วิธีการละหมาด
จำนวนรอกาอัตของละหมาด
ขณะที่อัลเลาะห์ได้กำหนดให้มุสลิมละหมาดฟัรดูนั้น ญิบรีลได้มาหาท่านนบี (ซ.ล.) ดังได้ผ่านมาแล้ว และได้กำหนดเวลาละหมาดให้แก่ท่านนบี (ซ.ล.)ทั้งเริ่มเข้าเวลาและหมดเวลา และได้อธิบายให้ท่านนบี (ซ.ล.) ทราบจำนวนรอกาอัตของการละหมาด ดังต่อไปนี้
ละหมาด ซุบฮ์ :
มีสองรอกาอัต หนึ่งตะชะฮ์ฮุดในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด ดุฮร์ :
มีสี่รอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อัสร์ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์
ละหมาด มัฆริบ :
มีสามรอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อิชาอฺ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์ กับ ละหมาดอัสร์
รุก่นละหมาด
ความหมายของรุก่น :
คือส่วนประกอบสำคัญของสิ่งต่างๆ ดังนั้นรุก่นละหมาดก็คือ ส่วนประกอบสำคัญของละหมาด เช่นการยืน รุกัวะอฺ สุหยูด เป็นต้น ละหมาดจะไม่สมบูรณ์ และมีผลใช้ได้นอกจากต้องมีส่วนประกอบครบสมบูรณ์ ทั้งในรูปแบบการละหมาดและขั้นตอนการละหมาด ที่มีรายงานจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) จากญิบรีล (อ.ล.) รุก่นการละหมาดนั้นสรุปได้สิบสามประการ ซึ่งจะอธิบายแต่ละประการดังต่อไปนี้
1. ตั้งเจตนา (เนียต)
คือมุ่งหน้าสู่สิ่งหนึ่งพร้อมลงมือกระทำ ที่ๆใช้เหนียตคือหัวใจ หลักฐานในเรื่องนี้คือ คำของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ว่า
" อ ะ มั้ ล ต่ า ง ๆ จ ะ มี ผ ล ใ ช้ ไ ด้ ต้ อ ง มี ก า ร ตั้ ง เ จ ต น า"
รายงานโดยบุคอรี (1) และ มุสลิม (1907)
2. ยืน สำหรับผู้ที่มีความสามารถยืนได้ในละหมาดฟัรดู
หลักฐานของรุก่นข้อนี้คือ ฮะดีษที่บุคอรี(1066) รายงาน
จากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคริดสีดวง ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ถึงเรื่องละหมาด ท่านตอบว่า : จงยืนละหมาด หากท่านไม่มีความสามารถก็ให้นั่งละหมาด ถ้าหากท่าน ไม่มีความสามารถก็ให้นอนละหมาด
ที่จะถือว่าคนๆหนึ่งยืนก็ต่อเมื่อเขายืนตรง ถ้าหากเขาก้มโดยไม่มีความจำเป็นใดๆถึงขนาดที่เอาฝ่ามือแตะหัวเข่าได้ ก็ถือว่าเสียละหมาด เพราะรุก่นละหมาดในเรื่องการยืนตรงขาดหายไปจากส่วนหนึ่งของละหมาดของเขา และเมื่อผู้ที่ละหมาดมีความสามารถยืนได้ในบางส่วนของละหมาด และไม่สามารถยืนได้ในส่วนที่เหลือ ก็ให้เขายืนละหมาดในส่วนที่เขามีความสามารถและนั่งละหมาดในส่วนที่เหลือ
เงื่อนไขที่ว่านี้ใช้เฉพาะ "ในละหมาดฟัรดู" ส่วนละหมาดสุนัต การยืนละหมาดสุนัตนั้นก็เป็นสุนัตโดยไม่มีข้อแม้ คือยินยอมให้นั่งละหมาดได้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผู้มี่สามารถยืนละหมาดได้หรือไม่
บุคอรี (1065) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ผู้ใดละหมาดโดยการยืนนั้นประเสริฐที่สุด และผู้ใดละหมาดโดยการนั่ง เขาจะได้รับผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่ยืนละหมาด และผู้ใดที่ละหมาดโดยการนอนเขาจะได้ผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่นั่งละหมาด"
ความหมายที่ว่านอนคือนอนตะแคง
3. ตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม :
หลักฐานในรุก่นในที่นี้คือ ฮะดีษที่ติรมีซี(3) อะบูดาวูด (61) และผู้อื่นได้รายงานว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
" กุญแจของละหมาดคือความสะอาด และสิ่งที่ทำให้ห้าม(การกระทำทั้งที่เคยอนญาตให้กระทำได้ก่อนละหมาด) คือตักบีร และสิ่งที่ทำให้อนุญาต(กระทำสิ่งที่เคยห้ามกระทำในละหมาด) คือการกล่าวสลาม "
วิธีตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
จำเป็นต้องใช้คำว่า "الله أكبر" หรือถ้าจะกล่าวว่า " الله الأكبر" หรือ "الله الجليل أكبر" ก็ใช้ได้ แต่ถ้าเพิ่มคำที่ไม่ใช่คุณลักษณะของอัลเลาะห์ เช่น الله هو الأكبر หรือ เปลี่ยนรูปประโยค เช่นกล่าวว่า أكبر الله การตักบีรนั้นใช้ไม่ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือ จำเป็นต้อง ปฏิบัติตามการกระทำของท่านนบี (ซ.ล.) และความจริงท่านนบี (ซ.ล.) ก็ได้ใช้รูปแบบนี้ในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ของท่านอยู่เป็นประจำ
เงื่อนไขในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
การตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ที่นับว่าใช้ได้นั้น มีเงื่อนไขหลายประการที่จะต้องระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. ต้องตักบีรขณะยืน ถ้าหากกล่าวตักบีรระหว่างลุกขึ้นไปละหมาดการตักบีรนั้นใช้ไม่ได้
ข. ต้องกล่าวตักบีร ในสภาพที่หันหน้าไปทางกิบละห์
ค. ต้องกล่าวคำตักบีร เป็นภาษาอาหรับ แต่ผู้ที่ไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ และไม่สามารถศึกษาได้ทันเวลาละหมาด ให้เขาแปลและใช้ความหมายของตักบีร เป็นภาษาอะไรก็ได้ตามแต่เขาต้องการ และเขาจำเป็นต้องศึกษาการตักบีรเป็นภาษาอาหรับถ้าหากเขามีความสามารถศึกษาได้
ง. จะต้องให้ตนเองได้ยินคำตักบีร ทุกตัวอักษร หากเขาหูดี
จ. จะต้องตักบีรพร้อมเนียต ดังได้กล่าวมาแล้ว
4. อ่านฟาติฮะห์
การอ่านฟาติฮะห์เป็นรุก่นหนึ่งในทุกรอกาอัตของการละหมาด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดอะไรก็ตาม
หลักฐาน ดังกล่าว :
ฮะดีษที่บุคอรี(723) และมุสลิม (394) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ไม่มีละหมาดแก่ผู้ที่ไม่อ่านฟาติฮะติ้ลกิตาบ"
และบิ้สมิลลาห์ นั้นเป็นอายะห์หนึ่งของฟาติฮะห์ ดังนั้นการอ่านฟาติฮะห์โดยผู้ละหมาดไม่ได้เริ่มต้นด้วย
بسم الله الرحمن الرحيم
ถือว่าการอ่านฟาติฮะห์นั้นใช้ไม่ได้ เพราะอิบนุคุซัยมะห์ได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์
จากอุมมิซะละมะห์ (ร.ด.) ว่า แท้จริงท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับบิสมิลลาห์ เป็นอายะห์หนึ่ง
เงื่อนไขการอ่านฟาติฮะห์ที่ใช้ได้
ในการอ่านฟาติฮะห์นั้น จำเป็นต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ตนเองได้ยิน ถ้าหากเขามีประสาทรับฟังปานกลาง
ข. อ่านเรียงตามลำดับของฟาติฮะห์ ตามที่ปรากฎในอัลกุรอาน โดยต้องระมัดระวังการออกเสียงให้ถูกต้องตามตำแหน่งของแต่ละตัวอักษร และเน้นคำที่ "ชัดดะห์" ให้ชัดเจน
ค. ไม่อ่านผิดถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย ถ้าหากอ่านผิดไม่ถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย การอ่านนั้นก็ใช้ได้
ง. อ่านฟาติฮะห์ในขณะยืน ถ้าหากเขาก้มในขณะที่ยังคงอ่านฟาติฮะห์ไม่จบ การอ่านฟาติฮะห์ นั้นใช้ไม่ได้ เขาจะต้องกลับไปอ่านใหม่ และถ้าหากผู้ละหมาดไม่สามารถอ่านฟาติฮะห์ได้ เพราะไม่ใช่เป็นชาวอาหรับ หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม ให้เขาอ่านอัลกุรอานที่เขาจดจำได้เจ็ดอายะห์แทนการอ่านฟาติฮะห์ ถ้าหากเขาไม่ได้จดจำสิ่งใดจากอัลกุรอานเลย ก็ให้เขา "ซิกรุ้ลเลาะห์" นานเท่ากับเวลาที่อ่านฟาติฮะห์ หลังจากนั้นก็ก้มลงรุกัวะอฺ
5.รุกัวะอฺ
รุกัวะอฺ ตามบัญญัติศาสนาหมายถึง การที่ผู้ละหมาดก้มลงเท่าที่เขาจะสามารถก้มได้ โดยให้ฝ่ามือทั้งสองข้างถึงหัวเข่าทั้งสองข้างของเขา นี่เรียกว่าเป็นการรุกัวะอฺ ที่พอใช้ได้ ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์ก็คือ เขาจะต้องก้มลงให้แผ่นหลังเสมอกันเป็นแนวตรง
