตร อะบี วักกอส และอะบูซอฟียะห์ ก็มีเม็ดอินทผลัมและก้อนกรวดไว้นับในการตัสบีฮ์
ด้วยเช่นกัน.
ด้วยเหตุนี้นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า : การนับตัสบีฮ์ ด้วยองคุลีนิ้ว
ประเสริฐกว่าการใช้พวงตัสบีฮ์ เพราะท่านนบี (ซ.ล) ได้กระทำเช่นนั้น
แต่มีนักวิชาการบางท่านได้ให้ข้อสังเกตว่าที่กล่าวนั้นเป็นกรณีที่ผู้ตัสบีฮ์จะไม่ผิดพลาดในการนับจำนวนครั้งของตัสบีฮ์,
ส่วนคนตัสบีฮ์ที่นับไม่ผิดพลาดนั้นมีน้อย.
ด้วยเหตุนี้นักวิชาการบางท่านจึงกล่าวว่า : ที่ดีแล้วสำหรับผู้ที่ตัสบีฮ์คราวละมากๆ
เช่นหนึ่งพันหรือหลายๆพัน ควรจะใช้พวงตัสบีฮ์นับจำนวนที่เขาตัสบีฮ์เป็นประจำ
โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปนับองคุลีนิ้วเพราะจะทำให้เกิดความพะวง ส่วนการใช้พวงตัสบีฮ์นั้นจะทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิ.
การอ้างอิงหลักฐานนี้
ได้มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งนำไปอ้างเป็นหลักฐานว่าอนุญาตให้ใช้พวงตัสบีฮ์ได้
โดยอาศัยฮะดีษการนับลูกกรวดและเม็ดอินทผลัม และด้วยการรับรองของท่านนบี (ซ.ล)ในเรื่องดังกล่าวโดยท่านไม่ได้ปฏิเสธ
ทั้งนี้เพราะไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่างการนับเม็ดอินทผลัมเป็นเม็ดๆ
หรือการนับเม็ดที่นำมาร้อยเป็นพวงแล้ว และยืนยันได้ด้วยการกระทำของชาวสลัฟ (คนในยุคสามร้อยปีที่นบีรับรองไว้) อีกทั้งไม่มีรายงานจากสะลัฟ
และคอลัฟ (คนในยุคหลังสามร้อยปี)คนใดห้ามใช้พวงตัสบีฮ์
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาส่วนใหญ่ยังใช้พวงตัสบีฮ์ นับอีกด้วย
และไม่เห็นว่าการใช้พวงตัสบีฮ์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด. มีรายงานว่าผู้รู้บางคนใช้พวงตัสบีฮ์นับตัสบีฮ์ของเขา ได้มีผู้ถามเขาว่า :
ท่านกลัวอัลเลาะห์จะโกงท่านหรือ ? ผู้รู้ท่านนั้นกล่าวว่า :
เปล่า ! แต่ฉันนับมันไว้เพื่ออัลเลาะห์.
และเพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวงตัสบีฮ์
ให้กลับไปไดูหนังสืออัลฮาวีย์ของอิหม่ามซุยูตีย์
ท่านได้เขียนสารฉบับหนึ่งอธิบายว่าอนุญาตให้ใช้พวงตัสบีฮ์ได้
โดยอ้างอิงฮะดีษที่มีาในเรื่องนี้
และรายงานที่ถ่ายทอดจากการกระทำของพวกสะลัฟที่มีคุณธรรม.
สำหรับในยุคปัจจุบันนี้มีทรรศนะของเชค อับดุลอะซีซ
บินบาซ มุฟตีแห่งราชอาราจักรซาอุดิอาระเบีย รอฮิมะฮุ้ลลอห์
ได้ตอบคำถามเรื่องพวงตัสบีฮ์ผ่านรายการวิทยุ “นูร อะลัดดัรบ์” ว่า : “ ไม่เป็นไรที่จะใช้พวงตัสบีฮ์
ในการนับตัสบีฮ์
แต่การใช้องคุลีนิ้วนับตัสบีฮ์นั้นประเสริฐกว่าเพราะมีตัวบทอยู่ในฮะดีษ “
ชนิดและจำนวนเม็ดของพวงตัสบีฮ์ ในปัจจุบัน
พวงตัสบีฮ์ ส่วนใหญ่ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีทั้งชนิดที่มี
33 และ 99 เม็ด
ที่เป็นเช่นนั้นเป็นการบ่งชี้ถึงอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ?
พวงตัสบีฮ์ ชนิดที่มี 99 เม็ด ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
แต่มันเกิดขึ้นจากเจตนาที่จะให้สอดคล้องกับจำนวนพระนามอันงดงามของอัลเลาะห์ 99
พระนามนั่นเอง, และสอดคล้องกับจำนวนที่ศาสนาต้องการให้กล่าวคำตัสบีฮ์,
ตะฮ์มีด และตักบีร ชนิดละ 33 ครั้งภายหลังละหมาดฟัรดู
ส่วนมากแล้วพวงตัสบีฮ์ชนิดนี้จะเรียกว่า พวงตัสบีฮ์ทางศาสนา
เพราะมีจำนวนเท่ากับพระนามของอัลเลาะห์อันงดงาม.
ส่วนพวงตัสบีฮ์ ชนิดที่มี 33 เม็ดนั้น พวกเขาต้องการทำให้พวงตัสบีฮ์สั้นลง
จากที่เคยมี 99 เม็ด
อีกทั้งทำให้มีน้ำหนักเบา และขนาดเล็กลง พวงที่มี 33 เม็ดนั้นเมื่อนับสามครั้งก็จะได้จำนวน
99 เหมือนกัน และครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่ครบ 100 นั้นก็จะกล่าวว่า :
“ไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะห์เพียงผู้เดียว
โดยไม่มีคู่ภาคีสำหรับพระองค์ อำนาจการปกครองเป็นของพระองค์
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่พระองค์ และพระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง “
ที่กล่าวมาแล้วนี้หมายถึงพวงตัสบีฮ์
ที่มีเป้าหมายทางศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช่พวงตัสบีฮ์ ที่มีไว้เพื่อการโอ้อวดและใช้เป็นเครื่องประดับ
ปัจจุบันนี้พวงที่มี 33 เม็ด
ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และมีชื่อเรียกว่า พวงตัสบีฮ์เศษหนึ่งส่วนสาม.
คัดย่อจากนิตยสารอัลฮัจญ์และอุมเราะห์
ลำดับที่สิบปีที่ 25
ประจำเดือน ซุ้ลฮิจญะห์ ปีฮ.ศ. 1423 หน้าที่ 48-49
ความประเสริฐของเดือนชะอ์บาน
และความประเสริฐของ
นิสฟู ชะอ์บาน
ดร. มุฮำหมัด สะอีด
รอมาดอน อัลบูตีย์ ได้กล่าวว่า
เดือนชะอ์บาน
ทั้งเดือนเป็นเดือนที่มีความเป็นพิเศษต่างหากจากเดือนอื่นๆ ในรอบปี ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้ให้การต้อนรับเดือนชะอ์บาน รองจากเดือนรอมาดอน
อย่างที่ไม่เคยให้การต้อนรับเดือนอื่นๆในรอบปี
เดือนนี้เป็นเดือนที่อะมั้ลๆต่างๆจะถูกนำขึ้นเสนอพระองค์อัลเลาะห์
ดังที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวไว้
เป็นเดือนที่อัลเลาะห์จะให้ความเมตตาแก่ผู้ที่ขอความเมตตา
และจะให้อภัยแก่บ่าวของพระองค์ที่วิงวอนขออภัย
เป็นเดือนที่อัลเลาะห์จะปลดปล่อยบ่าวของพระองค์จำนวนมากมายจากไฟนรก
อย่างชนิดที่ไม่มีผู้ใดรู้จำนวนได้นอกจากอัลเลาะห์ ตาอาลาเท่านั้น
อุซามะห์ บิน เซด
ได้รายงานจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) โดยเขาได้ถามท่านว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
ฉันไม่เคยเห็นท่านถือศีลอดเดือนใดในรอบปีเหมือนที่ท่านถือศีลอดในเดือนชะอ์บาน ? ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้ตอบว่า “เพราะเป็นเดือนที่ผู้คนส่วนมากหลงลืม
เป็นเดือนที่อยู่ระหว่างเดือนรอยับกับเดือนรอมาดอน
เป็นเดือนที่อะมั้ลต่างๆจะถูกนำไปเสนอต่ออัลเลาะห์ ตาอาลา ฉันจึงต้องการให้อะมั้ลของฉันถูกนำขึ้นไปเสนอต่ออัลเลาะห์
ขณะที่ฉันถือศีลอด” รายงานโดยนะซาอี
เป็นฮะดีษที่มีสายรายงานที่ซอเฮียะฮ์
ท่านบุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมีซี
และนะซาอี ได้รายงานมาจากฮะดีษอาอิชะห์ ว่า อาอิชะห์ได้กล่าวว่า “ ไม่มีเดือนใดที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล.) จะถือศีลอดมากยิ่งกว่าเดือนชะอ์บาน”
ส่วนสาเหตุนั้นท่านนบี
(ซ.ล.) ได้อธิบายไว้ในฮะดีษที่รายงานโดยอุซามะห์ บิน เซด มาแล้ว
ท่านบัยฮะกี
ได้รายงานด้วยสายรายงานที่ดีว่า เล่าจากอาอิชะห์ (ร.ด.)ว่า
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ได้ตื่นขึ้นในตอนกลางคืน ได้ละหมาด สุหยูด
และได้สุหยูดนาน จนฉันคิดว่าท่านถูกเก็บชีวิตไปแล้ว เมื่อฉันเห็นเช่นนั้น
ฉันจึงได้ลุกขึ้นไปเขย่าปลายนิ้วของท่าน
ฉันเห็นมันเคลื่อนไหว ฉันจึงกลับไป
ต่อมาฉันได้ยินท่านกล่าวในขณะที่ท่านสุหยูดว่า “
ข้าแด่อัลเลาะห์ฉันขอป้องกันความกริ้วโกรธของท่านด้วยความพอใจของท่าน ฉันขอป้องกันการลงโทษของท่าน ด้วยการอภัยของท่าน
ฉันขอป้องกันจากท่าน ด้วยพระองค์ท่าน
ฉันไม่สามารถกล่าวคำสรรเสริญท่านได้อย่างครบถ้วน เหมือนที่ท่านสรรเสริญตัวท่านเอง” เมื่อท่านได้สลามแล้ว
ท่านได้กล่าวแก่ฉันว่า “โอ้ อาอิชะห์ ..
เธอคิดว่ารอซูลุ้ลเลาะห์ ผิดสัญญากับเธอหรือ ? ฉันตอบว่า เปล่า .. ฉันขอสาบานต่ออัลเลาะห์
โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ฉันคิดว่าท่านถูกเก็บชีวิตไปแล้ว
เพราะสุหยูดนานและไม่เคลื่อนไหว
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ถามว่า เธอทราบไหมว่าคืนนี้คือคืนอะไร ? ฉันตอบว่า
อัลเลาะห์ และรอซู้ลของพระองค์ทราบดี
ท่านตอบว่าคืนนี้คือคืนนิสฟู ชะอ์บาน
ในคืนนี้อัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจะมองดูบ่าวของพระองค์ แล้วตรัสว่า
มีใครขออภัยโทษบ้างไหม ? เราจะอภัยโทษให้เขา
มีใครขอบ้างไหม ?