หลักฐานในเรื่องนี้คือ
อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า
"โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูดเถิด "(อัลฮัจย์ : 77)
และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ผู้ที่ท่านได้สอนวิธีละหมาดแก่เขาว่า
"หลังจากนั้นท่านจงรุกัวะอฺ จนหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ "
และการกระทำของท่านนบีได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์มากมาย
เงื่อนไขในการรุกัวะอฺ
การรุกัวะอฺ ที่ใช้ได้นั้น ผู้ละหมาดจะตั้งปฏิบัติดังนี้ :
ก. ก้มหัวให้ได้ระดับดังที่กล่าวมา คือฝ่ามือถึงหัวเข่าของเขา
บุคอรี (794) ได้รายงาน จากอะบีฮุมัยด์ อัซซาอิดีย์ (ร.ด.) ในเรื่องการละหมาดของ ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า
"และเมื่อท่านรุกัวะอฺ ได้ให้มือทั้งสองของท่านมั่นคงอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองของท่าน"
ข. ขณะก้มลงจะต้องไม่ตั้งใจก้มลงเพื่อสิ่งอื่นนอกจากรุกัวะอฺ ถ้าหากผู้ละหมาดก้มลงเพราะกลัวสิ่งหนึ่ง แล้วเขาปล่อยเลยตามเลยโดยตั้งใจเอาการก้มนั้นเป็นการก้มรุกัวะอฺ การรุกัวะอฺของเขาใช้ไม่ได้ เขาจำเป็นต้องกลับไปยืนตรงแล้วก้มลงโดยตั้งใจรุกัวะอฺใหม่
ค. ตอมะอฺนีนะห์ คือนิ่งสงบในท่าก้มนานเท่าการตัสเบียะห์ครั้งหนึ่ง ที่กล่าวนี้เป็น ตอมะอฺนีนะห์ อย่างพอใช้ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ผ่านมาแล้วว่า
"จนท่านหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ" อะห์มัด ตอบรอนี และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"มนุษย์ที่เลวในเรื่องลักขโมย คือผู้ที่ลักขโมยจากละหมาดของตน" พวกเขาถามว่า "โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) เขาลักขโมยจากละหมาดของเขาอย่างไร ?" ท่านตอบว่า "เขาไม่รุกัวะอฺ ในละหมาดให้สมบูรณ์ และไม่สุหยูดในละหมาดให้สมบูรณ์"
และบุคอรี (758) ได้รายงานจากฮุซัยฟะห์(ร.ด.) ว่า เขาเห็นชายคนหนึ่งไม่รุกัวะอฺ และสุหยูดให้สมบูรณ์ เขาได้กล่าวว่า
"ท่านยังไม่ได้ละหมาด และถ้าหากท่านตาย ท่านก็ตายโดยไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์ ซึ่งอัลเลาะห์ได้ให้มุฮำมัด (ซ.ล.) อยู่ในธรรมชาตินั้น" หมายความว่า ท่านยังไม่ได้ละหมาดตามที่ศาสนาต้องการ และถ้าหากท่านตายในสภาพเช่นนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) นำมา ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่มุสลิม ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์นั้นคือ ผู้ที่ละหมาดก้มลงจนหลังกับคอเสมอกันเป็นเส้นตรง ไม่คดงอ และขาทั้งสองข้างเหยียดตรง มือสองข้างจับอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง โดยถ่างนิ้วมือออกจากกัน และให้เขาอยู่ในอาการสงบ พร้อมกับกล่าวว่า سبحان ربي العظيم สามครั้ง
และมุสลิม (772) และผู้อื่นได้รายงาน
จาก ฮุซัยฟะห์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าฉันละหมาดร่วมกับท่านนบี (ซ.ล.) ในคืนหนึ่ง และในฮะดีษนี้มีข้อความว่า หลังจากนั้นท่านได้รุกัวะอฺ และได้กล่าวว่า " ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " หลังจากนั้นท่านได้สหยูด แล้วกล่าวว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา"
ติรมีซี (261) อะบูดาวูด (886) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า ท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดในพวกท่านรุกัวะอฺ และได้กล่าวในขณะที่เขารุกัวะอฺ ว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " สามครั้ง การรุกัวะอฺของเขาสมบูรณ์ และนั่นเป็นการรุกัวะอฺ อย่างพอใช้ได้
และได้ผ่านมาแล้วในฮะดีษอะบีฮุมัยด์ว่า
" หลังจากนั้นท่านได้ก้มหลังของท่าน"
6. เอียะอฺติดาลภายหลังรุกัวะอฺ
คือ การเงยจากรุกัวะอฺ มาหยุดนิ่ง เพื่อแยกรุกัวะอฺ ออกจากสุหยูด
หลักฐานเรื่องการเอียะอฺติดาล
คือฮะดีษที่มุสลิม (498) ได้รายงานจาก
จากอาอิชะห์ (ร.ด.) ว่า ตนได้อธิบายลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) โดยได้เล่าว่า "เมื่อท่านเงยศรีษะขึ้นจากรุกัวะอฺ ท่านจะยังไม่สุหยูดจนกว่าจะยืนตรงเสียก่อน "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
" หลังจากนั้นท่านจงเงยขึ้น จนอยู่ในสภาพยืนตรง" บุคอรี (734) และมุสลิม (397)
เงื่อนไขในการเอียะอฺติดาล
การเอียะอฺติดาลที่ใช้ได้มีดังต่อไปนี้
ก. ไม่ตั้งใจเป็นอย่างอื่นขณะเงยจากรุกัวะอฺ นอกจากตั้งใจว่าเป็นอิบาดะห์
ข. อยู่ในอาการสงบนิ่งในขณะเอียะอฺติดาล ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง
ค. ไม่หยุดอยู่นานจนน่าเกลียดในขณะเอียะอฺติดาล โดยนานเกินกว่าระยะอ่านฟาติฮะห์จบ เพราะเอียะอฺติดาล เป็นรุก่นสั้น ไม่อนุญาตให้ทำยาว
7. สุหยูดสองครั้งในทุกรอกาอัต
สุหยูดตามบัญญัติศาสนา หมายถึง หน้าผากของผู้ละหมาดวางอยู่บนพื้นที่ใช้สุหยูด (กราบ)
หลักฐานเรื่องสุหยูด
อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า
" พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูด "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
"หลังจากนั้น ท่านจงสุหยูด จนสงบนิ่งในท่าสุหยูด หลังจากนั้นจงเงยขึ้นจนสงบนิ่งในท่านั่ง จากนั้นจงสุหยูดจนสงบนิ่งในท่าสุหยูด " (ดูหลักฐานรุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล)
เงื่อนไขในการสุหยูด
การสุหยูด ที่ใช้ได้นั้นต้องรักษา เงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้หน้าผากกระทบกับพื้นที่สุหยูด
ข. สุหยูดบนอวัยวะทั้งเจ็ด ได้แก่ อวัยวะที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับไว้คือ
"ฉันถูกบัญชาให้สุหยูดบนกระดูกทั้งเจ็ด คือ หน้าผาก และท่านได้เอามือชี้ไปยังจมูกของท่าน มือทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสองข้าง และปลายเท้าทั้งสองข้าง " บุคอรี (779) และ มุสลิม (490) อวัยวะทั้งเจ็ดไม่จำเป็นต้องเปิด นอกจากหน้าผากเท่านั้น
ค. ให้ช่วงล่าง (ส่วนสะโพก) ของร่างกายสูงกว่าช่วงบนเท่าที่สามารถขณะสุหยูด เพราะเป็นการปฏิบัติตามที่ท่านนบี(ซ.ล.) กระทำไว้
ง. ไม่สุหยูดลงไปบนผืนผ้าที่ติดอยู่กับตัวผู้ละหมาด โดยที่ผ้านั้นจะเคลื่อนไหวเมื่อผู้ละหมาดเคลื่อนไหว
จ. ไม่ตั้งใจสุหยูดเพราะสิ่งอื่น เช่น ความกลัว เป็นต้น
ฉ. กดหน้าผากลงกับพื้น ซึ่งถ้าหากมีสำลีอยู่มันจะต้องยุบและปรากฏรอยสุหยูดให้เห็น
ซ. สงบนิ่งในสุหยูด ด้วยอาการดังกล่าวนี้ ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง เป็นอย่างน้อย
การสุหยูดอย่างสมบูรณ์คือ จะต้องกล่าวตักบีร เมื่อลงสุหยูดวางเข่าทั้งสองข้างลง แล้ววางมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงวางหน้าผากและจมูก ให้วางมือทั้งสองข้างตรงไหล่ทั้งสองข้าง เหยียดนิ้วโดยไม่ต้องถ่างออกจากกัน หันไปทางกิบละห์ และแขม่วท้องให้ห่างจากขาอ่อนทั้งสองข้าง และถ่างข้อศอกทั้งสองข้างออกจากพื้นและสีข้าง และกล่าวว่า سبحان ربي الأعلى สามครั้ง
บุคอรี (770) และมุสลิม (292) ได้รายงานจากฮะดีษ อบีฮุรอยเราะฮ์ (ร.ด.) ในลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) ว่า
"หลังจากนั้นท่านจะกล่าวอัลลอฮุอักบัร ขณะที่ก้มลงอยู่ในท่าสุหยูด"
และที่มุสลิม (494) เล่าจากอัลบะรออฺ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"เมื่อท่านสุหยูดจงวางฝ่ามือทั้งสองของท่าน และจงยกข้อศออกทั้งสองของท่าน"
บุคอรี (383) และมุสลิม (495) ได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์ บุตรมาลิก บุตร บุฮัยนะห์ (ร.ด.) ว่า เมื่อ ท่านนบี (ซ.ล.) ละหมาด ท่านได้กางแขนทั้งสองของท่าน (ขณะสุหยูด) จนเห็นสีขาวที่รักแร้ทั้งสองข้างของท่าน
จากอะบีฮุมัยด์(ร.ด.) ว่า ท่านได้กางแขนออกห่างจากสีข้างของท่านทั้งสองข้าง และวางมือทั้งสองข้างตรงกับไหล่ทั้งสองข้างของท่าน
อะบูดาวูด (735) ได้รายงาน
จาก อะบีฮุมัยด์ (ร.ด.) ในเรื่องลักษณะการละหมาดของท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า เมื่อท่านได้สุหยูด ท่านจะแขม่วระหว่าง (ท้องกับ) กับขาอ่อนทั้งสองข้างของท่าน โดยไม่ให้ท้องของท่านวางบนส่วนใดของขาอ่อนทั้งสองข้างเลย และที่อะบีดาวูด(886) และติรมีซี (261) และผู้อื่นว่า ขณะสุหยูด ท่านได้กล่าวว่า ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา สามครั้ง และความจริงสุหยูดของท่านสมบูรณ์ และนั่นคือการสุหยูด อย่างพอใช้ได้
ขณะสุหยูด ผู้หญิงจะปฏิบัติแตกต่างจากผู้ชาย คือให้หุบแขนเข้าชิดลำตัวและวางแนบไปกับพื้นและไม่ต้องแขม่วท้อง
บัยฮะกีย์ (21223) ได้รายงานว่าท่านนบี (ซ.ล.) ได้เดินผ่านผู้หญิง สองคนที่กำลังละหมาดท่านได้กล่าวว่า
"เมื่อเธอทั้งสองสุหยูดเธอจงแนบเนื้อบางส่วนเข้ากับพื้นเพราะผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกันในเรื่องดังกล่าว"
8.นั่งระหว่างสองสุหยูด
จำเป็นต้องนั่งในระหว่างสองสุหยูดในทุกๆรอกาอัต
หลักฐานในเรื่องดังกล่าว
คำพูดของท่านนบี (ซ.ล.) ที่กล่าวไว้ในฮะดีษแล้วว่า
"หลังจากนั้นจงเงยขึ้น(จากสุหยูดครั้งแรก)จนขึ้นมาสงบในท่านั่ง"(ดูหลักฐานสุหยูด)
เงื่อนไขในการนั่งระหว่าง สองสุหยูด
การนั่งระหว่างสองสุหยูดที่ใช้ได้นั้นต้องรักษาเงื่อนไขต่อไปนี้
ก.ตั้งใจว่าการนั่งระหว่าง สองสุหยูดเป็นอิบาดะห์อย่าให้การนั่งระหว่าง สองสุหยูดเกิดขึ้นเพราะสิ่งอื่นใด เช่น ความกลัว เป็นต้น
ข.ไม่นั่งนานเกินไปจนน่าเกลียดโดยนั่งนานเกินกว่าเวลาการอ่านตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
ค.ต้องมีตอมะอฺนีนะห์ (สงบนิ่ง) ครู่หนึ่ง เท่ากับ กล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย
9.นั่งครั้งสุดท้าย
หมายถึงการนั่งในรอกาอัตสุดท้ายของละหมาดและตามด้วยสลาม
10. ตะชะฮ์ฮุดในการนั่งครั้งสุดท้าย
บุคอรี(5806) มุสลิม (402)และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนุมัสอูด(ร.ด.)ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.)พวกเราได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวว่า และบัยฮะกี(2/138)และดารุกุตนี(1/350)ว่า พวกเราเคยกล่าวก่อนที่ตะชะฮ์ฮุดจะถูกกำหนดมาให้พวกเราว่า "ขอความสันติจงมีแด่อัลเลาะห์ ก่อนมวลบ่าวของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่ญิบรีล ขอความสันติจงมีแด่มีกาอีล ขอความสันติจงมีแด่ "คนนั้นๆ" เมื่อละหมาดเสร็จท่านนบี(ซ.ล.) ได้หันหน้ามาทางพวกเราแล้วพูดขึ้นว่า "แท้จริงอัลเลาะฮ์ คือ อัสสลาม เมื่อคนใดในพวกท่านนั่งลงในละหมาดให้เขาจงกล่าว ฮัตตาฮียาตุ..."
คำว่า คือ อัสสลาม หมายถึง อัสสลาม เป็นพระนามหนึ่งของอัลเลาะห์ตะอาลา บางทัศนะก็ว่าอัสสลาม หมายความว่า อัลเลาะห์ทรงบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องและความเสียหาย(อันนิฮายะห์)
ตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
"บรรดาการคารวะเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ผู้เป็นนบี ตลอดจนความเมตตาและความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บรรดาบ่าวของอัลเลาะฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะฮ์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริง มุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
รูปแบบของตะชะฮ์ฮุด มีหลายรายงานซึ่งล้วนซอเฮียะห์ทั้งสิ้น ส่วนรูปแบบที่สมบูรณ์ตามแนวทัศนะของอิหม่ามชาฟิอี รอฮิมะฮุ้ลเลาะห์ ก็คือ รายงานของมุสลิม (403) และผู้อื่น
จากอิบนิอับบาส (ร.ด.) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์เคยสอนตะชะฮ์ฮุดให้เรา เหมือนกับสอนซูเราะห์จากอัลกุรอานให้เรา ท่านจะกล่าวว่า "คำคารวะต่างๆ ที่มีมงคลและละหมาดต่างๆ ที่ดีนั้นเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ท่านผู้เป็นนบี รวมทั้งความเมตตาของอัลเลาะห์และความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บ่าวของอัลลอฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริงมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
ในการอ่านตะชะฮ์ฮุดควรระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. อ่านให้ตนเองได้ยินถ้าหากมีประสาทการได้ยินปานกลาง
ข. อ่านต่อเนื่องกันถ้าหากมีการหยุดนานๆมาคั่น หรือนำซิเกรอื่นมาอ่านคั่น การอ่านตะชะฮ์ฮุดนั้นก็ใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องอ่านใหม่
ค. อ่านตะชะฮ์ฮุดขณะที่นั่ง ยกเว้นผู้ที่มีอุปสรรคก็ยินยอมให้อ่านตะชะฮ์ฮุดในสภาพเท่าที่เขาสามารถทำได้
ง. ตะชะฮ์ฮุดต้องเป็นภาษาอาหรับถ้าหากไม่สามารถอ่านเป็นภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลเป็นภาษาอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ และจะเป็นที่เขาต้องศึกษา
จ. ระมัดระวังตำแหน่งออกเสียงของอักษรต่างๆและคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์)จุดถ้าหากออกเสียงไม่ถูกต้อง หรือละเลยคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์) และอ่านคำผิด ซึ่งการดังกล่าวนั้นทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลง ตะชะฮ์ฮุดนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องอ่านใหม่
ฉ. อ่านตะชะฮ์ฮุดเรียงคำดังที่ปรากฏอยู่ในหลักฐาน
11. ซอลาวาต(ขอพรให้)ท่านนบี(ซ.ล.)ภายหลังตะชะฮ์ฮุดสุดท้าย
คือซอลาวาตหลังจากจบตะชะฮ์ฮุด ในการนั่งครั้งสุดท้าย และก่อนสลาม
หลักฐานในการซอลาวาต
อัลเลาะฮ์ ตะอาลาตรัสว่า
"แท้จริง อัลเลาะฮ์และมวลมลาอิกะห์ของพระองค์จะซอลาวาต นบี โอ้บรรดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงซอลาวาตและสลาม (ขอความสันติ) แก่นบีอย่างจริงจังเถิด" (อัลอะห์ ซาบ)
นักปราชญ์ได้มีมติเป็นหลักอิจมาอ์ว่า การซอลาวาตในละหมาดเท่านั้นที่จำเป็น(วาญิบ)ส่วนนอกละหมาดไม่จำเป็น (วาญิบ) ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจำเป็น (วาญิบ) ต้องซอลาวาตในละหมาด
อิบนุฮิบบาน(515)และฮากิม(1/268) ได้นำออกรายงานและฮากิมว่าเป็นฮะดีษซอเฮียะห์ จากอิบนุมัสอูด (ร.ด.) ในเรื่องคำถามถึงวิธีการการซอลาวาตนบี ว่า"เราจะซอลาวาตท่านอย่างไรขณะที่เราจะซอลาวาตท่านในการละหมาดของเรา "ท่านนบีได้กล่าวว่าพวกเขาจงกล่าว....