เราก็จะให้เขา
มีใครวิงวอนขอดุอาอ์บ้างไหม ? เราจะตอบรับคำวิงวอนขอดุอาอ์ของเขา
และพระองค์จะปล่อยให้พวกที่มีความผูกพยาบาทอยู่ในสภาพของพวกเขาเช่นนั้น
ฮะดีษเหล่านี้แม้จะกล่าวถึงเรื่องความประเสริฐของเดือนชะอ์บานอย่างกว้างๆ
แต่คืนนิสฟูชะอ์บานก็เป็นคืนหนึ่งของเดือนชะอ์บานที่มีศิริมงคลมากมาย ฮะดีษเหล่านี้โดยรวมถึงขั้นเป็นฮะดีษซอเฮียะฮ์ มีความเข้มแข็ง ที่ไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้
พี่น้องทั้งหลายพวกเรามีความจำเป็นต้องฉวยโอกาสที่อัลเลาะห์
ได้แสดงความโปรดปรานหยิบยื่นความเมตตาให้แก่บ่าวของพระองค์
เพราะพวกเราเป็นผู้ที่มีบาปหนาติดตัว
พวกเราไม่มีสิทธิ์อะไรนอกจากเสาะหาช่วงเวลาที่ประเสริฐเช่นนี้ตามที่ท่านรอซู้ลลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล.) ได้บอกไว้
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อัลเลาะห์แสดงความเมตตาแก่บ่าวของพระองค์ พวกเราไม่มีทางเลือก
นอกจากฉวยเอาโอกาสนี้เสนอตัวเข้ารับความเมตตาของอัลเลาะห์ เสนอตัวเข้ารับการอภัยโทษของอัลเลาะห์เสนอตัวเพื่อให้เกียรติแก่พระองค์
และเราจะต้องแบมือของเรายกขึ้นอ้อนวอนพระองค์ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน
วิงวอนขอให้พระองค์ลบล้างบาปของพวกเรา
ให้เกียรติแก่พวกเราด้วยการให้อภัยและประทานสุขภาพที่สมบูรณ์ให้แก่พวกเรา
และขอพระองค์ได้โปรดประทานความเมตตาให้แก่ประชาชาติของท่านนบีมุฮำหมัด
(ซ.ล.)ทุกคนด้วยเทอญ .
มอบให้เป็นวิทยาทาน
โดยโรงเรียนมิฟตาฮุ้ลอุลูมิดดีนียะห์
(บ้านดอน)
ทำบุญถึงคนตาย
ปัญหาหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมาเป็นเวลานานแล้ว
และยังคงเป็นปัญหาคาใจของใครบางคนอยู่ก็คือ การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ? อ่านอัลกุรอาน
ให้คนตายได้ไหม และอีกมากมายหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงไปในทางที่ดี ในทางที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างสรรค์
จึงขอนำปัญหาดังกล่าว
มาตีแผ่ให้เห็นถึงแนวทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่มีต่อปัญหาดังกล่าวว่าสำนักใดมีทรรศนะว่าอย่างไร
รู้แล้วจะได้เกิดความสบายใจไม่ต้องมาถกเถียงกันให้เสียเวลา
เพื่อจะได้มีเวลาเหลือไปทำความดีอย่างอื่น การนำเสนอปัญญานี้ไม่ได้มีเจตนาจะใช้เป็นเครื่องมือทิ่มตำฝ่ายใด
เพียงแต่มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลในปัญหานี้เท่านั้น.
อิบาดะห์ประเภทต่าง
ๆ
อิบาดะห์ที่ศาสนาใช้ให้มุสลิมปฏิบัตินั้นจำแนกออกได้เป็นสามประเภทกล่าวคือ
:
1 อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายเพียงอย่างเดียว เช่นละหมาด การถือศีลอด การเอียะอ์ติกาฟ
การอ่านอัลกุรอาน และการซิกรุ้ลเลาะห์
2 อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว
เช่นซะกาต และซอดาเกาะห์
3 อิบาดะห์
ที่ผสมกันทั้งร่างกายและทรัพย์สินคือฮัจญ์ (ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินคือเสบียง
และ ยานพาหนะ ในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายก็คือ การวุกูฟ การตอวาฟ การสะแอ
และการขว้างเสาหิน) เป็นต้น
แนวทางของมัซฮับต่างๆ
มัซฮับฮานาฟีและอัมบาลี
อนุญาตให้ยกผลบุญของอะมั้ล(ความดี)ที่ตนทำให้แก่ผู้อื่นได้ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกาย หรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือผสมกันระหว่างร่างกายกับทรัพย์สิน.
มีระบุในตำราของมัซฮับฮานาฟี
(เช่นอัซซัยละอีย์, อัลบะฮร์, อัลฮิดายะห์ และฟัตฮุ้ลกอดีร) ว่าคนที่ทำอิบาดะห์
ไม่ว่าจะเป็นละหมาด การถือศีลอด
การจ่ายซะกาต การอ่านอัลกุรอาน การซิก
รุ้ลเลาะห์
การตอวาฟ ทำพิธีฮัจญ์ ทำพิธีอุมเราะห์ หรือความดีอย่างอื่น
อนุญาตให้เขายกผลบุญของอิบาดะห์เหล่านั้นให้แก่ผู้อื่นได้
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้วก็ตาม
และผลบุญของการทำอิบาดะห์นั้นก็จะถึงผู้ที่ถูกยกให้
และไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่างคนที่ตั้งเจตนา (เนียต)ขณะทำความดีนั้นว่าทำให้แก่ผู้อื่นหรือทำเพื่อตัวเอง
แล้วหลังจากนั้นจึงยกผลบุญให้แก่ผู้อื่น..
ระบุอยู่ในตำรา
อัลมุฆนีย์ ของอิบนุกุดามะห์ ของ มัซฮับฮัมบะลีว่า ความดีใดๆ ที่มนุษย์ได้กระทำ
และยกผลบุญของการกระทำนั้นให้แก่ผู้ตายที่เป็นมุสลิม การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นประโยชย์แก่ผู้ตายด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะห์
ตาอาลา.. อิบนุ้ลกอยยิม นักวิชาการของมัซฮับฮัมบาลี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่ออัรรูฮ์ว่า :
( สิ่งประเสริฐที่สุดที่จะยกให้แก่ผู้ตายก็คือ การทำซอดาเกาะห์ การขออภัยโทษ(อิสติฆฟาร)
และการขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ตาย
และการทำฮัจญ์แทนให้ผู้ตาย
ส่วนการอ่านอัลกุรอานและยกผลบุญการอ่านนั้นให้แก่ผู้ตายโดยสมัครใจไม่มีค่าจ้างตอบแทน
การกระทำนี้ผลบุญจะไปถึงผู้ตาย
เช่นเดียวกับผลบุญของการถือศีลอดและฮัจญ์ก็จะไปถึงผู้ตาย ) ….
มัซฮับชาฟิอีและมาลิกี
:
ส่วนมัซฮับชาฟิอีและมาลิกีนั้นทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขามีว่า
อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายอย่างเดียวเช่นละหมาด การถือศีลอด และการอ่านอัลกุรอาน
ผลบุญของอิบาดะห์นี้จะไม่ถึงผู้ตาย
ต่างกับอิบาดะห์อื่นๆ เช่นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างเดียว
เช่นซะกาตและการทำซอดาเกาะห์ หรืออิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายกับทรัพย์สินเช่นฮัจญ์
ผลบุญของอิบาดะห์ประเภทนี้จะถึงผู้ตาย.
นักวิชาการยุคหลัง
ของมัซฮับชาฟิอีและมาลิกี
แต่นักวิชาการยุคหลังของทั้งสองมัซฮับ
ได้เลือกเอาแนวทางที่ว่า ผลบุญของอิบาดะห์ทุกชนิดจะไปถึงผู้ตาย
เช่นการอ่านอัลกุรอานเป็นต้น, ประโยชน์ของการอ่านอัลกุรอานอาจเกิดจากผลบุญของการอ่านอัลกุรอานไปถึงผู้ตาย
หรือบะรอกะห์(ความดีที่เพิ่มพูน) ของการอ่านไปถึง.
ส่วนพวกมัวะอ์ตะซิละห์ (พวกที่มีความคิดนอกรีตในศาสนาอิสลาม) มีทรรศนะว่า
ไม่ยินยอมให้ใครยกผลบุญจากการทำ (อะมั้ล) ความดีของตนให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายหรือทรัพย์สินหรือที่ผสมกันจากร่างกายและทรัพย์สิน.
มัซฮับ มัวะอ์ตะซิละห์
มีทรรศนะที่ต่างกับมัซฮับฮานาฟี
และต่างกับกลุ่มที่มีทรรศนะตรงกับมัซฮับฮานาฟี ที่เป็นอะห์ลิซซุนนะห์.
หลักฐานของพวกมัวะอ์ตะซิละห์
:
พวกมัวะอ์ตะซิละห์
อ้างหลักฐานเรื่องนี้ด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า :
" มนุษย์จะไม่ได้รับอะไร นอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้กล่าวในการใช้อายะห์นี้มาอ้างเป็นหลักฐานว่า
: อัลเลาะห์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้บอกไว้ในอายะห์นี้ว่า มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขาได้พากเพียรเอาไว้และเป็นผลงานของเขา
ส่วนการพากเพียรของผู้อื่น ไม่ใช่เป็นการพากเพียรและผลงานของเขา.
การโต้ตอบกับพวกมัวะอ์ตะซิละห์ด้วยหลักฐาน
:
พวกมัวะอ์ตะซิละห์
ถูกโต้ตอบด้วยข้อความที่ท่านกามาล บุตร ฮัมมาม กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อฟัตฮุ้ลกอดีร
(ในบทที่ว่าด้วยเรื่องการทำฮัจญ์แทนให้แก่ผู้อื่น) ว่า
:
ความหมายของอายะห์ที่ว่า
"
มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
หมายถึง " ในกรณีที่ผู้ทำความดีไม่ได้ยกผลบุญให้แก่ผู้อื่น
" แต่ถ้าหากเขาทำความดีแล้วเขาได้ยกความดีนั้นให้แก่ผู้อื่น ความดีนั้นก็จะไปถึงผู้ที่เขายกให้
ทั้งนี้เพราะมีฮะดีษซอเฮียะฮ์ที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิมว่า :
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
(ซ.ล) ได้เชือดแกะสองตัวที่มีสีขาวมีขนดำแซม
เป็นอุดฮียะห์(กุรบาน) โดยตัวหนึ่งท่านทำเพื่อตัวท่านเอง
อีกตัวหนึ่งท่านทำแทนให้แก่ประชาชาติของท่าน ..
ฮะดีษนี้ท่านนบีได้ทำความดีแทนให้แก่ประชาชาติของท่าน
การกระทำของท่านนบีชี้ว่าสามารถยกความดีให้แก่ผู้อื่นได้.