ฮะดีษนี้ได้กำหนดแน่นอนว่าที่ที่ควรกล่าวซอลาวาต นบี คือในละหมาด
และที่ที่เหมาะสมแก่ซอลาวาต คือ ตอนท้ายละหมาด ดังนั้นจึงจำเป็น(วาญิบ)ซอลาวาตในการนั่งครั้งสุดท้ายภายหลังตะชะฮ์ฮุด
และฮะดีษที่ ติรมีซี(3475) อะบูดาวูด (1481) และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า
"เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านละหมาดให้เขาจงสรรเสริญและสดุดีองค์อภิบาลของเขา หลังจากนั้นให้เขาซอลาวาตนบี หลังจากนั้นให้เขาจงขอดุอาในภายหลังตามแต่ต้องการ"
อย่างน้อยของคำที่ใช้ในการซอลาวาตนบี(ซ.ล.)ก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาแก่มูฮำมัด"
ส่วนถ้อยคำที่สมบูรณ์ในการซอลาวาตก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่มุฮัมมัด และแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่อิบรอฮีม และแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม และได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่มูฮำมัดและแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเพิ่มพูนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม ในสากลโลก แน่แท้พระองค์นั้นควรแก่การสรรเสริญและให้เกียรติ"
คำซอลาวาตนี้ได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์ หลายฮะดีษ ที่บุคอรี มุสลิมและผู้อื่นได้รายงาน ซึ่งบางสายรายงานก็มีเพิ่ม บางสายก็มีหย่อน ดู บุคอรี(3190)และมุสลิม (406)
เงื่อนไขในการซอลาวาต
การซอลาวาต ต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้ตนเอง ได้ยินซอลาวาต ถ้าหากมีประสาทได้ยินปานกลาง
ข. ใช้คำว่า "มุฮำมัด" หรือใช้คำว่า "รอซู้ล" หรือ "นบี" ถ้าใช้คำว่า "อะหมัด" ในการซอลาวาตถือว่าใช้ไม่ได้
ค. คำซอลาวาตต้องเป็นภาษาอาหรับ ถ้าหากไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลความหมายเป็นภาษาที่ต้องการ และจำเป็นต้องศึกษาโดยรีบด่วนเมื่อสามารถจะกระทำได้
ง. เรียบเรียงคำซอลาวาตตามที่ปรากฏ และจำเป็นต้องเรียบเรียงระหว่างคำซอลาวาตกับ ตะชะฮ์ฮุด การเอาซอลาวาตไว้ก่อนตะชะฮ์ฮุดถือว่าใช้ไม่ได้
12 กล่าวสลามครั้งแรก
คือให้ผู้ละหมาดกล่าว โดยหันหน้าไปทางขวาว่า
"อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
หลักฐานการกล่าวสลามครั้งแรก
คือคำพูดของท่านนบี (ซ.ล.)ในฮะดีษที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องตักบีร่อตุ้ลเอียะห์รอมว่า
"ที่จะทำให้เป็นสิ่งต้องห้ามในละหมาดก็คือตักบีร และที่จะทำให้อนุญาตก็คือ การกล่าวสลาม"
คำสลามอย่างพอใช้ได้ก็คือ"อัสสะลามุ อะลัยกุม "เพียงครั้งเดียวและอย่างสมบูรณ์ก็คือ "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์" สองครั้ง ครั้งแรกหันไปทางขวา ครั้งที่สองหันไปทางซ้าย
มุสลิม (582) ได้รายงานจากสะอัด (ร.ด.) ได้กล่าวว่า
"ฉันเห็นท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวสลาม หันไปทางด้านขวาและทางด้านซ้ายจนฉันเห็นความขาวที่แก้มของท่าน "
อะบูดาวูด ( 996 ) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.) ว่าท่านนบีได้กล่าวสลามหันไปทางด้านขวา และทางด้านซ้าย จนเห็นความขาวที่แก้มของท่านว่า "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์ , อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
ติรมีซี (295)ได้กล่าวว่า ฮะดีษ อิบนิมัสอูด (ร.ด.) เป็นฮะดีษฮะซัน ซอเฮียะห์
13.เรียบเรียงรุก่นเหล่านี้ตามลำดับที่ได้กล่าวมา
โดยเริ่มด้วยการเนียต ตักบีรอตุ้ลเอียะห์รอม อ่านฟาติฮะห์ รุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล และ สุหยูด เช่นนี้ จนจบ
ดังนั้น หากนำรุก่นบางอย่างมาทำก่อนที่จะถึงวาระของมันตามที่ศาสนาบัญญัติโดยเจตนา ถือว่าละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ ส่วนการกระทำโดยไม่เจตนา ละหมาดจะใช้ไม่ได้ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนที่ไม่เรียบเรียงลำดับ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกลับไปทำใหม่ทั้งหมด
และเมื่อดำเนินไปตามนี้ ถ้าหากผู้ที่ละหมาดยังคงละหมาดต่อไปหลังจากเปลี่ยนแปลงลำดับของรุก่นละหมาดแล้ว จนถึงที่เดียวกับรอกาอัต ที่ผ่านมาสิ่งที่กระทำถูกต้องในรอกาอัตต่อไปจะเข้าแทนที่สิ่งที่ใช้ไม่ได้ในรอกาอัตที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจำเป็นต้องเพิ่มละหมาดอีกหนึ่งรอกาอัต แทนรอกาอัต ที่ใช้ไม่ได้นั้น
จำนวนรอกาอัตของละหมาด
ขณะที่อัลเลาะห์ได้กำหนดให้มุสลิมละหมาดฟัรดูนั้น ญิบรีลได้มาหาท่านนบี (ซ.ล.) ดังได้ผ่านมาแล้ว และได้กำหนดเวลาละหมาดให้แก่ท่านนบี (ซ.ล.)ทั้งเริ่มเข้าเวลาและหมดเวลา และได้อธิบายให้ท่านนบี (ซ.ล.) ทราบจำนวนรอกาอัตของการละหมาด ดังต่อไปนี้
ละหมาด ซุบฮ์ :
มีสองรอกาอัต หนึ่งตะชะฮ์ฮุดในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด ดุฮร์ :
มีสี่รอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อัสร์ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์
ละหมาด มัฆริบ :
มีสามรอกาอัต สองตะชะฮ์ฮุด ครั้งแรกเมื่อได้ละหมาดสองรอกาอัต และครั้งที่สองในตอนท้ายละหมาด
ละหมาด อิชาอฺ :
มีสี่รอกาอัต เหมือนละหมาด ดุฮร์ กับ ละหมาดอัสร์
รุก่นละหมาด
ความหมายของรุก่น :
คือส่วนประกอบสำคัญของสิ่งต่างๆ ดังนั้นรุก่นละหมาดก็คือ ส่วนประกอบสำคัญของละหมาด เช่นการยืน รุกัวะอฺ สุหยูด เป็นต้น ละหมาดจะไม่สมบูรณ์ และมีผลใช้ได้นอกจากต้องมีส่วนประกอบครบสมบูรณ์ ทั้งในรูปแบบการละหมาดและขั้นตอนการละหมาด ที่มีรายงานจากท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) จากญิบรีล (อ.ล.) รุก่นการละหมาดนั้นสรุปได้สิบสามประการ ซึ่งจะอธิบายแต่ละประการดังต่อไปนี้
1. ตั้งเจตนา (เนียต)
คือมุ่งหน้าสู่สิ่งหนึ่งพร้อมลงมือกระทำ ที่ๆใช้เหนียตคือหัวใจ หลักฐานในเรื่องนี้คือ คำของท่านนบี (ซ.ล.) ที่ว่า
" อ ะ มั้ ล ต่ า ง ๆ จ ะ มี ผ ล ใ ช้ ไ ด้ ต้ อ ง มี ก า ร ตั้ ง เ จ ต น า"
รายงานโดยบุคอรี (1) และ มุสลิม (1907)
2. ยืน สำหรับผู้ที่มีความสามารถยืนได้ในละหมาดฟัรดู
หลักฐานของรุก่นข้อนี้คือ ฮะดีษที่บุคอรี(1066) รายงาน
จากอิมรอน บุตร ฮุซอยน์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคริดสีดวง ฉันได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ถึงเรื่องละหมาด ท่านตอบว่า : จงยืนละหมาด หากท่านไม่มีความสามารถก็ให้นั่งละหมาด ถ้าหากท่าน ไม่มีความสามารถก็ให้นอนละหมาด
ที่จะถือว่าคนๆหนึ่งยืนก็ต่อเมื่อเขายืนตรง ถ้าหากเขาก้มโดยไม่มีความจำเป็นใดๆถึงขนาดที่เอาฝ่ามือแตะหัวเข่าได้ ก็ถือว่าเสียละหมาด เพราะรุก่นละหมาดในเรื่องการยืนตรงขาดหายไปจากส่วนหนึ่งของละหมาดของเขา และเมื่อผู้ที่ละหมาดมีความสามารถยืนได้ในบางส่วนของละหมาด และไม่สามารถยืนได้ในส่วนที่เหลือ ก็ให้เขายืนละหมาดในส่วนที่เขามีความสามารถและนั่งละหมาดในส่วนที่เหลือ
เงื่อนไขที่ว่านี้ใช้เฉพาะ "ในละหมาดฟัรดู" ส่วนละหมาดสุนัต การยืนละหมาดสุนัตนั้นก็เป็นสุนัตโดยไม่มีข้อแม้ คือยินยอมให้นั่งละหมาดได้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นผู้มี่สามารถยืนละหมาดได้หรือไม่
บุคอรี (1065) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ผู้ใดละหมาดโดยการยืนนั้นประเสริฐที่สุด และผู้ใดละหมาดโดยการนั่ง เขาจะได้รับผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่ยืนละหมาด และผู้ใดที่ละหมาดโดยการนอนเขาจะได้ผลบุญครึ่งหนึ่งของคนที่นั่งละหมาด"
ความหมายที่ว่านอนคือนอนตะแคง
3. ตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม :
หลักฐานในรุก่นในที่นี้คือ ฮะดีษที่ติรมีซี(3) อะบูดาวูด (61) และผู้อื่นได้รายงานว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
" กุญแจของละหมาดคือความสะอาด และสิ่งที่ทำให้ห้าม(การกระทำทั้งที่เคยอนญาตให้กระทำได้ก่อนละหมาด) คือตักบีร และสิ่งที่ทำให้อนุญาต(กระทำสิ่งที่เคยห้ามกระทำในละหมาด) คือการกล่าวสลาม "
วิธีตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
จำเป็นต้องใช้คำว่า "الله أكبر" หรือถ้าจะกล่าวว่า " الله الأكبر" หรือ "الله الجليل أكبر" ก็ใช้ได้ แต่ถ้าเพิ่มคำที่ไม่ใช่คุณลักษณะของอัลเลาะห์ เช่น الله هو الأكبر หรือ เปลี่ยนรูปประโยค เช่นกล่าวว่า أكبر الله การตักบีรนั้นใช้ไม่ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือ จำเป็นต้อง ปฏิบัติตามการกระทำของท่านนบี (ซ.ล.) และความจริงท่านนบี (ซ.ล.) ก็ได้ใช้รูปแบบนี้ในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ของท่านอยู่เป็นประจำ
เงื่อนไขในการตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม
การตักบีรอตุ้ลเอียะฮ์รอม ที่นับว่าใช้ได้นั้น มีเงื่อนไขหลายประการที่จะต้องระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. ต้องตักบีรขณะยืน ถ้าหากกล่าวตักบีรระหว่างลุกขึ้นไปละหมาดการตักบีรนั้นใช้ไม่ได้
ข. ต้องกล่าวตักบีร ในสภาพที่หันหน้าไปทางกิบละห์
ค. ต้องกล่าวคำตักบีร เป็นภาษาอาหรับ แต่ผู้ที่ไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ และไม่สามารถศึกษาได้ทันเวลาละหมาด ให้เขาแปลและใช้ความหมายของตักบีร เป็นภาษาอะไรก็ได้ตามแต่เขาต้องการ และเขาจำเป็นต้องศึกษาการตักบีรเป็นภาษาอาหรับถ้าหากเขามีความสามารถศึกษาได้
ง. จะต้องให้ตนเองได้ยินคำตักบีร ทุกตัวอักษร หากเขาหูดี
จ. จะต้องตักบีรพร้อมเนียต ดังได้กล่าวมาแล้ว
4. อ่านฟาติฮะห์
การอ่านฟาติฮะห์เป็นรุก่นหนึ่งในทุกรอกาอัตของการละหมาด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดอะไรก็ตาม
หลักฐาน ดังกล่าว :
ฮะดีษที่บุคอรี(723) และมุสลิม (394) ได้รายงานว่าท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"ไม่มีละหมาดแก่ผู้ที่ไม่อ่านฟาติฮะติ้ลกิตาบ"
และบิ้สมิลลาห์ นั้นเป็นอายะห์หนึ่งของฟาติฮะห์ ดังนั้นการอ่านฟาติฮะห์โดยผู้ละหมาดไม่ได้เริ่มต้นด้วย
بسم الله الرحمن الرحيم
ถือว่าการอ่านฟาติฮะห์นั้นใช้ไม่ได้ เพราะอิบนุคุซัยมะห์ได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์
จากอุมมิซะละมะห์ (ร.ด.) ว่า แท้จริงท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับบิสมิลลาห์ เป็นอายะห์หนึ่ง
เงื่อนไขการอ่านฟาติฮะห์ที่ใช้ได้
ในการอ่านฟาติฮะห์นั้น จำเป็นต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ตนเองได้ยิน ถ้าหากเขามีประสาทรับฟังปานกลาง
ข. อ่านเรียงตามลำดับของฟาติฮะห์ ตามที่ปรากฎในอัลกุรอาน โดยต้องระมัดระวังการออกเสียงให้ถูกต้องตามตำแหน่งของแต่ละตัวอักษร และเน้นคำที่ "ชัดดะห์" ให้ชัดเจน
ค. ไม่อ่านผิดถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย ถ้าหากอ่านผิดไม่ถึงขั้นที่ทำให้เสียความหมาย การอ่านนั้นก็ใช้ได้
ง. อ่านฟาติฮะห์ในขณะยืน ถ้าหากเขาก้มในขณะที่ยังคงอ่านฟาติฮะห์ไม่จบ การอ่านฟาติฮะห์ นั้นใช้ไม่ได้ เขาจะต้องกลับไปอ่านใหม่ และถ้าหากผู้ละหมาดไม่สามารถอ่านฟาติฮะห์ได้ เพราะไม่ใช่เป็นชาวอาหรับ หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ตาม ให้เขาอ่านอัลกุรอานที่เขาจดจำได้เจ็ดอายะห์แทนการอ่านฟาติฮะห์ ถ้าหากเขาไม่ได้จดจำสิ่งใดจากอัลกุรอานเลย ก็ให้เขา "ซิกรุ้ลเลาะห์" นานเท่ากับเวลาที่อ่านฟาติฮะห์ หลังจากนั้นก็ก้มลงรุกัวะอฺ