ฮะดีษนี้มีซอฮาบะห์หลายท่านได้รายงานและมีนักวิชาการฮะดีษได้นำออกเผยแพร่
หลายสาย และทุกสายรายงานก็จะมีข้อความตรงกันว่า ท่านนบี(ซ.ล) ได้เชือดสัตว์อุดฮียะห์(กุรบาน)
แทนให้แก่ประชาชาติของท่าน
จนข้อความนี้เป็นที่แพร่หลายและรู้กันทั่วไป
และสามารถที่จะนำไปเป็นเงื่อนไขของอายะห์ที่กล่าวมาแล้วได้. นอกจากนั้นก็ยังมีฮะดีษอีกหลายฮะดีษที่ชี้ว่าเมื่อทำความดีแล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้เช่นฮะดีษที่รายงานโดยดารุกุตนีว่า
:
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี
(ซ.ล) แล้วถามขึ้นว่า : ฉันมีบิดามารดาที่ฉันได้เคยปรนนิบัติเขาทั้งสองขณะที่เขาทั้งสองมีชีวิตอยู่
แล้วฉันจะทำความดีให้แก่เขาทั้งสองได้ไหมภายหลังจากเขาทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว
? ท่านนบี(ซ.ล)
ได้ตอบเขาว่า : " แท้จริงการทำความดีให้แก่บิดามารดาภายหลังจากตายไปแล้วคือการที่ท่านละหมาดให้แก่เขาทั้งสองพร้อมกับการละหมาดของท่าน
และท่านถือศีลอดให้แก่เขาทั้งสองพร้อมกับการถือศีลอดของท่าน "
..
และฮะดีษที่ดารุกุตนีได้รายงานไว้อีกเช่นกันจากอิหม่ามอะลี
(กัรร่อมั้ลลอฮุวัจฮะฮ์) จากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้กล่าวว่า :
"
ผู้ใดผ่านสุสานและเขาได้อ่าน "กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด"
สิบเอ็ดจบ แล้วยกผลบุญการอ่านให้แก่คนตาย เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับจำนวนคนตาย "
..
และฮะดีษที่รายงานจากท่านอะนัส
บุตร มาลิก (ร.ด) ว่า :
"
เขาได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล)ว่า : โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
: พวกเราจะทำทาน (ซอดาเกาะห์) แทนคนตายของพวกเราได้ไหม, และเราจะทำฮัจญ์แทนพวกเขา
และขอดุอาอ์ให้พวกเขาได้ไหม ? และผลบุญการทำเช่นนั้นจะไปถึงพวกเขาไหม ? ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์
ตอบว่า : " ถูกแล้วมันจะไปถึงพวกเขา และความจริงพวกเขาจะดีใจกับสิ่งที่ได้รับ
เหมือนที่คนใดจากพวกท่านดีใจที่มีผู้นำถาดอาหารมามอบให้แก่เขาเป็นของขวัญ "
..
และฮะดีษที่ว่า
:
"
ท่านทั้งหลายจงอ่านซูเราะห์ยาซีนให้แก่คนตายของพวกท่าน " (รายงานโดย อะบูดาวูด)
ตัวบทเหล่านี้แม้จะมีตัวบทหลากหลายแต่มีเนื้อหาตรงกันที่ว่า" ผู้ใดที่ยกความดีของตนให้แก่ผู้อื่น ผลบุญของมันก็จะไปถึงผู้ที่ถูกยกให้
และอัลเลาะห์ก็จะให้เขาได้รับประโยชน์ด้วยความดีนั้น ".. ซึ่งเนื้อหาตรงจุดนี้ถึงขั้นเป็นมุตะวาติร (คือมีผู้รายงานมากในแต่ชั้นของสายรายงาน)
และในอัลกุรอานก็มีคำบัญชาจากอัลเลาะห์ให้ขอดุอาอ์แก่บิดามารดา
ดังปรากฏในคำดำรัสที่ว่า :
"
และท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันได้โปรดเมตตาบิดามาดา
เหมือนกับที่เขาทั้งสองได้ดูแลฉันมาตั้งแต่เยาวัย "
และอัลกุรอานยังได้บอกกล่าวถึงเรื่องที่มะลาอิกะห์วิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มีศรัทธา
ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาในซูเราะห์ ฆอฟิรว่า :
"
บรรดามะลาอิกะห์ที่แบกอะรัช (บัลลังก์)
ของอัลเลาะห์ และมะลาอิกะห์ที่อยู่รายรอบ อะรัชกล่าวถวายความบริสุธิ์
พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาลของพวกเขา และศรัทธาต่อพระองค์
และพวกเขาวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มีศรัทธาว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของเราความเมตตาและความรู้ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทุกสิ่ง
ขอได้โปรดอภัยโทษให้แก่พวกที่สำนึกผิด และปฏิบัติตามแนวทางของท่าน
และโปรดปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษในนรกที่ร้อนแรง ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา
และขอได้โปรดให้พวกเขาได้เข้าสู่สวรรค์ อัดน์ ซึ่งท่านได้สัญญาไว้กับพวกเขา
และแก่ผู้ที่มีคุณธรรมจากบรรพบุรุษของพวกเขา คู่ครองของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขา
แท้จริงท่านเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงหยั่งรู้
และได้โปรดปกป้องพวกเขาให้พ้นจากความชั่วร้าย
และผู้ใดที่ท่านปกป้องเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายในวันนั้น แน่นอนท่านก็ได้ให้ความเมตตาแก่เขาแล้ว
และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ "
(ฆอฟิร : 7-9)
ในซูเราะห์
อัชชูรอ อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :
"
และมวลมะลาอิกะห์ จะกล่าวถวายความบริสุธิ์
พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาลของพวกเขา
และวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ผู้ที่อยู่ในผืนแผ่นดิน พึงทราบเถิดว่าแท้จริงอัลเลาะห์นั้นพระองค์ทรงอภัยยิ่งอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง
"
อายะห์เหล่านี้เป็นหลักฐานที่เด็ดขาดว่า
มีการได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้อื่น
ซึ่งขัดกับอายะห์ที่พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้ยกมาเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นท่านกามาล
บุตร ฮัมมาม ยังได้กล่าวอีกว่า : การที่เราสามารถหักล้างทรรศนะของพวกมัวะอ์ตะซิละห์ลงได้ด้วยหลักฐานที่นำมานั้น
มันก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธทรรศนะของชาฟิอีและมาลิกี (รอฮิมะฮุมั้ลลอฮ์)
ไปด้วยในที ซึ่งทรรศนะของอิหม่ามทั้งสองกล่าวว่า
ความดีที่เกี่ยวกับร่างกายนั้นจะยกให้ผู้อื่นไม่ได้ เพราะมีหลัก ฐานจากฮะดีษต่างๆ
ที่ได้กล่าวมาแล้วที่มีเนื้อความต้องกันว่าเมื่อทำความดีแล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้
...
และพวกมัวะอ์ตะซิละห์ยังได้ยกฮะดีษมาเป็นหลักฐานสนับสนุนทรรศนะของพวกเขาที่ว่าจะยกผลบุญของความดีที่ทำไว้ให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ด้วยฮะดีษที่ว่า
:
"
เมื่อมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของอาดัมเสียชีวิตลง
การทำความดีของเขาก็ขาดตอนลง ยกเว้นสามประการคือ การอุทิศถาวรวัตถุไว้ (วะกัฟ), หรือวิชาการที่มีประโยชน์, หรือบุตรที่มีคุณธรรมวิงวอนขอดุอาอ์ให้เขา " ...
พวกมัวะอ์ตะซิละห์กล่าวในการอ้างหลักฐานของพวกเขาว่า
: ท่านนบี (ซ.ล) บอกว่าคนตายจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เขาเป็นผู้ก่อไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
และสิ่งใดที่เขาไม่ได้ก่อไว้ มันก็ขาดตอนไปจากเขา.
การโต้ตอบพวกมัวะอ์ตะซิละห์
ในการนำเอาหะดีษนี้มาเป็นหลักฐานก็คือ : ท่านนบี (ซ.ล) ไม่ได้กล่าวว่า : การรับประโยชน์ของคนตายขาดตอนลง, แต่ท่านกล่าวว่า :
การทำความดีของเขาขาดตอนลง,
ส่วนการทำความดีของคนอื่น ก็ตกเป็นของผู้ที่กระทำ
ดังนั้นถ้าหากเขายกความดีนั้นให้แก่ผู้ตาย
ผลบุญจากความดีของผู้ที่ทำก็จะไปถึงคนตาย ซึ่งมันไม่ใช่ผลบุญจากการกระทำของคนตาย,
สิ่งที่ขาดตอนนั้นคือการกระทำของคนตาย เพราะเมื่อเขาตาย เขาจะทำความดีอะไรเองอีกไม่ได้แล้ว
ส่วนสิ่งที่ไปถึงคนตายนั้นคือผลบุญที่เกิดจากการกระทำของคนอื่นที่ยกให้เขา.
สรุปเรื่องการทำความดีแล้วยกผลบุญให้แก่คนตาย
มีสามมัซฮับ
1.มัซฮับฮานาฟี, ฮัมบาลี
และทรรศนะนักวิชาการของมัซฮับมาลิกีและชาฟิอีในยุคหลังที่มีความเห็นเหมือนกับมัซฮับฮานาฟี
และฮัมบาลี กล่าวว่า :
ผลบุญของความดีจากการกระทำของคนอื่นนั้นจะไปถึงคนตาย
โดยไม่คำนึงว่าความดีนั้นจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว
หรือเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอย่างเดียว
หรือเป็นอิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายและทรัพย์สิน.
2. มัซฮับมัซฮับมัวะอ์ตะซิละห์
กล่าวว่า :
ผลบุญไม่ถึงคนตายไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ประเภทใดก็ตาม.
3. มัซฮับมาลิกีและซาฟิอี ตามทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขา
ที่แยกรายละเอียดในเรื่องอิบาดะห์ โดยกล่าวว่า :
ถ้าหากเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว
ผลบุญของอิบาดะห์นั้นจะไม่ถึงคนตาย, แต่ถ้าหากอิบาดะห์นั้นเป็นประเภทที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว
หรือเป็นอิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างทรัพย์สินกับร่างกาย
ผลบุญของอิบาดะห์ประเภทนี้จะไปถึงคนตาย.
ส่วนแนวทางที่มีน้ำหนักและถูกเลือกว่าเป็นทรรศนะที่ดีคือ
มัซฮับที่หนึ่ง
เพราะมีหลักฐานที่มีน้ำหนักและแข็งแรงสนับสนุน .. และเป็นแนวทางที่ได้รับการปฏิบัติมาตั้งแต่ยุคของสะลัฟ (คือยุคของคนดีที่ท่านนบี (ซ.ล)
รับรองไว้เป็นเวลาสามร้อยปี) และได้ปฏิบัติมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้.
ข้อมูลจากหนังสือ : อัลฮะยาฮ์
อัลบัรซะคียะห์ ของมุฮำหมัด อับดุซซอฮิร คอลีฟะห์
โดยเรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น.
หารายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกในหนังสือ
อัลอะกีดะห์ อัตตอฮาวียะห์ ตั้งแต่หน้า
511 ถึงหน้า 518
- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ
วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ
สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่านั้น ดังที่พระองค์ได้ตรัสในอัลกุรอานว่า
)) يَسْأَلُكَ النَّاسُ عَنِ السَّاعَةِ قُلْ إِنَّمَا عِلْمُهَا عِنْدَ اللَّهِ وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ السَّاعَةَ تَكُونُ قَرِيبًا ))
ความว่า
“มีผู้คนถามเจ้าเกี่ยวกับยามอวสาน จงกล่าวเถิด(มุหัมหมัด) แท้จริงความรู้ในเรื่องนั้น อยู่ ณ
ที่อัลลอฮฺ และอะไรเล่าจะทำให้เจ้ารู้ได้ บางทียามอวสานนั้นอยู่ใกล้นี่เอง”
(อัล-อะหฺซาบ : 63)
- สัญญาณวันกิยามะฮฺ
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชี้แจงถึงเครื่องหมายและสัญญาณ
ที่บ่งบอกว่าวันกิยามะฮฺนั้นใกล้เข้ามาถึงแล้ว โดยสัญญาณดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองประเภท
คือ สัญญาณย่อย และสัญญาณใหญ่
- หนึ่ง สัญญาณย่อยของวันกิยามะฮฺ
แบ่งออกเป็นสามประเภท
1. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและสิ้นสุด
เช่น การบังเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนการสิ้นชีวิตของท่าน การแยกส่วนของดวงจันทร์
การพิชิตบัยตุลมักดิส(เมืองเยรูซาเล็ม) และมีลูกไฟออกจากแผ่นดินหิญาซ
จากเอาฟ์ บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ
เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
)) اعْدُدْ سِتًّا بَيْنَ يَدَيِ السَّاعَةِ :
مَوْتِي ، ثُمَّ فَتْحُ
بَيْتِ المَقْدِسِ ...
))
ความว่า
“ท่านจงนับสัญญาณหกประการก่อนการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ คือ
การสิ้นชีวิตของฉัน จากนั้น การพิชิตบัยตุลมักดิส” (อัล-บุคอรีย์ : 3176)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ
รอฎิยัลลอฮุอันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
))لاَ
تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَخْرُجَ نَارٌ مِنْ أَرْضِ الحِجَازِ
تُضِيءُ أَعْنَاقَ الإِبِلِ بِبُصْرَى((
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าไฟจะออกมาจากแผ่นดินหิญาซ และมันจะส่องประกายของมันที่ต้นคอของอูฐที่เมืองบุศรอ” (อัล-บุคอรีย์ : 8118, มุสลิม : 2902)
2. สัญญาณที่ได้ปรากฏขึ้นและยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เช่น เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย(ฟิตนะฮฺ) มีการแอบอ้างเป็นนบี ความฟุ้งเฟ้อจะแพร่หลาย ความรู้วิชาศาสนาจะเลือนหายไป
ความโง่เขลาจะมาแทนที่ จะมีตำรวจกับบริวารที่โหดเหี้ยมเกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องดนตรีมากมายอีกทั้งมีการรับรองว่าสิ่งดังกล่าวเป็นที่อนุมัติ
คนที่เคยมีฐานะยากจนมีอาชีพเลี้ยงแกะจะกลายเป็นเศรษฐีแข่งกันสร้างตึกอาคารสูงๆ ผู้คนจะสร้างมัสยิดเพื่อโอ้อวดด้วยเครื่องประดับประดาต่างๆ
จะมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นมากมาย เวลาจะกระชันชิด มีการมอบตำแหน่งแก่ผู้ที่ไม่สมควรได้รับ
คนชั่วไร้คุณธรรมจะถูกยกย่องเทิดทูน ส่วนคนดีมีคุณธรรมกลับถูกเหยียดหยาม
จะมีนักพูดมากกว่าผู้ปฏิบัติ จะมีร้านค้าเกิดขึ้นเรียงราย จะมีการตั้งภาคี(ชิริก)ในหมู่ประชาติอิสลาม ความตระหนี่จะแพร่หลาย
การโกหกมดเท็จเป็นเรื่องปกติ เงินทองจะมีมากมาย การคดโกงในการค้าขายมีมากมาย
จะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง ผู้คนไม่ไว้วางใจคนน่าเชื่อถือแต่จะไว้วางใจผู้ที่ทุจริตในหน้าที่
ความชั่วช้าจะแพร่หลาย การตัดญาติขาดมิตรจะมีมาก มีเพื่อนบ้านที่ไม่ดี คนด้อยปัญญาและไร้คุณธรรมจะขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง
ผู้รู้จะตอบปัญหาศาสนาตามอารมณ์ของผู้คน
การให้สลามจะจำกัดเฉพาะคนที่รู้จักเท่านั้น ผู้คนนิยมหันไปศึกษาความรู้จากผู้น้อย
จะมีตำรางานเขียนมากมาย สตรีจะแต่งกายเหมือนเปลือยร่าง มีพยานเท็จมากมาย
มีการตายแบบฉับพลัน ผู้คนไม่พิถีพิถันในการแสวงหาปัจจัยที่หะลาล(อนุมัติ) คาบสมุทรอาหรับจะกลับมาอุดมสมบูรณ์มีแม่น้ำและทุ่งหญ้าเขียวขจีอีกครั้ง
สัตว์เลื้อยคลานจะออกมาพูดกับมนุษย์ ปลายแส้และเชือกรองเท้าสามารถพูดกับเจ้าของมันได้
สองขาสามารถพูดได้ว่าเจ้าของได้กระทำอะไรมา ประเทศอิรักและชาม(ประเทศแถบซีเรีย จอร์แดนและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน - ผู้แปล)จะถูกปิดล้อมจากอาหารและเงินทอง จากนั้นจะมีสนธิสัญญาระหว่างชาวมุสลิมกับชาวโรมเพื่ออยู่อย่างสันติแต่ผลสุดท้ายฝ่ายโรมันจะละเมิดสนธิสัญญาดังกล่าว
จากอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าแท้จริงเขาได้ยินท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่ท่านหันหน้าทางทิศตะวันออกพลางพูดว่า
))أَلاَ
إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا ، أَلاَ إِنَّ الْفِتْنَةَ هَاهُنَا
، مِنْ حَيْثُ يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ ((
ความว่า “แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ (ทางตะวันออก)
แท้จริงฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์จะเกิดขึ้นทางนี้ ด้านที่เขา(หัว)ของมารร้ายโผล่ออกมาทางนั้น” (อัลบุคอรี : 7093, มุสลิม : 2905 สำนวนเป็นของท่าน)
3. สัญญาณที่ยังไม่ปรากฏ
แต่จะปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน
ดังที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้บอกกล่าว
เช่น แม่น้ำฟุรอต(แม่น้ำยูเฟรติสในอิรัก)
จะแห้งภูเขาทองคำจะโผล่ออกมา กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต จะเกิดสงครามกับชาวเติร์ก
จะเกิดสงครามระหว่างชาวยิวกับมุสลิม แต่มุสลิมเป็นฝ่ายมีชัย
จะมีชายคนหนึ่งจากเผ่าเกาะฮฺฏอน(ในประเทศยะมัน)จะไล่ต้อนผู้คนด้วยไม้เท้าของเขา(คือ
ปกครองโดยใช้ความรุนแรงและเผด็จการ) ผู้หญิงจะมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึงขนาดมีอัตราส่วน
ผู้ชาย 1 คน ต่อ ผู้หญิง 50 คน เมืองมะดีนะฮฺจะขับคนที่ชั่วร้ายออกไปหมดถึงขนาดว่าบางช่วงจะกลายเป็นเมืองร้าง
อิหมามมะฮฺดีย์จะปรากฏตัว ท่านเป็นบุรุษที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
อัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือท่านในงานศาสนา เมื่อวันนั้นมาถึงแผ่นดินจะปกคลุมด้วยความยุติธรรม
เฉกเช่นที่เคยถูกปกคลุมด้วยความอยุติธรรมมาแล้ว ท่านจะปกครองแผ่นดินนานเจ็ดปี ในช่วงนั้นประชาชนจะได้สัมผัสกับความสงบสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
ท่านจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ ประเทศทางทิศตะวันออก และผู้คนจะให้สัตยาบัญต่อท่าน ณ บัยตลลอฮฺ
กะอฺบะฮฺจะถูกทำลายโดยน้ำมือของชายผู้หนึ่งจากประเทศหะบะชะฮฺ(เอธิโอเปีย) มีฉายาว่า “ซู สุวัยเกาะตัยน์”
(แปลว่าผู้ที่มีขาเรียวเล็ก ทั้งนี้เป็นคุณลักษณะของชาวเอธิโอเปีย ที่มีร่างสูงแต่มีขาเรียวเล็ก
- ผู้แปล) ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดบูรณะกะอฺบะฮฺขึ้นมาอีก
เมื่อนั้นแหละคือวาระสุดท้ายของโลก
สัญญาณต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนมีตัวบทชัดเจนจากหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
- สอง สัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ
จากหุซัยฟะฮฺ บิน อะสีด อัล-ฆิฟารีย์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
اطَّلَعَ النَّبِيُّ صلى
الله عليه وسلم
عَلَيْنَا وَنَحْنُ نَتَذَاكَرُ ، فَقَالَ :
«مَا تَذَاكَرُونَ؟» قَالُوا :
نَذْكُرُ السَّاعَةَ، قَالَ :
«إِنَّهَا لَنْ تَقُومَ
حَتَّى تَرَوْنَ قَبْلَهَا عَشْرَ آيَاتٍ -
فَذَكَرَ -
الدُّخَانَ، وَالدَّجَّالَ، وَالدَّابَّةَ،
وَطُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا، وَنُزُولَ عِيسَى ابْنِ مَرْيَمَ
صلى الله عليه وسلم، وَيَأَجُوجَ وَمَأْجُوجَ، وَثَلَاثَةَ خُسُوفٍ :
خَسْفٌ بِالْمَشْرِقِ ،
وَخَسْفٌ بِالْمَغْرِبِ ، وَخَسْفٌ بِجَزِيرَةِ
الْعَرَبِ ، وَآخِرُ ذَلِكَ نَارٌ تَخْرُجُ مِنَ الْيَمَنِ ، تَطْرُدُ النَّاسَ
إِلَى مَحْشَرِهِمْ»
ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได้เข้ามายังพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านนบีถามว่า
พวกท่านกำลังพูดคุยเรื่องอะไรอยู่? พวกเราตอบว่า กำลังพูดถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ
ท่านนบีกล่าวว่า วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ
โดยท่านนบีกล่าวถึง ควันออกจากพื้นดิน การปรากฏตัวของดัจญาล จะมีสัตว์(พูดกับมนุษย์) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
นบีอีซา ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม จะลงมาจากฟ้า ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์จะออกมา
จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบสามแห่ง เกิดทางทิศตะวันออก เกิดทางทิศตะวันตก
และเกิดบริเวณคาบสมุทรอาหรับ และประการสุดท้ายจะมีไฟพุ่งออกมาจากประเทศยะมัน(เยเมน)ไล่ต้อนมวลมนุษย์ให้ไปที่แหล่งรวม(มะห์ชัร)ของพวกเขา” (มุสลิม
: 2901)
1. การปรากฏตัวของดัจญาล
ดัจญาลเป็นมนุษย์เพศชาย ซึ่งจะปรากฏตัวในวาระสุดท้ายของโลก
มันจะอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า โดยจะปรากฏตัวครั้งแรก ณ เมืองคุรอ๋ซาน(ปัจจุบันอยู่ในอิหร่าน - ผู้แปล) จากนั้นมันจะเดินทางเข้าไปยังทุกหนแห่ง ยกเว้น มัสยิดบัยตุลมักดิส(ปาเลสไตน์) มัสยิดอัฏฏูร(แหลมซีนาย
ประเทศอียิปต์) เมืองมักกะฮฺ และมะดีนะฮฺ มันไม่สามารถเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าวได้เพราะมีมลาอิกะฮฺคอยพิทักษ์รักษาอยู่
(เมื่อมันไม่สามารถเข้าเมืองมะดีนะฮฺได้) มันจะหยุดอยู่
ณ พื้นที่แห้งแล้งไม่มีต้นไม้(อัส-สะบะเคาะฮฺ)
แล้วเมืองมะดีนะฮจะสั่นไหวสามครั้ง เมื่อนั้นบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาและพวกมุนาฟิก(กลับกลอก)จะถูกขับกระเด็นออกจากเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมด
จากอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร
รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
كُنَّا قُعُودًا عِنْدَ
رَسُولِ اللَّهِ،
فَذَكَرَ الْفِتَنَ فَأَكْثَرَ فِي ذِكْرِهَا حَتَّى ذَكَرَ فِتْنَةَ الأَحْلَاسِ،
فَقَالَ قَائِلٌ :
يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا فِتْنَةُ
الأَحْلاَسِ ؟ قَالَ :
«هِيَ هَرَبٌ وَحَرْبٌ ،
ثُمَّ فِتْنَةُ
السَّرَّاءِ ، دَخَنُهَا مِنْ تَحْتِ قَدَمَيْ رَجُلٍ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي يَزْعُمُ
أَنَّهُ مِنِّي ، وَلَيْسَ مِنِّي ، وَإِنَّمَا أَوْلِيَائِي الْمُتَّقُونَ
، ثُمَّ يَصْطَلِحُ النَّاسُ عَلَى رَجُلٍ كَوَرِكٍ عَلَى ضِلَعٍ ، ثُمَّ
فِتْنَةُ الدُّهَيْمَاءِ ، لاَ تَدَعُ أَحَدًا مِنْ هَذِهِ الأُمَّةِ إِلاَّ لَطَمَتْهُ
لَطْمَةً ، فَإِذَا قِيلَ :
انْقَضَتْ ، تَمَادَتْ
يُصْبِحُ الرَّجُلُ
فِيهَا مُؤْمِنًا ، وَيُمْسِي كَافِرًا ، حَتَّى يَصِيرَ النَّاسُ إِلَى فُسْطَاطَيْنِ
، فُسْطَاطِ إِيمَانٍ لاَ نِفَاقَ فِيهِ ، وَفُسْطَاطِ نِفَاقٍ لاَ إِيمَانَ
فِيهِ ، فَإِذَا كَانَ ذَاكُمْ فَانْتَظِرُوا الدَّجَّالَ ، مِنْ يَوْمِهِ ، أَوْ مِنْ غَدِهِ»
ความว่า
“พวกเราได้นั่งใกล้กับท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
แล้วท่านได้กล่าวถึง ฟิตนะฮฺ วิกฤติการณ์ต่างๆมากมายจนกระทั้งท่านได้กล่าวถึง
ฟิตนะฮฺ อัลอัหลาส มีเศาะหะบะฮฺถามท่านว่า โอ้ รอซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺ อัล-อะห์ลาส(อะห์ลาส เชิงภาษาหมายถึง พรมหรืออานที่ติดบนหลังอูฐ
ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าวิกฤติการณ์นี้จะยืดเยื้อต่อเนื่อง - ผู้แปล) มันคืออะไร?ท่านนบีตอบว่า มันคือ การหลบหนีและการฆ่าฟันกัน จากนั้นจะมี ฟิตนะฮฺ อัส-สัรรออ์ (การทดสอบด้วยความสบาย ความปลอดภัย) ฟิตนะฮฺดังกล่าวจะเผยแพร่โดยชายคนหนึ่งที่มาจากวงค์ตระกูลของฉัน อ้างว่าเขามาจากฉัน(คือปฏิบัติตามแนวทางของฉัน)แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่(เพราะผู้สืบสกุลของฉันที่แท้จริงจะไม่สร้างฟิตนะฮฺความวุ่นวายแก่สังคม)
หากแต่เขาจะเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ จากนั้นมวลมนุษย์จะตกลงให้สัตยาบันแก่ชายคนหนึ่งเหมือนกับกระดูกสะโพกบนซี่โครง(เป็นการเปรียบถึงความไม่มีเสถียรภาพไม่มั่นคงของการปกครองและชายคนดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่)
จากนั้นจะมีฟิตนะฮฺ อัด-ดุฮัยมาอ์(ภัยมืด) ประชาชาติมุสลิมทุกคนจะต้องประสบกับฟิตนะฮฺอันนี้
เมื่อผู้คนคิดว่ามันได้สิ้นสุดสงบลงแล้ว มันก็ยังยืดเยื้อออกไปอีก จนผู้ชายบางคนตอนเช้าเป็นผู้ศรัทธา(ในกลางวันพวกเขาจะรักษาคุ้มครองชีวิต ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน)
พอตกเย็นกลายเป็นกาฟิรปฏิเสธศรัทธา(ในตอนกลางคืนพวกเขากลับละเมิดในชีวิต
ทรัพย์สิน เกียรติพี่น้องมุสลิมด้วยกัน) จนกระทั่งมนุษย์จะมีพลับพลาสองแห่ง(เป็นการเปรียบเทียบถึงพรรคพวกหรือเมือง) แห่งที่หนึ่งเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยอีมาน(ศรัทธา)ไม่มีการกลับกลอกใดๆ และแห่งที่สองเป็นพลับพลาที่เต็มไปด้วยการกลับกลอกไร้ซึ่งความศรัทธาใดๆ
เมื่อพวกเจ้าประสบภัยเช่นนั้นก็จงรอการปรากฏตัวของของดัจญาลในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้น“
(หะดีษเศาะฮีหฺ, บันทึกโดย อะห์มัด :
6168, อบู ดาวูด : 4242, ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮ : 947)
- ฟิตนะฮฺของดัจญาล
การปรากฏตัวของดัจญาล เป็นบททดสอบอีมานอันยิ่งใหญ่สำหรับผู้ศรัทธาเพราะอัลลอฮฺให้มันมีความสามารถทำอภินิหารให้ผู้คนแปลกใจ
มีหลักฐานจากตัวบทว่าดัจญาลนั้นมีสวรรค์และนรก(ปลอม)
นรกของมันก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ส่วนสวรรค์ของเขาก็คือนรกที่แท้จริง
มันมีภูเขาขนมปัง มีแม่นํ้า มันสามารถสั่งฟ้าให้หลั่งนํ้าฝน สามารถสั่งพื้นดินให้พืชพันธุ์งอกเงยได้
ทรัพยากรมีค่าในดินก็ทำตามมัน มันสามารถเดินทางบนพื้นแผ่นดินอย่างรวดเร็ว
เหมือนกับฝนเมื่อมีลมพายุพัด มันจะอยู่ในพื้นพิภพนี้นาน 40 วัน
โดยจะมี 1 วันที่นานเหมือน 1 ปี มี
1 วันที่นานเหมือน 1 เดือน และมี 1 วันที่นานเหมือน 1 อาทิตย์ส่วนวันที่เหลือจะเหมือนวันปกติธรรมดาทั่วไป
จากนั้น นบีอีซา อะลัยฮิสสลาม จะเป็นผู้ลงมือฆ่ามัน ณ ประตูลุ๊ด ในประเทศปาเลสไตน์
- คุณลักษณะของดัจญาล
ท่านรอซูลุลลอฮฺ
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ตักเตือนพวกเราไม่ให้หลงเชื่อดัจญาล ดังนั้นท่านจึงอธิบายแก่พวกเราถึงคุณลักษณะของมันเพื่อให้พวกเราได้ระวังตัว
ท่านได้ระบุว่ามันเป็นชายวัยฉกรรณ์มีผิวสีแดง มีตาพิการ เป็นหมันไม่ให้กำเนิดลูก บนหน้าผากจะมีอักษรอาหรับเขียนว่ากาฟิรฺ
มุสลิมทุกคนเมื่อเห็นแล้วสามารถอ่านออกได้ ดังหะดีษ
จากอุบาดะฮฺ บิน อัศ-ศอมิต รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
(( إِنَّ مَسِيحَ الدَّجَّالِ رَجُلٌ قَصِيرٌ
، أَفْحَجُ ، جَعْدٌ
، أَعْوَرُ مَطْمُوسُ الْعَيْنِ ، لَيْسَ بِنَاتِئَةٍ ، وَلاَ حَجْرَاءَ ، فَإِنْ
أُلْبِسَ عَلَيْكُمْ ، فَاعْلَمُوا أَنَّ رَبَّكُمْ تبارك وتعالى لَيْسَ
بِأَعْوَرَ ))
ความว่า
“แท้จริงดัจญาลผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ”
(หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู
ดาวูด : 4320, ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 3630)
- สถานที่ดัจญาลจะปรากฏตัว
จากอันเนาวาส บิน สัมอาน
รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลซึ่งมีบางตอนว่า
)) ... إِنَّهُ
خَارِجٌ خَلَّةً بَيْنَ الشَّأْمِ وَالْعِرَاقِ ، فَعَاثَ
يَمِينًا وَعَاثَ شِمَالاً((
ความว่า “...แท้จริงมันจะออกมาตามเส้นทางระหว่างประเทศชามกับอิรัก อีกทั้งทำความเสียหายให้เกิดขึ้นทางด้านขวาและด้านซ้าย” (มุสลิม :
2937)
- สถานที่ดัจญาลไม่สามารถเข้าได้
จากอะนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ
กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
))لَيْسَ
مِنْ بَلَدٍ إِلاَّ سَيَطَؤُهُ الدَّجَّالُ ، إِلاَّ مَكَّةَ
وَالْمَدِينَةَ((
ความว่า
“ไม่มีเมืองใดนอกจากดัจญาลจะย่ำผ่านเข้าไปนอกจากเมืองมักกะฮฺและเมืองมะดีนะฮฺ”
(อัล-บุคอรีย์ : 1881 และมุสลิม
: 2943)
จากเศาะหาบะฮฺชายคนหนึ่ง กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงดัจญาลว่า
)) وَلاَ يَقْرَبُ أَرْبَعَةَ مَسَاجِدَ مَسْجِدَ الْحَرَامِ ، وَمَسْجِدَ
الْمَدِينَةِ ، وَمَسْجِدَ الطُّورِ ، وَمَسْجِدَ الأَقْصىْ
))
ความว่า “...และมันจะไม่เข้าใกล้มัสยิด 4 แห่ง คือ มัสยิดอัล-หะรอม(มักกะฮฺ) มัสยิดอัลมะดีนะฮฺ
มัสยิดอัฏ-ฏูร(ภูเขาซีนาย) และมัสยิดอัลอักศอ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด
: 24085, ดู อัสสิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ
: 2934)
- สาวกของดัจญาล
สาวกหรือผู้ที่หลงเชื่อดัจญาลส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวยิว
ชาวอะญัม(ไม่ใช่คนอาหรับ) ชาวเติร์ก และชนชาติอื่นๆ
ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีและผู้คนทั่วไปตามชนบท ดังในหะดีษจากอะนัส บิน มาลิก
เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
)) يَتْبَعُ الدَّجَّالَ مِنْ يَهُودِ أَصْبَهَانَ ، سَبْعُونَ
أَلْفًا عَلَيْهِمُ الطَّيَالِسَةُ ))
ความว่า
“จะมีผู้ตามดัจญาลจากพวกยิวอัศบะฮาน(เมืองหนึ่งในประเทศอิหร่านปัจจุบัน)
จำนวนเจ็ดหมื่นคนโดยทั้งหมดจะสวมเสื้อคลุม(เสื้อคลุมบ่าโดยไม่มีการตัดเย็บ)”
(มุสลิม : 2944)
- การป้องการภัยจากดัจญาล
ภัยจากดัจญาลนั้นสามารถป้องกันได้ด้วยการศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากภัยการล่อลวงของมันโดยเฉพาะการดุอาอ์(วิงวอน)ในเวลาละหมาด อีกวิธีหนึ่งคือการหลีกหนีให้พ้นเมื่อพบกับมัน
ดังในหะดีษ
(( مَنْ
حَفِظَ عَشَرَ آياَتٍ مِنْ أَوَّلِ سُوْرَةِ الْكَهْفِ عُصِمَ
مِنَ الدَّجَّالِ))
ความว่า
“ผู้ใดท่องจำสิบอายะฮฺตอนต้นของสูเราะฮฺ อัล-กะฮฺฟิ
เขาจะปลอดภัยจากการล่อลวงของดัจญาล”
وفي لفظ : «(( فَمَنْ أَدْرَكَهُ مِنْكُمْ ، فَلْيَقْرَأْ عَلَيْهِ فَوَاتِحَ سُورَةِ
الْكَهْفِ ))
อีกสำนวนหนึ่ง
“ดังนั้นบุคลคลใดในหมู่พวกท่านพบมันก็จงอ่านใส่มันอายะฮฺต้นๆของสูเราะฮฺอัล-กะฮฺฟิ” (มุสลิม
2. การลงมาของนบีอีซา บุตร มัรยัม
หลังจากการออกมาสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดินของดัจญาล
อัลลอฮฺจึงส่งนบีอีซา บุตร มัรยัม อะลัยฮิมัสสลาม ลงจากฟากฟ้ามายังโลกมนุษย์ผ่านทางประภาคารสีขาวทางทิศตะวันออกของเมืองดามัสกัส
ในลักษณะที่ท่านลงจะวางสองฝ่ามือของท่านบนปีกของมลาอิกะฮฺสองท่าน นบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารดัจญาล
ท่านจะทำการปกครองด้วยบทบัญญัติของอิสลาม ท่านจะหักไม้กางเขน ท่านจะฆ่าสุกร ท่านจะยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) ในวันนั้นทรัพย์เงินทองจะมีมากมายก่ายกอง
ความขัดแย้งและข้อพิพาทต่างๆ จะหมดไป ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเจ็ดปี
โดยไม่มีการเป็นศัตรูต่อกันระหว่างผู้ใดเลย สุดท้ายท่านก็สิ้นชีวิตแล้วบรรดามุสลิมก็จะจัดการละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ท่าน
จากนั้นอัลลอฮฺจะส่งลมพัดที่เย็นชื่นมาจากแถบประเทศชาม(แถบซีเรีย) ไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่หัวใจของเขามีอีมานแม้เพียงเท่าผงธุลีเว้นแต่เมื่อโดนลมนี้แล้วจะเสียชีวิตทันที
แล้วในโลกนี้จะเหลือแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาที่ชั่วช้าตัวเบาเช่นวิหคและมีปัญญาเช่นเดรัจฉาน
พวกเขาจะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอย่างเปิดเผยเหมือนกับลา จากนั้นชัยฏอนจะสั่งพวกเขาเหล่านั้นเคารพสักการะรูปปั้น
พวกเขาก็จะทำตาม แล้ววันกิยามะฮฺจะบังเกิดขึ้นกับพวกเขา
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ
รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
)) وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَيُوشِكَنَّ أَنْ يَنْزِلَ فِيكُمْ
ابْنُ مَرْيَمَ حَكَمًا عَدْلاً ، فَيَكْسِرَ الصَّلِيبَ ، وَيَقْتُلَ الخِنْزِيرَ
، وَيَضَعَ الجِزْيَةَ ، وَيَفِيضَ المَالُ حَتَّى لاَ يَقْبَلَهُ أَحَدٌ
، حَتَّى تَكُونَ السَّجْدَةُ الوَاحِدَةُ خَيْرًا مِنَ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا
ثُمَّ يَقُولُ أَبُو هُرَيْرَةَ رضي الله
عنه :
وَاقْرَءُوا إِنْ شِئْتُمْ ((
وَإِنْ مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ
مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا
)) ( النساء(/159)
ความว่า
“ขอสาบานด้วยผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ บุตรของมัรยัม(นบีอีซา)ใกล้จะลงมายังพวกเจ้า
และจะปกครองแผ่นดินด้วยความยุติธรรม ท่านจะหักไม้กางเขน จะฆ่าสุกร
จะยกเลิกภาษีราชนูปกร(ญิซยะฮฺ) และทรัพย์สินเงินทองจะไหลบ่ามีมาก
จนไม่มีใครที่จะรับเงินบริจาคอีก จนกระทั่งการสุญูดครั้งหนึ่งประเสริฐกว่าโลกดุนยานี้และสรรพสิ่งที่อยู่ในมัน”
จากนั้นอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ก็กล่าวว่า หากพวกเจ้าต้องการพวกท่านจงอ่านอายะฮฺ..
))وَإِنْ
مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ إِلاَّ لَيُؤْمِنَنَّ بِهِ قَبْلَ
مَوْتِهِ وَيَوْمَ الْقِيَامَةِ يَكُونُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا((
ความว่า “และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคริสต์และยิว)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา
ต่อท่านนบีอีซา ก่อนที่เขาจะตาย
และวันกิยามะฮฺ เขา(นบีอีซา)จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น” (อัน-นิสาอ์ : 159)
(หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ : 3448 สำนวนเป็นของท่าน และมุสลิม
: 155)
3. ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์
ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์คือ สองประชาชาติที่ยิ่งใหญ่จากลูกหลานอาดัม
พวกเขาคือมนุษย์จอมพลังที่ไม่มีใครเทียมทานได้ การออกมาของสองประชาชาตินี้คือสัญญาณวันกิยามะฮฺ
พวกเขาจะสร้างความเสียหายบนพื้นแผ่นดิน จากนั้นท่านนบีอีซา อะลัยฮิสลาม จะขอดุอาอ์ให้พวกเขาตาย
1. อัลลอฮฺ
สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
))حَتَّى
إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ
حَدَبٍ يَنْسِلُونَ((
ความว่า
“จนกระทั่งเมื่อยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง”
(อัล-อันบิยาอ์ : 96)
2. จากอันเนาวาส บิน สัมอาน
รอฎิยัลลฮุอันฮุ กล่าวว่าท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงเรื่องดัจญาลว่านบีอีซาจะเป็นผู้ลงมือสังหารมัน
ณ ประตูลุ๊ด ซึ่งมีระบุว่า
(( إِذْ أَوْحَى اللَّهُ إِلَى عِيسَى :
إِنِّي قَدْ أَخْرَجْتُ
عِبَادًا لِي ، لاَ يَدَانِ لأَحَدٍ بِقِتَالِهِمْ
، فَحَرِّزْ عِبَادِي إِلَى الطُّورِ ، وَيَبْعَثُ اللَّهُ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ
، وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ ، فَيَمُرُّ أَوَائِلُهُمْ عَلَى
بُحَيْرَةِ طَبَرِيَّةَ فَيَشْرَبُونَ مَا فِيهَا ، وَيَمُرُّ آخِرُهُمْ فَيَقُولُونَ :
لَقَدْ كَانَ بِهَذِهِ
مَرَّةً مَاءٌ ، وَيُحْصَرُ نَبِيُّ اللَّهِ
عِيسَى وَأَصْحَابُهُ ، حَتَّى يَكُونَ رَأْسُ الثَّوْرِ لأَحَدِهِمْ خَيْرًا
مِنْ مِائَةِ دِينَارٍ لأَحَدِكُمُ الْيَوْمَ ، فَيَرْغَبُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى
وَأَصْحَابُهُ ، فَيُرْسِلُ اللَّهُ عَلَيْهِمُ النَّغَفَ فِي رِقَابِهِمْ ، فَيُصْبِحُونَ
فَرْسَى كَمَوْتِ نَفْسٍ وَاحِدَةٍ ، ثُمَّ يَهْبِطُ نَبِيُّ اللَّهِ عِيسَى
وَأَصْحَابُهُ إِلَى الأَرْضِ ))
ความว่า
”อัลลอฮฺได้ทรงวะห์ยูมายังอีซาว่า แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)ได้ให้บ่าวจำนวนหนึ่งของเราออกมาซึ่งไม่มีสองมือของบุคคลใดที่จะต่อสู้กับเขาได้
ดังนั้นท่านจงนำบ่าวของข้าไปหลบกำบังยังภูเขาฏูรฺเถิด และอัลลอฮฺก็ส่งยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์มา
โดยพวกเขาจะกระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ชุดแรกจะผ่านมาที่ทะเลสาบเฏาะบะริยะฮฺ(ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) พวกเขาจะดื่มน้ำที่อยู่ในทะเลสาบนั้นและชุดสุดท้ายของพวกมันก็ผ่านมาพลางพวกเขากล่าวว่า
ครั้งหนึ่งเคยมีน้ำอยู่ที่นี้ ผู้เป็นนบีของอัลลอฮฺคืออีซาและสหายของท่านจะถูกปิดล้อมจนขนาดที่ว่า
หัววัวสำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกเขานั้นดียิ่งกว่าเงินหนึ่งร้อยดีนาร์สำหรับคนหนึ่งในหมู่พวกท่านในวันนี้(หมายถึงไม่มีอาหารให้กินแม้กระทั่งหัววัวก็มีค่ามากกว่าเงิน - บรรณาธิการ) ดังนั้นนบีอีซาจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺจึงส่งหนอนมาลงที่ต้นคอของพวกเขา(ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์) รุ่งเช้าพวกเขาก็จะตายกลายเป็นแพพร้อมกันเหมือนชีวิตเดียวกัน
ต่อมานบีของอัลลอฮฺอีซาและสหายของท่านจะลงมาจากภูเขาฏูรสู่แผ่นดินเบื้องล่าง”
(มุสลิม : 2937)
หลังจากที่นบีอีซาและสหายของท่านจะลงมาสู่แผ่นดินท่านจะวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺอีก
อัลลอฮฺจึงได้ส่งฝูงนกมานำร่างของพวกยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ไปทิ้งที่ตามอัลลอฮฺทรงประสงค์จากนั้นพระองค์จะส่งความบะเราะกะฮฺ(เพิ่มพูน-สิริมงคล)แก่พื้นแผ่นดิน
จะทรงให้พืชพันธุ์งอกเงยอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งจะเกิดความบะเราะกะฮฺในกิจการเกษตรและปศุสัตว์อีกด้วย
4, 5, 6. จะมีเหตุการณ์ธรณีสูบ
การเกิดธรณีสูบสามแห่งเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ
คือจะเกิดทางทิศตะวันออก ทางทิศตะวันตกและแถวคาบสมุทรอาหรับ เหตุการณ์นี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น
7. ควันไฟ
(( فَارْتَقِبْ
يَوْمَ تَأْتِي السَّمَاءُ بِدُخَانٍ مُبِينٍ، يَغْشَى
النَّاسَ هَذَا عَذَابٌ أَلِيمٌ ))
ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงคอยเฝ้าดูวันที่ชั้นฟ้าจะนำควันออกมาซึ่งจะเห็นได้ชัด ซึ่งจะครอบคลุมผู้คน นี่คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัด-ดุคอน :
10-11)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ
อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
)) بَادِرُوا بِالْأَعْمَالِ سِتًّا :
طُلُوعَ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا
، أَوِ الدُّخَانَ ، أَوِ الدَّجَّالَ ، أَوِ الدَّابَّةَ ، أَوْ خَاصَّةَ
أَحَدِكُمْ أَوْ أَمْرَ الْعَامَّةِ ))
ความว่า
“พวกท่านจงรีบเร่งทำอะมัลต่างๆ ก่อนที่หกประการนี้จะเกิดขึ้น คือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
หรือควัน หรือการออกมาของดัจญาล หรือด๊าบบะฮฺ(สัตว์พูดกับมนุษย์ได้)
หรือสิ่งที่จะเกิดกับตัวท่านเป็นการเฉพาะ(คือความตาย)
หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วไป(คือกิยามะฮฺ)”
(มุสลิม : 2947)
8. ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺ
เป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาล ดังหลักฐานที่ปรากฏดังนี้
)) يَوْمَ يَأْتِي بَعْضُ
آيَاتِ رَبِّكَ لا يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا
لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا قُلِ انْتَظِرُوا
إِنَّا مُنْتَظِرُونَ ))
ความว่า “วันที่สัญญาณบางอย่างแห่งพระเจ้าของเจ้ามานั้น จะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาหากเขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใดๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-อันอาม :