5.รุกัวะอฺ
รุกัวะอฺ ตามบัญญัติศาสนาหมายถึง การที่ผู้ละหมาดก้มลงเท่าที่เขาจะสามารถก้มได้ โดยให้ฝ่ามือทั้งสองข้างถึงหัวเข่าทั้งสองข้างของเขา นี่เรียกว่าเป็นการรุกัวะอฺ ที่พอใช้ได้ ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์ก็คือ เขาจะต้องก้มลงให้แผ่นหลังเสมอกันเป็นแนวตรง
หลักฐานในเรื่องนี้คือ
อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสว่า
"โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูดเถิด "(อัลฮัจย์ : 77)
และท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ผู้ที่ท่านได้สอนวิธีละหมาดแก่เขาว่า
"หลังจากนั้นท่านจงรุกัวะอฺ จนหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ "
และการกระทำของท่านนบีได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์มากมาย
เงื่อนไขในการรุกัวะอฺ
การรุกัวะอฺ ที่ใช้ได้นั้น ผู้ละหมาดจะตั้งปฏิบัติดังนี้ :
ก. ก้มหัวให้ได้ระดับดังที่กล่าวมา คือฝ่ามือถึงหัวเข่าของเขา
บุคอรี (794) ได้รายงาน จากอะบีฮุมัยด์ อัซซาอิดีย์ (ร.ด.) ในเรื่องการละหมาดของ ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า
"และเมื่อท่านรุกัวะอฺ ได้ให้มือทั้งสองของท่านมั่นคงอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองของท่าน"
ข. ขณะก้มลงจะต้องไม่ตั้งใจก้มลงเพื่อสิ่งอื่นนอกจากรุกัวะอฺ ถ้าหากผู้ละหมาดก้มลงเพราะกลัวสิ่งหนึ่ง แล้วเขาปล่อยเลยตามเลยโดยตั้งใจเอาการก้มนั้นเป็นการก้มรุกัวะอฺ การรุกัวะอฺของเขาใช้ไม่ได้ เขาจำเป็นต้องกลับไปยืนตรงแล้วก้มลงโดยตั้งใจรุกัวะอฺใหม่
ค. ตอมะอฺนีนะห์ คือนิ่งสงบในท่าก้มนานเท่าการตัสเบียะห์ครั้งหนึ่ง ที่กล่าวนี้เป็น ตอมะอฺนีนะห์ อย่างพอใช้ได้ หลักฐานในเรื่องนี้คือคำพูดของท่านนบี(ซ.ล.) ที่ผ่านมาแล้วว่า
"จนท่านหยุดนิ่งในท่ารุกัวะอฺ" อะห์มัด ตอบรอนี และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบี(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"มนุษย์ที่เลวในเรื่องลักขโมย คือผู้ที่ลักขโมยจากละหมาดของตน" พวกเขาถามว่า "โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) เขาลักขโมยจากละหมาดของเขาอย่างไร ?" ท่านตอบว่า "เขาไม่รุกัวะอฺ ในละหมาดให้สมบูรณ์ และไม่สุหยูดในละหมาดให้สมบูรณ์"
และบุคอรี (758) ได้รายงานจากฮุซัยฟะห์(ร.ด.) ว่า เขาเห็นชายคนหนึ่งไม่รุกัวะอฺ และสุหยูดให้สมบูรณ์ เขาได้กล่าวว่า
"ท่านยังไม่ได้ละหมาด และถ้าหากท่านตาย ท่านก็ตายโดยไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์ ซึ่งอัลเลาะห์ได้ให้มุฮำมัด (ซ.ล.) อยู่ในธรรมชาตินั้น" หมายความว่า ท่านยังไม่ได้ละหมาดตามที่ศาสนาต้องการ และถ้าหากท่านตายในสภาพเช่นนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่ท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) นำมา ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใช่มุสลิม ส่วนการรุกัวะอฺ ที่สมบูรณ์นั้นคือ ผู้ที่ละหมาดก้มลงจนหลังกับคอเสมอกันเป็นเส้นตรง ไม่คดงอ และขาทั้งสองข้างเหยียดตรง มือสองข้างจับอยู่ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง โดยถ่างนิ้วมือออกจากกัน และให้เขาอยู่ในอาการสงบ พร้อมกับกล่าวว่า سبحان ربي العظيم สามครั้ง
และมุสลิม (772) และผู้อื่นได้รายงาน
จาก ฮุซัยฟะห์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าฉันละหมาดร่วมกับท่านนบี (ซ.ล.) ในคืนหนึ่ง และในฮะดีษนี้มีข้อความว่า หลังจากนั้นท่านได้รุกัวะอฺ และได้กล่าวว่า " ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " หลังจากนั้นท่านได้สหยูด แล้วกล่าวว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา"
ติรมีซี (261) อะบูดาวูด (886) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์บุตร มัสอูด (ร.ด.) ว่า ท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดในพวกท่านรุกัวะอฺ และได้กล่าวในขณะที่เขารุกัวะอฺ ว่า "ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะซีม " สามครั้ง การรุกัวะอฺของเขาสมบูรณ์ และนั่นเป็นการรุกัวะอฺ อย่างพอใช้ได้
และได้ผ่านมาแล้วในฮะดีษอะบีฮุมัยด์ว่า
" หลังจากนั้นท่านได้ก้มหลังของท่าน"
6. เอียะอฺติดาลภายหลังรุกัวะอฺ
คือ การเงยจากรุกัวะอฺ มาหยุดนิ่ง เพื่อแยกรุกัวะอฺ ออกจากสุหยูด
หลักฐานเรื่องการเอียะอฺติดาล
คือฮะดีษที่มุสลิม (498) ได้รายงานจาก
จากอาอิชะห์ (ร.ด.) ว่า ตนได้อธิบายลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) โดยได้เล่าว่า "เมื่อท่านเงยศรีษะขึ้นจากรุกัวะอฺ ท่านจะยังไม่สุหยูดจนกว่าจะยืนตรงเสียก่อน "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
" หลังจากนั้นท่านจงเงยขึ้น จนอยู่ในสภาพยืนตรง" บุคอรี (734) และมุสลิม (397)
เงื่อนไขในการเอียะอฺติดาล
การเอียะอฺติดาลที่ใช้ได้มีดังต่อไปนี้
ก. ไม่ตั้งใจเป็นอย่างอื่นขณะเงยจากรุกัวะอฺ นอกจากตั้งใจว่าเป็นอิบาดะห์
ข. อยู่ในอาการสงบนิ่งในขณะเอียะอฺติดาล ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง
ค. ไม่หยุดอยู่นานจนน่าเกลียดในขณะเอียะอฺติดาล โดยนานเกินกว่าระยะอ่านฟาติฮะห์จบ เพราะเอียะอฺติดาล เป็นรุก่นสั้น ไม่อนุญาตให้ทำยาว
7. สุหยูดสองครั้งในทุกรอกาอัต
สุหยูดตามบัญญัติศาสนา หมายถึง หน้าผากของผู้ละหมาดวางอยู่บนพื้นที่ใช้สุหยูด (กราบ)