158)
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ
อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
(( لاَ
تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ
مَغْرِبِهَا ، فَإِذَا طَلَعَتْ مِنْ مَغْرِبِهَا آمَنَ النَّاسُ كُلُّهُمْ أَجْمَعُونَ
فَيَوْمَئِذٍ لاَ
يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ تَكُنْ آمَنَتْ
مِنْ قبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا
))
ความว่า “วันกิยามะฮฺจะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เมื่อมันขึ้นมาทางทิศตะวันตกแล้วมวลมนุษย์จะกลายเป็นผู้ศรัทธามั่น
แต่ ณ วันนั้นจะไม่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใดซึ่งการศรัทธาของเขาโดยที่เขามิได้ศรัทธามาก่อน หรือมิได้แสวงหาความดีใด
ๆ ไว้ในการศรัทธาของเขา” (อัล-บุคอรีย์ :
4635, มุสลิม
:
157 สำนวนเป็นของท่าน)
จากอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ
รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าว่า
)) إِنَّ أَوَّلَ الْآيَاتِ خُرُوجًا ، طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ مَغْرِبِهَا
، وَخُرُوجُ الدَّابَّةِ عَلَى النَّاسِ ضُحًى ، وَأَيُّهُمَا مَا كَانَتْ
قَبْلَ صَاحِبَتِهَا ، فَالْأُخْرَى عَلَى إِثْرِهَا قَرِيباً ))
ความว่า
“เครื่องหมายแรกของวันกิยามะฮฺที่จะปรากฏคือ
การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และการที่สัตว์ออกมา(พูดตักเตือน)มนุษย์ในตอนสาย ทั้งสองอย่างนี้ถ้าอันไหนเกิดขึ้นก่อน อีกอย่างหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามหลังมาจากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน”
(มุสลิม : 2942)
9. การออกมาของด๊าบบะฮฺ (สัตว์เลื้อยคลาน)
การออกมาของด๊าบบะฮฺสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในวาระสุดท้ายของโลกเป็นสัญญาณว่าวันกิยามะฮฺนั้นเริ่มใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว
สัตว์ดังกล่าว จะประทับตราบนจมูกของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา(เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) และจะทำให้ใบหน้าของผู้ศรัทธามีราศี ส่วนหนึ่งของหลักฐานเกี่ยวกับการออกมาของด๊าบบะฮฺ
มีดังนี้ อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
)) وَإِذَا وَقَعَ الْقَوْلُ عَلَيْهِمْ أَخْرَجْنَا لَهُمْ دَابَّةً
مِنَ الأرْضِ تُكَلِّمُهُمْ أَنَّ النَّاسَ كَانُوا بِآيَاتِنَا لا يُوقِنُونَ ))
ความว่า “และเมื่อพระดำรัสเกิดขึ้นแก่พวกเขา(หมายถึงได้เวลาที่กำหนดแล้ว) เราจะได้ให้สัตว์ออกมาจากแผ่นดินแก่พวกเขา เพื่อกล่าวแก่พวกเขาว่า แท้จริงปวงมนุษย์นั้นไม่ยอมเชื่อมั่นต่อโองการทั้งหลายของเรา” (อัน-นัมล์ :
82)
จากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ
เล่าว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
))ثَلاَثٌ
إِذَا خَرَجْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْسًا إِيمَانُهَا لَمْ
تَكُنْ آمَنَتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ فِي إِيمَانِهَا خَيْرًا :
طُلُوعُ الشَّمْسِ مِنْ
مَغْرِبِهَا ، وَالدَّجَّالُ ، وَدَابَّةُ
الأَرْضِ((
ความว่า “มีสามสิ่ง ซึ่งหากทั้งหมดปรากฏขึ้น การศรัทธาของบุคคลจะไร้ความหมายโดยที่ไม่ศรัทธาก่อนหน้านั้น
หรือมิได้ปฏิบัติตามที่ตนศรัทธา สามสิ่งดังกล่าวคือ การที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก
เมื่อดัจญาลปรากฏตัว และเมื่อด๊าบบะฮฺออกมา” (มุสลิม
: 158)
10. ไฟไล่ต้อนมวลมนุษย์
ไฟที่จะออกมาในวันนั้นคือไฟกองใหญ่อันมหึมา
ซึ่งจะออกจากทางทิศตะวันออกของประเทศยะมัน(เยเมน)
จากก้นบึงของทะเลเอเดน มันเป็นสัญญาณสุดท้ายของวันกิยามะฮฺ และเป็นเครื่องหมายแรกที่อัลลอฮฺอนุมัติให้เหตุการณ์กิยามะฮฺบังเกิดขึ้น
ไฟกองดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นจากประเทศยะมันและจะลามไปทั่วโลกเพื่อไล่ตอนมวลมนุษย์สู่มะห์ชัร(แหล่งรวมตัวเพื่อการพิพากษา) ณ ดินแดนชาม
ลักษณะของการไล่ตอนมนุษย์ของไฟ
จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ
รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
)) يُحْشَرُ النَّاسُ عَلَى ثَلَاثَةِ طَرَائِقَ :
رَاغِبِينَ وَرَاهِبِينَ ،
اثْنَانِ عَلَى بَعِيرٍ ، وَثَلَاثَةٌ
عَلَى بَعِيرٍ ، وَأَرْبَعَةٌ عَلَى بَعِيرٍ ، وَعَشَرَةٌ عَلَى بَعِيرٍ
، وَتَحْشُرُ بَقِيَّتَهُمُ النَّارُ ، َتَقِيلُ مَعَهُمْ حَيْثُ قَالُوا، تَبِيتُ
مَعَهُمْ حَيْثُ بَاتُوا، وَتُصْبِحُ مَعَهُمْ حَيْثُ يُصْبِحُوا ، وَتُمْسِي
مَعَهُمْ حَيْثُ أَمْسَوْا ))
ความว่า
“มนุษย์ทั้งหลายจะถูกให้มารวมตัวกันสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกก็คือผู้ที่มีความหวังว่าจะเข้าสวรรค์ซึ่งมีความหวาดกลัวว่าจะถูกทำโทษ
กลุ่มที่สองคือพวกที่ถูกรวบรวมโดยขี่อูฐมา ตัวหนึ่งขี่สองคนหรือสามคนบนอูฐตัวเดียว
หรือสี่คนบนอูฐตัวเดียว หรือสิบคนบนอูฐตัวเดียว ส่วนกลุ่มที่สามคือพวกที่เหลือจากนั้น
พวกนี้จะถูกกระตุ้นให้มารวมกันโดยใช้ไฟ ซึ่งจะตามพวกเขาไปเมื่อเวลาหลับในยามบ่าย อีกทั้งอยู่กับพวกเขาในตอนที่พวกเขาพักผ่อนในเวลากลางคืนและจะอยู่กับพวกเขาในตอนเช้าและตอนบ่าย”
(อัล-บุคอรีย์ : 6522, มุสลิม
: 2861)
สัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ
จากอะนัส รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่าแท้จริง
เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สลาม
เข้ารับอิสลาม
เขาได้ถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถึงปัญหาต่างๆ
ส่วนหนึ่งของคำถามที่ท่านถามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็คืออะไรคือสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺ?
ท่านตอบว่า
))أَمَّا أَوَّلُ أَشْرَاطِ
السَّاعَةِ فَنَارٌ تَحْشُرُ النَّاسَ مِنَ المَشْرِقِ إِلَى المَغْرِبِ((
ความว่า
“ส่วนสัญญาณแรกของการเกิดวันกิยามะฮฺคือมีไฟออกมาไล่ตอนมนุษย์จากทิศตะวันออกสู่ทางทิศตะวันตก”
(อัล-บุคอรีย์ : 3329)
สัญญาณต่างๆ
จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเหตุการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีสัญญาณใหญ่ของวันกิยามะฮฺเริ่มปรากฏขึ้น
สัญญาณอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง ดังหะดีษต่อไปนี้
1- อบู ฮุร็อยเราะฮฺ
เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
))الأَمَارَاتُ
خَرَازَاتٌ مَنْظُوْماَتٌ بِسِلْكٍ، فَإِذاَ انْقَطَعَ
السِّلْكُ تَبِعَ بَعْضُهُ بَعْضاً((
ความว่า
“การปรากฏของสัญญาณต่างๆ
นั้นเปรียบเสมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยสายเส้นเดียว เมื่อสายขาดลูกปัดก็จะหลุดร่วงออกมาตามๆ
กัน” (อัล-หากิม : 8639, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ดู อัส-สิลสิละฮฺ อัศ-เศาะฮีหะฮฺ : 1762)
2- จากอะนัส
รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านรอซูล
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
)) لاَ
تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى لاَ يُقَالَ فِي الأَرْضِ :
اللَّهُ ، اللَّهُ ))
ความว่า
“วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่าในพื้นพิภพนี้จะไม่มีใครสามารถกล่าวว่า
อัลลอฮฺ อัลลอฮฺ” (มุสลิม : 148)
3- จากหุซัยฟะฮฺ บิน
อัลยะมาน รอฎิยัลลอฮุอันฮุว่า
ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
กล่าวว่า
))لاَ
تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَكُونَ أَسْعَدَ النَّاسِ بِالدُّنْيَا
لُكَعُ بْنُ لُكَعٍ((
ความว่า
“วันกิยามะฮฺจะไม่อุบัติขึ้นจนกว่า ลุกะอฺ บุตรของลุกะอฺ จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในโลก(เป็นการเปรียบเทียบว่า คนไม่มีความรู้ด้อยปัญญาจะขึ้นเป็นผู้ปกครอง)”
(อัต-ติรมิซีย์ : 2209, เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ
ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 1799)
أشراط الساعة :
สัญญาณวันกิยามะห์
(بعثة النبي صلى الله عليه وسلم ، فقد قال صلى الله عليه وسلم : (بُعِثْتُ أَنَا وَالسَّاعةُ كهَاتَيْنِ ويُشِيرُ إلى السَّبَابَةِ والوُسْطَى) رواه البخاري)
การแต่งตั้งท่านนบี(ซ.ล.) เป็นศาสนทูต
ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “ตัวฉันกับวันกิยามะห์เหมือนกับสองนิ้วนี้
ท่านหมายถึงนิ้วชี้กับนิ้วกลาง” รายงานโดยบุคอรี
(ظهور الفتن) قال صلى الله عليه وسلم : إِنَّ بينَ يدَيِ السَّاعةِ فِتَناً كقِطَعِ الليلِ المُظْلِمِ يُصْبِحُ الرجلُ فيها مُؤْمِناً ويُمْسِيْ كَافِراً ويُمْسِيْ مُؤْمِناً ويُصْبِحُ كَافِراً) رواه أحمد)
เกิดวิกฤติมากมาย
ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “ใกล้วันกิยามะห์จะเกิดวิกฤคิมากมาย
เหมือนช่วงเวลากลางคืนที่มืดมิด
ถึงขนาดที่คนหนึ่งในช่วงเช้าเขาเป็นมุอ์มิน ครั้นตกเวลาเย็นเขาเป็นกาฟิร และในช่วงเย็นเขาเป็นมุอ์มิน
ครั้นเวลาเช้าเขาเป็นกาฟิร” รายงานโดยอะห์หมัด
(ظهور مدعي النبوة) فقد قال النبي صلى الله عليه وسلم : (لاتقومُ الساعة ُحتى يُبعَثَ دَجَّالونَ كذَّابُونَ قريبٌ مِنْ ثلاثين كلُّهُم يَزعَمُ أنه رسولُ الله ( رواه مسلم .