หลักฐานเรื่องสุหยูด
อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า
" พวกท่านจงรุกัวะอฺ และ สุหยูด "
และท่านนบี (ซ.ล.) ได้กล่าวแก่ชายคนหนึ่งที่ละหมาดไม่เรียบร้อย และท่านได้สอน วิธีการละหมาดให้เขาว่า
"หลังจากนั้น ท่านจงสุหยูด จนสงบนิ่งในท่าสุหยูด หลังจากนั้นจงเงยขึ้นจนสงบนิ่งในท่านั่ง จากนั้นจงสุหยูดจนสงบนิ่งในท่าสุหยูด " (ดูหลักฐานรุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล)
เงื่อนไขในการสุหยูด
การสุหยูด ที่ใช้ได้นั้นต้องรักษา เงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้หน้าผากกระทบกับพื้นที่สุหยูด
ข. สุหยูดบนอวัยวะทั้งเจ็ด ได้แก่ อวัยวะที่ท่านนบี (ซ.ล.) ได้นับไว้คือ
"ฉันถูกบัญชาให้สุหยูดบนกระดูกทั้งเจ็ด คือ หน้าผาก และท่านได้เอามือชี้ไปยังจมูกของท่าน มือทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสองข้าง และปลายเท้าทั้งสองข้าง " บุคอรี (779) และ มุสลิม (490) อวัยวะทั้งเจ็ดไม่จำเป็นต้องเปิด นอกจากหน้าผากเท่านั้น
ค. ให้ช่วงล่าง (ส่วนสะโพก) ของร่างกายสูงกว่าช่วงบนเท่าที่สามารถขณะสุหยูด เพราะเป็นการปฏิบัติตามที่ท่านนบี(ซ.ล.) กระทำไว้
ง. ไม่สุหยูดลงไปบนผืนผ้าที่ติดอยู่กับตัวผู้ละหมาด โดยที่ผ้านั้นจะเคลื่อนไหวเมื่อผู้ละหมาดเคลื่อนไหว
จ. ไม่ตั้งใจสุหยูดเพราะสิ่งอื่น เช่น ความกลัว เป็นต้น
ฉ. กดหน้าผากลงกับพื้น ซึ่งถ้าหากมีสำลีอยู่มันจะต้องยุบและปรากฏรอยสุหยูดให้เห็น
ซ. สงบนิ่งในสุหยูด ด้วยอาการดังกล่าวนี้ ชั่วระยะกล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้ง เป็นอย่างน้อย
การสุหยูดอย่างสมบูรณ์คือ จะต้องกล่าวตักบีร เมื่อลงสุหยูดวางเข่าทั้งสองข้างลง แล้ววางมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงวางหน้าผากและจมูก ให้วางมือทั้งสองข้างตรงไหล่ทั้งสองข้าง เหยียดนิ้วโดยไม่ต้องถ่างออกจากกัน หันไปทางกิบละห์ และแขม่วท้องให้ห่างจากขาอ่อนทั้งสองข้าง และถ่างข้อศอกทั้งสองข้างออกจากพื้นและสีข้าง และกล่าวว่า سبحان ربي الأعلى สามครั้ง
บุคอรี (770) และมุสลิม (292) ได้รายงานจากฮะดีษ อบีฮุรอยเราะฮ์ (ร.ด.) ในลักษณะการละหมาดของท่านนบี(ซ.ล.) ว่า
"หลังจากนั้นท่านจะกล่าวอัลลอฮุอักบัร ขณะที่ก้มลงอยู่ในท่าสุหยูด"
และที่มุสลิม (494) เล่าจากอัลบะรออฺ (ร.ด.) ได้กล่าวว่าท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า
"เมื่อท่านสุหยูดจงวางฝ่ามือทั้งสองของท่าน และจงยกข้อศออกทั้งสองของท่าน"
บุคอรี (383) และมุสลิม (495) ได้รายงาน
จากอับดิ้ลลาห์ บุตรมาลิก บุตร บุฮัยนะห์ (ร.ด.) ว่า เมื่อ ท่านนบี (ซ.ล.) ละหมาด ท่านได้กางแขนทั้งสองของท่าน (ขณะสุหยูด) จนเห็นสีขาวที่รักแร้ทั้งสองข้างของท่าน
จากอะบีฮุมัยด์(ร.ด.) ว่า ท่านได้กางแขนออกห่างจากสีข้างของท่านทั้งสองข้าง และวางมือทั้งสองข้างตรงกับไหล่ทั้งสองข้างของท่าน
อะบูดาวูด (735) ได้รายงาน
จาก อะบีฮุมัยด์ (ร.ด.) ในเรื่องลักษณะการละหมาดของท่านรอซุลุ้ลเลาะฮ์ (ซ.ล.) ว่า เมื่อท่านได้สุหยูด ท่านจะแขม่วระหว่าง (ท้องกับ) กับขาอ่อนทั้งสองข้างของท่าน โดยไม่ให้ท้องของท่านวางบนส่วนใดของขาอ่อนทั้งสองข้างเลย และที่อะบีดาวูด(886) และติรมีซี (261) และผู้อื่นว่า ขณะสุหยูด ท่านได้กล่าวว่า ซุบฮานะร๊อบบิยั้ลอะอฺลา สามครั้ง และความจริงสุหยูดของท่านสมบูรณ์ และนั่นคือการสุหยูด อย่างพอใช้ได้
ขณะสุหยูด ผู้หญิงจะปฏิบัติแตกต่างจากผู้ชาย คือให้หุบแขนเข้าชิดลำตัวและวางแนบไปกับพื้นและไม่ต้องแขม่วท้อง
บัยฮะกีย์ (21223) ได้รายงานว่าท่านนบี (ซ.ล.) ได้เดินผ่านผู้หญิง สองคนที่กำลังละหมาดท่านได้กล่าวว่า
"เมื่อเธอทั้งสองสุหยูดเธอจงแนบเนื้อบางส่วนเข้ากับพื้นเพราะผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกันในเรื่องดังกล่าว"
8.นั่งระหว่างสองสุหยูด
จำเป็นต้องนั่งในระหว่างสองสุหยูดในทุกๆรอกาอัต
หลักฐานในเรื่องดังกล่าว
คำพูดของท่านนบี (ซ.ล.) ที่กล่าวไว้ในฮะดีษแล้วว่า
"หลังจากนั้นจงเงยขึ้น(จากสุหยูดครั้งแรก)จนขึ้นมาสงบในท่านั่ง"(ดูหลักฐานสุหยูด)
เงื่อนไขในการนั่งระหว่าง สองสุหยูด
การนั่งระหว่างสองสุหยูดที่ใช้ได้นั้นต้องรักษาเงื่อนไขต่อไปนี้
ก.ตั้งใจว่าการนั่งระหว่าง สองสุหยูดเป็นอิบาดะห์อย่าให้การนั่งระหว่าง สองสุหยูดเกิดขึ้นเพราะสิ่งอื่นใด เช่น ความกลัว เป็นต้น
ข.ไม่นั่งนานเกินไปจนน่าเกลียดโดยนั่งนานเกินกว่าเวลาการอ่านตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
ค.ต้องมีตอมะอฺนีนะห์ (สงบนิ่ง) ครู่หนึ่ง เท่ากับ กล่าวตัสเบียะห์หนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย
9.นั่งครั้งสุดท้าย
หมายถึงการนั่งในรอกาอัตสุดท้ายของละหมาดและตามด้วยสลาม
10. ตะชะฮ์ฮุดในการนั่งครั้งสุดท้าย
บุคอรี(5806) มุสลิม (402)และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนุมัสอูด(ร.ด.)ได้กล่าวว่า เมื่อพวกเราได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี(ซ.ล.)พวกเราได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวว่า และบัยฮะกี(2/138)และดารุกุตนี(1/350)ว่า พวกเราเคยกล่าวก่อนที่ตะชะฮ์ฮุดจะถูกกำหนดมาให้พวกเราว่า "ขอความสันติจงมีแด่อัลเลาะห์ ก่อนมวลบ่าวของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่ญิบรีล ขอความสันติจงมีแด่มีกาอีล ขอความสันติจงมีแด่ "คนนั้นๆ" เมื่อละหมาดเสร็จท่านนบี(ซ.ล.) ได้หันหน้ามาทางพวกเราแล้วพูดขึ้นว่า "แท้จริงอัลเลาะฮ์ คือ อัสสลาม เมื่อคนใดในพวกท่านนั่งลงในละหมาดให้เขาจงกล่าว ฮัตตาฮียาตุ..."
คำว่า คือ อัสสลาม หมายถึง อัสสลาม เป็นพระนามหนึ่งของอัลเลาะห์ตะอาลา บางทัศนะก็ว่าอัสสลาม หมายความว่า อัลเลาะห์ทรงบริสุทธิ์จากข้อบกพร่องและความเสียหาย(อันนิฮายะห์)
ตะชะฮ์ฮุดอย่างพอใช้ได้
"บรรดาการคารวะเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ผู้เป็นนบี ตลอดจนความเมตตาและความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บรรดาบ่าวของอัลเลาะฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ถูกเคารพสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะฮ์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริง มุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
รูปแบบของตะชะฮ์ฮุด มีหลายรายงานซึ่งล้วนซอเฮียะห์ทั้งสิ้น ส่วนรูปแบบที่สมบูรณ์ตามแนวทัศนะของอิหม่ามชาฟิอี รอฮิมะฮุ้ลเลาะห์ ก็คือ รายงานของมุสลิม (403) และผู้อื่น
จากอิบนิอับบาส (ร.ด.) ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์เคยสอนตะชะฮ์ฮุดให้เรา เหมือนกับสอนซูเราะห์จากอัลกุรอานให้เรา ท่านจะกล่าวว่า "คำคารวะต่างๆ ที่มีมงคลและละหมาดต่างๆ ที่ดีนั้นเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ ท่านผู้เป็นนบี รวมทั้งความเมตตาของอัลเลาะห์และความเพิ่มพูนของพระองค์ ขอความสันติจงมีแด่เราและแด่บ่าวของอัลลอฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าที่ถูกสักการะโดยเที่ยงแท้เว้นแต่อัลเลาะห์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าแท้จริงมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์"
ในการอ่านตะชะฮ์ฮุดควรระมัดระวังดังต่อไปนี้
ก. อ่านให้ตนเองได้ยินถ้าหากมีประสาทการได้ยินปานกลาง
ข. อ่านต่อเนื่องกันถ้าหากมีการหยุดนานๆมาคั่น หรือนำซิเกรอื่นมาอ่านคั่น การอ่านตะชะฮ์ฮุดนั้นก็ใช้ไม่ได้และจำเป็นต้องอ่านใหม่
ค. อ่านตะชะฮ์ฮุดขณะที่นั่ง ยกเว้นผู้ที่มีอุปสรรคก็ยินยอมให้อ่านตะชะฮ์ฮุดในสภาพเท่าที่เขาสามารถทำได้
ง. ตะชะฮ์ฮุดต้องเป็นภาษาอาหรับถ้าหากไม่สามารถอ่านเป็นภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลเป็นภาษาอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ และจะเป็นที่เขาต้องศึกษา
จ. ระมัดระวังตำแหน่งออกเสียงของอักษรต่างๆและคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์)จุดถ้าหากออกเสียงไม่ถูกต้อง หรือละเลยคำที่อ่านซ้ำ(ชัดดะห์) และอ่านคำผิด ซึ่งการดังกล่าวนั้นทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลง ตะชะฮ์ฮุดนั้นใช้ไม่ได้ จำเป็นต้องอ่านใหม่
ฉ. อ่านตะชะฮ์ฮุดเรียงคำดังที่ปรากฏอยู่ในหลักฐาน
11. ซอลาวาต(ขอพรให้)ท่านนบี(ซ.ล.)ภายหลังตะชะฮ์ฮุดสุดท้าย
คือซอลาวาตหลังจากจบตะชะฮ์ฮุด ในการนั่งครั้งสุดท้าย และก่อนสลาม
หลักฐานในการซอลาวาต
อัลเลาะฮ์ ตะอาลาตรัสว่า
"แท้จริง อัลเลาะฮ์และมวลมลาอิกะห์ของพระองค์จะซอลาวาต นบี โอ้บรรดา ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงซอลาวาตและสลาม (ขอความสันติ) แก่นบีอย่างจริงจังเถิด" (อัลอะห์ ซาบ)
นักปราชญ์ได้มีมติเป็นหลักอิจมาอ์ว่า การซอลาวาตในละหมาดเท่านั้นที่จำเป็น(วาญิบ)ส่วนนอกละหมาดไม่จำเป็น (วาญิบ) ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจำเป็น (วาญิบ) ต้องซอลาวาตในละหมาด
อิบนุฮิบบาน(515)และฮากิม(1/268) ได้นำออกรายงานและฮากิมว่าเป็นฮะดีษซอเฮียะห์ จากอิบนุมัสอูด (ร.ด.) ในเรื่องคำถามถึงวิธีการการซอลาวาตนบี ว่า"เราจะซอลาวาตท่านอย่างไรขณะที่เราจะซอลาวาตท่านในการละหมาดของเรา "ท่านนบีได้กล่าวว่าพวกเขาจงกล่าว....
ฮะดีษนี้ได้กำหนดแน่นอนว่าที่ที่ควรกล่าวซอลาวาต นบี คือในละหมาด
และที่ที่เหมาะสมแก่ซอลาวาต คือ ตอนท้ายละหมาด ดังนั้นจึงจำเป็น(วาญิบ)ซอลาวาตในการนั่งครั้งสุดท้ายภายหลังตะชะฮ์ฮุด
และฮะดีษที่ ติรมีซี(3475) อะบูดาวูด (1481) และผู้อื่นได้รายงานด้วยสายรายงานที่ซอเฮียะห์ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า
"เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านละหมาดให้เขาจงสรรเสริญและสดุดีองค์อภิบาลของเขา หลังจากนั้นให้เขาซอลาวาตนบี หลังจากนั้นให้เขาจงขอดุอาในภายหลังตามแต่ต้องการ"
อย่างน้อยของคำที่ใช้ในการซอลาวาตนบี(ซ.ล.)ก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาแก่มูฮำมัด"
ส่วนถ้อยคำที่สมบูรณ์ในการซอลาวาตก็คือ
"ข้าแด่อัลเลาะฮ์ ได้โปรดประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่มุฮัมมัด และแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเมตตาพร้อมด้วยความยกย่องแก่อิบรอฮีม และแก่วงศ์วานของอิบรอฮีม และได้โปรดประทานความเพิ่มพูนแก่มูฮำมัดและแก่วงค์วานของมูฮัมหมัด เหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานความเพิ่มพูนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วานของอิบรอฮีม ในสากลโลก แน่แท้พระองค์นั้นควรแก่การสรรเสริญและให้เกียรติ"
คำซอลาวาตนี้ได้ปรากฏในฮะดีษซอเฮียะห์ หลายฮะดีษ ที่บุคอรี มุสลิมและผู้อื่นได้รายงาน ซึ่งบางสายรายงานก็มีเพิ่ม บางสายก็มีหย่อน ดู บุคอรี(3190)และมุสลิม (406)
เงื่อนไขในการซอลาวาต
การซอลาวาต ต้องรักษาเงื่อนไขดังต่อไปนี้
ก. ให้ตนเอง ได้ยินซอลาวาต ถ้าหากมีประสาทได้ยินปานกลาง
ข. ใช้คำว่า "มุฮำมัด" หรือใช้คำว่า "รอซู้ล" หรือ "นบี" ถ้าใช้คำว่า "อะหมัด" ในการซอลาวาตถือว่าใช้ไม่ได้
ค. คำซอลาวาตต้องเป็นภาษาอาหรับ ถ้าหากไม่สามารถใช้ภาษาอาหรับได้ก็ให้แปลความหมายเป็นภาษาที่ต้องการ และจำเป็นต้องศึกษาโดยรีบด่วนเมื่อสามารถจะกระทำได้
ง. เรียบเรียงคำซอลาวาตตามที่ปรากฏ และจำเป็นต้องเรียบเรียงระหว่างคำซอลาวาตกับ ตะชะฮ์ฮุด การเอาซอลาวาตไว้ก่อนตะชะฮ์ฮุดถือว่าใช้ไม่ได้
12 กล่าวสลามครั้งแรก
คือให้ผู้ละหมาดกล่าว โดยหันหน้าไปทางขวาว่า
"อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
หลักฐานการกล่าวสลามครั้งแรก
คือคำพูดของท่านนบี (ซ.ล.)ในฮะดีษที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องตักบีร่อตุ้ลเอียะห์รอมว่า
"ที่จะทำให้เป็นสิ่งต้องห้ามในละหมาดก็คือตักบีร และที่จะทำให้อนุญาตก็คือ การกล่าวสลาม"
คำสลามอย่างพอใช้ได้ก็คือ"อัสสะลามุ อะลัยกุม "เพียงครั้งเดียวและอย่างสมบูรณ์ก็คือ "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์" สองครั้ง ครั้งแรกหันไปทางขวา ครั้งที่สองหันไปทางซ้าย
มุสลิม (582) ได้รายงานจากสะอัด (ร.ด.) ได้กล่าวว่า
"ฉันเห็นท่านรอซูลุ้ลเลาะฮ์(ซ.ล.) กล่าวสลาม หันไปทางด้านขวาและทางด้านซ้ายจนฉันเห็นความขาวที่แก้มของท่าน "
อะบูดาวูด ( 996 ) และผู้อื่นได้รายงาน
จากอิบนิมัสอูด(ร.ด.) ว่าท่านนบีได้กล่าวสลามหันไปทางด้านขวา และทางด้านซ้าย จนเห็นความขาวที่แก้มของท่านว่า "อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์ , อัสสะลามุ อะลัยกุม วะเราะห์มะตุ้ลลอฮ์"
ติรมีซี (295)ได้กล่าวว่า ฮะดีษ อิบนิมัสอูด (ร.ด.) เป็นฮะดีษฮะซัน ซอเฮียะห์
13.เรียบเรียงรุก่นเหล่านี้ตามลำดับที่ได้กล่าวมา
โดยเริ่มด้วยการเนียต ตักบีรอตุ้ลเอียะห์รอม อ่านฟาติฮะห์ รุกัวะอฺ และเอียะอฺติดาล และ สุหยูด เช่นนี้ จนจบ
ดังนั้น หากนำรุก่นบางอย่างมาทำก่อนที่จะถึงวาระของมันตามที่ศาสนาบัญญัติโดยเจตนา ถือว่าละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ ส่วนการกระทำโดยไม่เจตนา ละหมาดจะใช้ไม่ได้ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนที่ไม่เรียบเรียงลำดับ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกลับไปทำใหม่ทั้งหมด
และเมื่อดำเนินไปตามนี้ ถ้าหากผู้ที่ละหมาดยังคงละหมาดต่อไปหลังจากเปลี่ยนแปลงลำดับของรุก่นละหมาดแล้ว จนถึงที่เดียวกับรอกาอัต ที่ผ่านมาสิ่งที่กระทำถูกต้องในรอกาอัตต่อไปจะเข้าแทนที่สิ่งที่ใช้ไม่ได้ในรอกาอัตที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจำเป็นต้องเพิ่มละหมาดอีกหนึ่งรอกาอัต แทนรอกาอัต ที่ใช้ไม่ได้นั้น