มีผู้อ้างตนเป็นนบี
ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “
วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้น
จนกว่าจะมีจอมหลอกลวงเกิดขึ้น
เกือบสามสิบคน ทั้งหมดนั้นอ้างตนว่าเป็นศาสนทูต” รายงานโดยมุสลิม
(كَثْرَةُ الزَّلاَزِلِ) : قال رسولُ الله صلى الله عليه وآله وسلم : (لا تقومُ الساعةُ حتى تَكْثُرَ الزلازِلُ) رواه البخاري
เกิดผืนดินไหวมากมาย
ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า “วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้น
จนกว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมากมาย” รายงานโดยบุคอรี
(إِنَّ مِنْ أَشرَاطِ السَّاعةِ
أَنْ يُرفَعَ الْعِلمُ وَيَطْهَرَ الْجَهْلُ وَيَفْشُوَ الزِّنَا وَيُشْرَبَ
الْخَمْرُ وَيَذْهَبَ الرِّجَالُ وتَبقَى النساءُحَتىَّ يَكونَ لِخَمْسِيْنَ
امْرَأةً قَيِّمٌ وَاحدٌ) رواه مسلم
“
ส่วนหนึ่งของเครื่องหมายวันกิยามะห์คือ
วิชาความรู้
จะถูกยกออกไป
ความโง่เขลาจะปรากฏชัดเจน
ซินาจะแพร่หลาย
สุราจะถูกดื่มกิน
ผู้ชายจะจากไปเหลือแต่ผู้หญิง
ถึงขนาดที่มีผู้หญิงห้าสิบคนต่อผู้ชายที่จะดูแลหนึ่งคน
” รายงานโดยมุสลิม
يَأْتِيْ عَلَى النَّاسِ زَمَانٌ يَتَبَاهَوْنَ
بِالْمَسَاجِدِ
“มนุษย์จะถึงยุคที่นำเอามัสยิดมาโอ้อวดกัน”
وَإِذَا تَطَاوَلَ رِعَاءُ الْبَهَائِمِ فِي
الْبُنْيَانِ فَذَاكَ مِنْ أَشْرَاطِهَا
“
เมื่อคนเลี้ยงสัตว์แข่งขันกันสร้างอาคารสูง
”
مَنْ سَرَّهُ أَنْ يَنْظُرَ إلى يومِ القيامَةِ
كَأَنَّهُ رَأْيُ الْعَيْنِ فليقرأْ : إذا الشمسُ كُوِّرَتْ، وإذا السماءُ انْفَطرَتْ،
وإذا السماءُ انشَقَّتْ . قال
الترمذي : هذا حديث حسن غريب
“ผู้ใดต้องการจะมองดูวันกิยามะห์ เหมือนเห็นด้วยตา
ให้เขาจงอ่าน ซูเราะห์เหล่านี้ “อัตตักวีร” “อัลอินฟิตอร”
และ “อัลอินชิกอก” รายงานโดยติรมีซี และกล่าวว่าเป็นฮะดีษฮะซันฆอรีบ
إِذَا الشَّمْسُ كُوِّرَتْ
เมื่อดวงอาทิตย์ถูกทำให้ดับแสง
وَإِذَا النُّجُوْمُ انْكَدَرَتْ
และเมื่อบรรดาดวงดาวร่วงหล่น
وَإِذَا
الْجِبَالُ سُيِّرَتْ
และเมื่อภูเขาถูกทำให้เคลื่อนที่
وَإِذَا
الْعِشَارُ عُطِّلَتْ
และเมื่ออูฐท้องสิบเดือน
ถูกทอดทิ้ง
وَإِذَا
الْوُحُوْشُ حُشِرَتْ
และเมื่อสัตว์ร้ายถูกนำมารวมกัน
وَإِذَا
الْبِحَارُ سُجِّرَتْ
และเมื่อทะเลถูกทำให้ท่วมท้น
إِذَا
السَّمَاءُ انْشَقَّتْ (الانشقاق 1)
เมื่อชั้นฟ้าได้แยกออก
وَإِذَاالأَرْضُ مُدَّتْ (الانشقاق 3)
และเมื่อแผ่นดินถูกแผ่ออกไป
إِذَا السَّمَاءُ
انْفَطَرَتْ (الانفطار 1)
เมื่อชั้นฟ้าได้แตกออก
وَالسَّمَاءِ
ذَاتِ الْحُبُكِ) (الذاريات: 7)
ขอสาบานต่อฟากฟ้าที่มีเส้นใยสานยึดกัน
وَإِذَا الْكَوَاكِبُ انْتَثَرَتْ
(الانفطار2)
และเมื่อดวงดาวร่วงหล่น
(لاَتقومُ الساعةُ حتََّى تَطلُعَ
الشمسُ مِن مَغرِبِهَا فإذَا طَلَعَتْ وَرَآهَا الناسُ آمَنُوْا أجمعونَ فذَلِكَ حِيْنَ لاَ يَنْفَعُ نَفْساً إِيمانُهَا
لم تَكنْ آمنتْ مِنْ قَبْلُ أَوْ كَسَبَتْ في إيمانِهَا خيراً )
“ วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศที่มันตก
และเมื่อมันเกิดขึ้นมนุษย์ได้เห็นมัน
พวกเขาจะเกิดศรัทธา
แต่นั่นก็สายเกินไปแล้ว
เพราะศรัทธาในขณะนั้นไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้ใดที่เขาไม่ได้มีศรัทธามาก่อน
หรือไม่ได้เคยทำความดีใดในศรัทธาของเขานั้น
” รายงานโดยบุคอรี
นักวิทยาศาสตร์บอกว่า
น่าจะอีกประมาณ
7 ปี
เท่านั้นที่โลกเราจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ผู้คนจะเลิกรบราฆ่าฟันกัน
เพราะเผชิญปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าจนไม่มีเวลามารบกัน
ปัญหานั้นน่าจะเกิดจากการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
น้ำทะเลสูงขึ้นทำให้น้ำไหลมารวมกันอยู่ในมหาสมุทร
โดยเฉพาะมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก
ทำให้โลกขาดความสมดุลย์
จากน้ำหนักของน้ำที่มาถ่วงอยู่ด้านหนึ่ง
การหมุนอาจจะผิดปกติ
หรือแกนของโลกเปลี่ยนไป
การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก
คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน
เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา
สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์
โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์
ปัญหานั้นน่าจะเกิดจากการที่น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
น้ำทะเลสูงขึ้นทำให้น้ำไหลมารวมกันอยู่ในมหาสมุทร
โดยเฉพาะมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก
ทำให้โลกขาดความสมดุลย์
จากน้ำหนักของน้ำที่มาถ่วงอยู่ด้านหนึ่ง
การหมุนอาจจะผิดปกติ
หรือแกนของโลกเปลี่ยนไป
ยกตัวอย่าง เช่น
การหมุนของมอเตอร์
มอเตอร์แบบธรรมดามี
2 ขั้ว
โดยให้สัญลักษณ์
A และ
B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว
ให้เปรียบโดยการใช้
ไฟฟ้าขั้ว
+ ต่อเข้ากับ
A และไฟฟ้าขั้ว
- ต่อเข้ากับ
B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง
แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน
ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก
และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง
เมื่อโลกหมุนกลับทาง ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
และวันกิยามะห์ก็จะเกิดขึ้น
เมื่อโลกหมุนกลับทาง
สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย
โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน
ทั้งกระแสน้ำทะเล
กระแสลม
รวมถึงแผ่นดิน
จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้
Popular Posts
-
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง คำนำ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้อภิบาลสากลโลก ขอความเมตตาและความสันติ...
-
6- อัลกุรอานที่เป็น มักกีย์ และมะดะนีย์ 1- คำนิยามที่ถูกต้อง : อัลกุรอานที่เป็น มักกีย์ นั้นคือ : อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมาก่อนการฮิจเ...
-
5- ข้อความแรกและสุดท้ายจากอัลกุรอานที่ถูกประทานลงมา 1- แหล่งอ้างอิงในการเรียนรู้ข้อความแรกและสุดท้ายจากอัลกุรอานที่ถูกประทานลง มา ก็...
-
“ การครองตน ครองคน และครองงาน ” โดยอรุณ บุญชม การครองตน อิสลามมีหลักในการครองตนดังต่อไปนี้ (1) หล...
-
2 – ตำราต่างๆ ในวิชา อุลูมุ้ลกุรอาน ซอฮาบะห์ในยุคของท่านนบี ไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยตำราในวิชา อุลูมุ้ลกุรอาน เพราะพวกเขารู้วิชานี้ดี...
-
- วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺ วาระแห่งการบังเกิดขึ้นของวันกิยามะฮฺไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้นอกจากอัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา เท่...
-
นบีอิสหาก ( อ . ล ) ความมหัศจรรย์และหลักฐานสำคัญ นบีอิบรอฮีม มีอายุล่วงเข้าสู่วัยชรา โดยยังไม่มีบุตร มะลาอิกะห์ ได้มาแจ้งข่าวดีแก่...
-
ด้วยนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่ง ผู้ทรงกรุณายิ่ง คำนำ มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้อภิบาลสากลโลก ขอความเมตตาและความสัน...
-
12 – ตัฟซีร อัลกุรอาน 1-คำว่าตัฟซีร : ความหมายของคำว่า ตัฟซีรคือ : ทำให้ชัดเจน และอธิบาย . ยกตัวอย่างเช่นท่านกล่าวว่า : ฟัซซัรตุ ฮาซิฮิ...
-
ท่านอบูบักร์ (Abu Bakr) ฮศ .11-13/ คศ .632-634. ชีวิตในตอนต้น ท่านอบูบักร์เป็นคอลีฟะฮ์ระหว่างปี ฮ . ศ . 11-13 หรือ ค . ศ . 632-63...